ตอนที่ 208 ขังคุก
ด้านหลังของขันทีผู้นั้นมีองครักษ์ยืนอยู่กลุ่มหนึ่ง เมื่ออ่านราชโองการจบ เหล่าองครักษ์ก็พุ่งเข้ามาจับกุมตัวอันอิงเฉิงแล้วนำตัวออกจากจวนโหว
“ช้าก่อน ! “
อันหลิงเกอกล่าวเมื่อเห็นขันทีผู้นั้นกำลังหันหลังเดินออกจากจวน นางลุกจากพื้น ใบหน้างดงามเผยท่าทางเด็ดเดี่ยว “ข้าเป็นผู้เอ่ยเรื่องโรคระบาดให้ท่านพ่อทราบ หากฮ่องเต้จักลงโทษก็สมควรลงโทษข้าเจ้าคะ”
อันหลิงเกอกล่าวจบพร้อมทำท่าคำนับให้ขันทีที่มาประกาศราชโองการ “ต้องรบกวนกงกง ช่วยฝากคำของข้าถึงฝ่าบาทด้วยเจ้าค่ะ เรื่องโรคระบาดนี้เกี่ยวข้องกับข้าผู้เดียว ได้โปรดละเว้นโทษท่านพ่อด้วยเจ้าค่ะ”
“นี่…ข้าคงช่วยมิได้” ขันทีผู้นั้นมิรับแม้กระทั่งเหรียญทองที่ปี้จูยื่นให้ ใบหน้าของเขาดูย่ำแย่ “ข้าเป็นเพียงบ่าวผู้หนึ่ง ไหนเลยสามารถเปลี่ยนพระทัยฮ่องเต้”
หลี่ซื่อกลอกตาไปมาอย่างรวดเร็ว นางเดินเข้าไปหาขันทีแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นความผิดของคุณหนูใหญ่ หากกงกงมิยอมรายงานให้ฝ่าบาททรงทราบ เช่นนั้นพวกข้าก็ต้องไปขอให้หลี่กุ้ยเฟยช่วย มิทราบว่ากงกง…”
เมื่อหลี่ซื่อยกหลี่กุ้ยเฟยขึ้นมา ขันทีผู้นั้นจึงลังเลเล็กน้อย
แม้ท่านโหวทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว แต่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานหลี่กุ้ยเฟยเป็นอย่างมาก ความสัมพันธ์เช่นนี้เพียงแค่หลี่กุ้ยเฟยยอมขอร้องแทนท่านโหว มิแน่ว่าท่านโหวอาจได้รับการสั่งสอนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท้ายที่สุดก็มิเป็นอันใดเลย
เช่นนั้นก็ฉวยโอกาสนี้ประจบจวนโหวดีกว่า
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นขันทีที่มาประกาศราชโองการก็หัวเราะออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณหนูใหญ่อันก็เข้าวังไปพร้อมกับข้าดีหรือไม่ ? ”
อันหลิงเกอพยักหน้ารับ แม้เผชิญกับสถานการณ์เยี่ยงนี้ นางยังมิแสดงท่าทีตื่นตระหนกออกมาเลย เพียงความสงบเยือกเย็นของนางก็ทำให้คนที่พบเห็นต้องตะลึงแล้ว
หลังจากนั้นขันทีก็โบกมือ เหล่าองครักษ์รีบนำตัวอันอิงเฉิงไปคุมขังที่คุกหลวงแล้วพาอันหลิงเกอไปวังหลวงทันที
หลังจากนางกลับชาติมาเกิดใหม่ นี่เป็นครั้งที่สามของการเข้าวัง นางเดินตามหลังขันทีด้วยท่าทางมิเหมือนมายอมรับผิด แต่เหมือนแค่มาเดินเล่นเพียงเท่านั้น
“คุณหนูใหญ่อันโปรดรอสักครู่”
พอมาถึงพระตำหนักเฉียนชิง ขันทีก็เดินเข้าไปในท้องพระโรงและทูลรายงานเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้ทราบ เมื่อเดินออกมาก็คำนับให้อันหลิงเกอ “ คุณหนูใหญ่อัน ฮ่องเต้เชิญท่านเข้าไปด้านใน”
