ตอนที่ 212 กล่าวให้ชนะใจ
เหล่าขุนนางในท้องพระโรงล้วนเงียบกันหมด หลายคนในนี้กำลังมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น มีแต่อ๋องมู่ที่มีแววตาแฝงความกังวลและเขาตะโกนออกมาอย่างดุดัน “คำก็ท่านโหว สองคำก็ท่านโหว เจ้าโดนคุณหนูใหญ่อันยั่วยวนจนเสียสติไปแล้วหรือ ? ”
เรื่องที่มู่จวินฮานและอันหลิงเกอทะเลาะกันนั้น มิใช่ความลับอันใดในเมืองจิง แม้มิถึงขั้นที่ทุกคนรับรู้ แต่หากต้องการรู้ก็สามารถรู้ได้มิยาก
แต่ตอนนี้มู่อ๋องกล่าวในทางกลับกัน สร้างความตกใจให้หลายคนยิ่งนัก มิแปลกเลยที่มู่จวินฮานมีท่าทีผิดปกติเยี่ยงนี้ เขาเอ่ยถึงพ่อลูกจวนโหวหลายครั้งต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ที่แท้ก็แค่อยากให้สองพ่อลูกรับผิดชอบเรื่องโรคระบาด แต่โรคระบาดครั้งนี้ร้ายแรงยิ่งนัก หากจัดการมิได้ก็ทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วหนักกว่าเดิม หรืออาจถูกฮ่องเต้สั่งประหารก็เป็นได้
ฮ่องเต้ที่กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่เช่นเดียวกัน พระพักต์ของพระองค์ดูผ่อนคลายเล็กน้อยแล้วถอนหายใจออกมา “อ๋องมู่จักโมโหไปเพื่ออันใด มู่จวินฮานก็แค่คิดแทนราษฎรของต้าโจว นี่เป็นเรื่องดีและข้าคิดว่าความคิดนี้มิเลว ให้ท่านโหวมาดูแลเรื่องโรคระบาด ในเมื่อเขาสามารถทำนายเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าได้ย่อมมีวิธีรับมืออยู่แล้ว”
ทรงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่ไร้อารมณ์โกรธออกมา
ดำริของฮ่องเต้ก็เหมือนสีพระพักตร์ สามารถเปลี่ยนไปได้ภายในพริบตาทำให้คนยากคาดเดา
หากถึงตอนนั้นอันอิงเฉิงยังมิสามารถคิดแผนรับมือออกมาได้ ฮ่องเต้ก็จักมีข้ออ้างในการกำจัดจวนโหวได้อย่างสง่าผ่าเผย
ตอนนี้ดูแล้วฮ่องเต้เพียงทำตามคำแนะนำของมู่จวินฮานถึงได้ปล่อยอันอิงเฉิงและอันหลิงเกอออกมา
“อีกครู่ข้าจักมีราชโองการให้ปล่อยท่านโหวออกมา แต่โรคระบาดเป็นเรื่องใหญ่มาก เพียงท่านโหวคนเดียวมิสามารถทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้”
ฮ่องเต้เอาพระหัตถ์กุมไว้ที่คาง ดวงเนตรแหลมคมกวาดมองบรรดาขุนนางแล้วตรัสออกมาว่า “ขุนนางทุกท่าน มีผู้ใดสมัครใจไปจัดการโรคระบาดพร้อมท่านโหวหรือไม่ ? ”
เหล่าขุนนางก้มหน้าลงเป็นพัลวัน ขุนนางฝ่ายบู๊มีท่าทีจักอาสาแต่ก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา ส่วนขุนนางที่เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งใหม่ก็เอาแต่ก้มหน้ามองปลายเท้าของตน มิว่าท่าทีของพวกเขาเป็นเช่นไร คำตอบก็คือความเงียบ