อันหลิงเกอพยักหน้ารับ ในเวลานี้นางรู้สึกตื่นกลัวอยู่บ้าง แต่ใบหน้ายังเรียบเฉยมิเปลี่ยน
ฮ่องเต้ที่ถือฎีกาเล่มหนึ่งไว้ในพระหัตถ์ เมื่อเห็นคนเดินเข้ามาก็มิได้ละสายพระเนตรออกจากฎีกา เพียงตรัสออกมาเสียงเข้มว่า “เรื่องโรคระบาดเป็นเจ้าบอกท่านโหวอันให้มารายงานข้าหรือ ? ”
“ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้ต้นเหตุเกิดจากหม่อมฉันจริงเพคะ” อันหลิงเกอยอมรับตามตรง
ฮ่องเต้โยนฎีกาลงทันที ทำให้ฎีกาตกกระทบโต๊ะทรงงานเบื้องหน้าเกิดเสียงดังขึ้นมา
ฮ่องเต้เสด็จออกจากที่ประทับทันที ภายในห้องทรงพระอักษรเต็มไปด้วยบรรยากาศกดดัน “ห้ามสตรีเรือนหลังก้าวก่ายเรื่องบ้านเมือง เจ้าในฐานะบุตรีคนโตของท่านโหวอันกล้ายื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องราชกิจ สมควรได้รับโทษอันใด ? “
อันหลิงเกอก้มหน้าลงโดยไร้ความเกรงกลัวอันใดในน้ำเสียง “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้ก้าวก่ายเรื่องบ้านเมือง เพียงแต่โรคระบาดเป็นเรื่องใหญ่และเกี่ยวพันถึงชีวิตนับพันนับหมื่นของราษฎร หม่อมฉันจึงมิอาจทนเห็นราษฎรติดโรคระบาดแล้วป่วยโดยมิทำอันใดเลย หม่อมฉันทำเกินหน้าที่ในเรื่องนี้ จึงได้ขอร้องให้ท่านพ่อกราบทูลพระองค์เพคะ”
“คำพูดช่างมีหลักการยิ่งนัก” พระพักตร์ฮ่องเต้เคร่งขรึม “เช่นนั้นเจ้าลองกล่าวว่าเหตุใดตอนนี้ยังมิเกิดโรคระบาด ? พวกเจ้าสร้างเรื่องเท็จมาหลอกข้า เจ้าสองพ่อลูกใจกล้าเสียจริง ! “
ฮ่องเต้ตบโต๊ะทรงงานหนึ่งที ดวงเนตรเต็มไปด้วยโทสะ “ในเมื่อเรื่องเกิดโดยเจ้า ข้าก็จักให้เจ้าไปอยู่ในคุกเป็นเพื่อนบิดาสักหลายวัน ! “
อันหลิงเกอเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันยินยอมเข้าคุก เพียงแต่ท่านพ่อมิเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ขอพระองค์ทรงปล่อยท่านพ่อไปเถิดเพคะ”
หากอันอิงเฉิงต้องเข้าคุก จวนโหวที่ไร้ผู้นำก็จักเกิดการแก่งแย่งชิงดี อีกทั้งมีคนนอกมิน้อยคอยจับจ้องอยู่ หากเป็นเช่นนี้มิถึงเดือนจวนโหวจักเสื่อมบารมีลงอย่างแน่นอน
ฮ่องเต้เพียงแค่โบกพระหัตถ์เรียกทหารองครักษ์เข้ามา “คุณหนูใหญ่อันก้าวก่ายเรื่องบ้านเมือง มีเจตนาพูดให้ผู้อื่นตื่นตระหนก นำตัวนางไปขังคุกกับบิดาของนาง”
ทหารองครักษ์เหล่านั้นผายมือ “คุณหนูใหญ่อัน เชิญขอรับ”
อันหลิงเกอเม้มปากแน่น นางทราบว่าฮ่องเต้ตั้งใจลงมือกับจวนโหวอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมิได้ต่อต้าน ปล่อยให้ทหารพานางไปยังคุกหลวง
คุกหลวงในเมืองจิงช่างเย็นชื้น มีทั้งเสียงเคลื่อนไหวของงู หนูและแมลงสกปรก
อันหลิงเกอถูกนำไปขังไว้ในคุกเดี่ยว เมื่ออยู่ในคุก นางก็นำผงยาสีชมพูออกมาห่อหนึ่งและเทลงไปโดยรอบ เพียงครู่เดียวเสียงสัตว์เหล่านั้นก็หายไปหมด
หลังจากนั้นมินาน นางที่นั่งอยู่บนฟางแห้งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมุ่งหน้ามาทางนี้
ดวงตาสีดำของอันหลิงเกอเป็นประกาย จ้องมองที่มุมทางเดินโดยมิกะพริบตา
เพียงครู่เดียวก็เห็นคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำปรากฏในสายตา เขาผู้นั้นมีร่างกายสูงใหญ่และท้ายที่สุดใบหน้าที่ดูดีมีเสน่ห์ของมู่จวินฮานก็ปรากฏขึ้นมา
“ท่านมาได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอรีบลุกขึ้น ภายในใจมีความสุขอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน
ในเวลาอับจนหนทางที่สุด มู่จวินฮานก็ปรากฏตัวขึ้น ราวกับว่าเขาเป็นแสงสว่างแสนอ่อนโยนในยามค่ำคืนที่ส่องแสงนำพานางเดินออกจากที่มืด
มู่จวินฮานเปิดประตูเรือนจำเข้ามา จากนั้นก็สวมกอดอันหลิงเกอไว้ทันที เมื่อรับรู้ถึงลมหายใจของนาง เขาจึงได้ผ่อนคลายลงบ้าง
หลังจากนั้นเขาก็สังเกตนางจากบนลงล่าง เมื่อเห็นนางมิได้เป็นอันใด จึงเอ่ยด้วยใบหน้าจริงจัง “เหตุใดจึงกล้ายอมรับต่อหน้าพระพักตร์ว่าเป็นคนทำเรื่องนี้ หากฝ่าบาทกริ้วหนักแล้วประหาร เจ้าจักทำเยี่ยงไร ? “
แววตาของมู่จวินฮานเผยความกังวลออกมา เป็นเหตุให้มุมปากของอันหลิงเกอยกยิ้มขึ้น นางผละออกจากอ้อมกอดของเขาแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้มิได้กริ้วจริง ๆ เสียหน่อยเจ้าค่ะ พระองค์ทำเช่นนี้เพราะมีเป้าหมายอื่น”
ตอนทหารองครักษ์พานางมาที่นี่ นางก็นึกคำของฮ่องเต้ได้อย่างกะทันหัน พระองค์ตรัสว่าจักให้อันอิงเฉิงอยู่ในคุกหลายวัน แต่มิได้บอกว่าจักขังอันอิงเฉิงเป็นปีหรือสั่งประหาร เยี่ยงนี้ได้เผยดำริของพระองค์แล้ว
อันหลิงเกอเล่าให้มู่จวินฮานฟังพลางยิ้มออกมา “ฝ่าบาทให้ข้าและท่านพ่อเข้าคุกเพื่อต้องการสั่งสอนเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งที่ข้าห่วงที่สุดตอนนี้คือโรคระบาดเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่หลันซินตายเพราะโรคระบาด เวลาได้ผ่านไปแล้วเกือบยี่สิบวัน สถานที่อื่นในเมืองจิงน่าจักมีผู้ติดโรคระบาดแล้ว เหตุใดยังมิแพร่กระจายเสียที ? เรื่องนี้ช่างแปลกเสียจริง
แววตาของมู่จวินฮานเผยความโมโหอยู่เล็กน้อย เขาโอบไหล่อันหลิงเกอและพยายามกดความโกรธลงไป “เรื่องโรคระบาดใหญ่เพียงใดก็ช่าง มันสำคัญกว่าชีวิตของเจ้าหรือ ? เจ้ามิอาจคาดเดาพระทัยฮ่องเต้ได้ก็รีบร้อนเข้าวัง เจ้าเคยคำนึงถึงผลที่ตามมาหรือไม่ ? “
รอยยิ้มของอันหลิงเกอค่อย ๆ หายไปจากใบหน้า “ข้ารู้ว่าท่านหวังดี แต่เรื่องโรคระบาดสำคัญต่อข้ามาก”
นางกล่าวแล้วเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาล้ำลึกแฝงความเศร้าที่มู่จวินฮานมิเข้าใจ