ท้องพระโรงเข้าสู่บรรยากาศเงียบผิดปกติอีกครั้ง ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์หัวเราะเสียงเย็นชา “ว่ากันว่าเป็นขุนนางต้องทำเพื่อราษฎร พอถึงเวลาทำเพื่อราษฎรจริง พวกเจ้าแต่ละคนล้วนกลายเป็นใบ้ไปหมดแล้วหรือ ? ”
เมื่อถูกฮ่องเต้ตำหนิ เหล่าขุนนางก็ก้มหน้ามิกล้าเอ่ย มีแต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ค่อย ๆ เดินออกมาข้างหน้าด้วยอาการสั่นเทา “ทูลฝ่าบาท มู่ซื่อจื่อกับท่านโหวมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน อีกทั้งมู่ซื่อจื่อยังฉลาดล้ำเลิศ หากเขาไปช่วยท่านโหวย่อมสามารถแก้ไขโรคระบาดได้สำเร็จและคืนความสงบสุขให้แก่ต้าโจวได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ในเมื่อมู่จวินฮานเป็นคนเอ่ยเรื่องนี้ออกมาก็ให้เขาไปทำเองจักได้มิต้องเกี่ยวพันถึงผู้อื่น
ขุนนางผู้นั้นรู้ดีแก่ใจว่าโรคระบาดรักษาและควบคุมยากยิ่งนัก หากติดขึ้นมาว่าโชคร้ายแล้ว อีกทั้งยังต้องถูกฮ่องเต้ตำหนิอย่างหนักอีกด้วย
ทางที่ดีควรผลักเรื่องนี้ไปให้มู่จวินฮานดีกว่า ด้วยนิสัยที่ฮ่องเต้อคติต่ออ๋องบรรดาศักดิ์ทั้งหลาย ต้องเห็นชอบให้มู่จวินฮานไปแน่นอน
มีคนมิน้อยที่เห็นด้วยกับขุนนางท่านนี้ พอมีคนเริ่ม คนอื่นๆ ก็เออออตาม “ใต้เท้าหม่ากล่าวมีเหตุผล กระหม่อมเห็นด้วยกับความคิดของใต้เท้าหม่าพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
พวกเขาเริ่มออกมายืนหน้าท้องพระโรงโดยเร็ว ใบหน้าแต่ละคนดูตื่นเต้น มิได้มีท่าทีเงียบขรึมดั่งเมื่อครู่
ฮ่องเต้หรี่ดวงเนตรลงครึ่งหนึ่งแล้วมองไปทางมู่จวินฮาน แววตาคมกริบนั้นทำให้คนมิกล้าสบสู้ “มู่จวินฮาน เจ้าคิดว่าเยี่ยงไร ? ”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิชอบคุณหนูใหญ่อันพ่ะย่ะค่ะ” มู่จวินฮานกล่าวออกมาแล้วหยุดไปครู่หนึ่ง ดวงตาเหลือบมองขุนนางเหล่านั้นแล้วกล่าวต่อ “แต่เพื่อราษฎรของต้าโจว กระหม่อมขอน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา ย่อมทำให้ใบหน้าของขุนนางชั้นผู้ใหญ่แดงเถือกอย่างห้ามมิได้
กระทั่งมู่จวินฮานที่เสเพลยังรู้จักยืนหยัดในช่วงเวลาวิกฤต แต่พวกเขากลับเห็นแต่ผลประโยชน์ตนเอง ปัดความรับผิดชอบอย่างน่าละอาย
คนผู้นี้ช่างพูดจาเก่งเสียจริง
ฮ่องเต้มองเหล่าขุนนาง ดวงเนตรคมกริบแฝงความรู้สึกอยากหัวเราะ
มิแปลกใจเลยที่ไทเฮาโปรดปรานมู่จวินฮานมากถึงเพียงนี้ เพราะมู่จวินฮานฉลาดและมีไหวพริบ คนรุ่นหลังที่เป็นเช่นเขา ผู้ใดจักมิชอบบ้างเล่า ?
หากเขาเป็นโอรสของข้า…
ฮ่องเต้มีดำรินี้ผุดขึ้นมาอีกครั้งและรีบลบมันอย่างรวดเร็ว พระองค์ทำสีพระพักตร์เข้มงวด “ดี ข้าจักมอบเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการ ต้องควบคุมโรคระบาดโดยเร็วที่สุด อย่าปล่อยให้ราษฎรต้าโจวของข้าต้องตกอยู่ในภัยร้ายเยี่ยงนี้ต่อไป”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้ามู่จวินฮานจริงจัง ใบหน้าที่ดูดีอยู่แล้วยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
เมื่อออกจากท้องพระโรง มู่จวินฮานจึงนำราชโองการไปที่คุกหลวงทันที
เมื่อทหารยามเห็นราชโองการก็โค้งคำนับและเชิญเขาเข้าด้านใน
“ท่านโหวอันขอรับ ข้า มู่ซื่อจื่อมาแล้ว”
เสียงของมู่จวินฮานดังกังวานท่ามกลางห้องขังอันหนาวเหน็บ
อันอิงเฉิงยิ้มมุมปาก มองมิออกว่ากำลังทุกข์หรือสุข “มู่ซื่อจื่อ โรคระบาดด้านนอกเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ช่วงเวลาที่เขาอยู่ในคุกหลวงได้ยินทหารยามพูดกันว่าที่ฉู่โจวและรอบเมืองจิงเกิดโรคระบาด แม้เขาพยายามสืบเรื่องนี้มากเพียงใด แต่อีกฝ่ายก็มิยอมกล่าวอันใด
จนตอนนี้พบมู่จวินฮานแล้วอันอิงเฉิงจึงรีบถามทันที
มู่จวินฮานนำม้วนพระราชโองการออกมา อันอิงเฉิงรีบย่อตัวและคุกเข่าลง
“นี่คือคำสั่งจากราชโองการ ให้ท่านโหวอันเป็นผู้จัดการดูแลเรื่องโรคระบาด เชิญท่านรับราชโองการไปดูด้วยตนเองเถิด”
มู่จวินฮานส่งมอบราชโองการไว้ในมือของอันอิงเฉิงที่มีใบหน้าตื่นเต้นแล้วรีบเปิดราชโองการออกทันที
ความหมายของฮ่องเต้เรียบง่ายแต่ชัดเจน ก่อนอื่นฮ่องเต้ตรัสปลอบใจอันอิงเฉิงว่าพระองค์มิได้ส่งคนไปตรวจสอบให้ดีเสียก่อน ทั้งยังรีบร้อนตัดสินโทษอันอิงเฉิง หลังจากโรคระบาดเกิดขึ้น พระองค์จึงตระหนักได้ว่าทำผิดพลาด จากนั้นก็ตรัสว่าสถานการณ์โรคระบาดตอนนี้ร้ายแรงมาก สุดท้ายจึงสั่งปล่อยตัวอันอิงเฉิงและอันหลิงเกอ อีกทั้งมอบภารกิจให้ไปรักษาโรคระบาดแทนพระองค์
เมื่อเห็นท่าทีของอันอิงเฉิง มุมปากของมู่จวินฮานก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น “ท่านโหวอัน ฝ่าบาทสั่งการให้ข้าร่วมมือกับท่านเพื่อช่วยควบคุมโรคระบาด ตอนนี้ท่านโหวรีบกลับไปเตรียมตัวที่จวนโหวก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางไปฉู่โจวพร้อมกับข้าขอรับ”
“ก็ดี” อันอิงเฉิงพยักหน้า แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและซาบซึ้ง “ขอบคุณมู่ซื่อจื่อที่คิดแทนข้า หากควบคุมโรคระบาดครั้งนี้ได้สำเร็จและรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้ จวนโหวย่อมเป็นหนี้บุญคุณมู่ซื่อจื่อแน่แล้ว”
แม้ว่าเขามีตำแหน่งโหวมานานหลายปี แต่ในใจก็มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งยิ่งนัก
หากมิได้รับการช่วยเหลือจากมู่จวินฮาน ฮ่องเต้คงมิยอมปล่อยเขาออกมาอย่างแน่นอน
ตอนนี้อันอิงเฉิงยังคิดมิออกว่าเหตุใดมู่จวินฮานถึงช่วยเขา เพียงรีบเก็บราชโองการแล้วเดินไปยังห้องขังของอันหลิงเกอ