ตอนที่ 215 ภารกิจใหญ่
ฮ่องเต้ปล่อยตัวสองพ่อลูกตระกูลอันออกมาโดยให้เวลาอันอิงเฉิงได้พักผ่อนเพียงวันเดียว วันที่สองเขาก็ถูกส่งไปควบคุมโรคระบาดที่ฉู่โจวพร้อมมู่จวินฮานและหมอหลวง
อันหลิงเกอที่ยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าบิดากำลังมีแววตาเคร่งเครียดจริงจัง
“ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกพอรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ท่านให้ลูกไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าที่มาส่งอันอิงเฉิงก็เหลือบมองนางทีหนึ่งแล้วยังพูดมิเห็นด้วย สีหน้าดูมิค่อยดี “โรคระบาดที่ฉู่โจวร้ายแรงยิ่งนัก หากมิระวังอาจติดโรคได้ นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงชีวิต หญิงสาวเช่นเจ้าไปที่นั่นจักช่วยอันใดได้ ? ”
เว่ยซื่อก็กังวลใจเช่นกัน “ไปครั้งนี้อันตรายยิ่งนัก คุณหนูใหญ่อยู่ที่จวนดีกว่าเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ท่าทางแน่วแน่อย่างยิ่ง “อาสะใภ้รองก็รู้ทักษะการแพทย์ของข้าดี แม้ข้ารับรองมิได้ว่าตนจักมิติดโรคระบาด แต่เมื่อเทียบกับท่านพ่อแล้ว ข้ายังสามารถดูแลตนเองได้มากกว่าเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอมองอันอิงเฉิง เสียงของนางดังกังวานชัดเจนราวกับเป็นลูกประคำหล่นลงพื้น “อีกอย่าง หลันซินเป็นสาวใช้ในเรือนของลูก ถือว่าลูกเคยสัมผัสนางมาก่อน แต่ลูกมิได้ติดโรคระบาดก็แสดงว่าสูตรยาที่เคยเรียนมาใช้ได้ผลเจ้าค่ะ”
อันอิงเฉิงเดิมทีมิได้ใส่ใจกับคำกล่าวของอันหลิงเกอ แต่พอได้ยินนางเอ่ยถึงสูตรยาก็ขมวดคิ้วแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เกอเอ๋อ เจ้ากล่าวถึงสูตรยาอันใด ? เป็นยารักษาโรคระบาดใช่หรือไม่ ? ”
หากเป็นยารักษาโรคระบาดจริง เขาก็มิจำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้อีก
อันหลิงเกอก็มิแน่ใจจึงเอ่ยอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ “ ลูกก็มิทราบว่ายาสูตรนี้สามารถรักษาโรคระบาดได้หรือไม่ แต่วันนั้นลูกได้สัมผัสตัวหลันซินจึงเป็นห่วงว่าตนจักติดโรคระบาด ดังนั้นจึงต้มยาสูตรนี้ตามตำรา ทั้งยังส่งให้ท่านพ่อถ้วยหนึ่งมิใช่หรือเจ้าคะ ? ”
พอนางกล่าวเยี่ยงนี้ อันอิงเฉิงก็นึกขึ้นมาได้
วันนั้นอันหลิงเกอมาหาเขาและบอกว่าหลันซินอาจเป็นโรคระบาด
ตอนนั้นเขามิแน่ใจว่าหลันซินตายเพราะโรคระบาดหรือไม่จึงมิได้สั่งทุกคนให้ป้องกัน
วันนี้เกิดโรคระบาดแล้วเขาถึงรู้ว่าอันหลิงเกอมิได้โกหกจึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที
หากวันนั้นเขาติดโรคระบาด ตอนนี้คงมิสามารถยืนอย่างสบายเยี่ยงนี้ได้หรอก
เดิมเขาดีใจที่โชคดีมิติดโรค แต่ตอนนี้ได้ยินคำของอันหลิงเกอจึงทราบว่าที่แท้ก็เพราะยาถ้วยนั้นช่วยเอาไว้ !
“เกอเอ๋อ เจ้ายังจำสูตรยาได้หรือไม่ ? ”
อันอิงเฉิงเอ่ยถามด้วยใบหน้าจริงจัง ที่พวกตนมิได้ติดโรคระบาดอันใดเลย เก้าในสิบส่วนต้องเป็นเพราะสูตรยาของอันหลิงเกออย่างแน่นอน
หลี่ซื่อยืนอยู่ด้านข้าง นางรีบลุกขึ้นพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม ทว่าภายในใจเต็มไปด้วยการดูแคลน “ท่านพี่เจ้าคะ เกอเอ๋ออยู่แต่ในเรือนทั้งปี แม้ได้เรียนรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วนางก็มิเคยเจอโรคระบาดมาก่อน นางจักรู้สูตรยารักษาโรคระบาดได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”
“ใช่เจ้าค่ะท่านพ่อ หากท่านใช้ยาของพี่หญิงใหญ่แล้วเกิดผลข้างเคียงทีหลัง จักทำเยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”
อันหลิงอีแสดงความหวังดีต่ออันอิงเฉิงแล้วพยายามเกลี้ยกล่อมเต็มที่
ประการแรกเพราะทั้งสองคนกลัวว่าสูตรยาที่อันหลิงเกอนำออกมาใช้จักรักษาโรคระบาดได้จริงแล้ว อันอิงเฉิงคงยิ่งยกย่องมากขึ้นไปอีก วันข้างหน้าหากอยากกำจัดนาง ย่อมยากกว่าเดิมเป็นแน่
ประการที่สองคือหากสูตรยาของอันหลิงเกอใช้มิได้ผล พอถึงตอนฮ่องเต้ไต่ถามขึ้นมา เรื่องนี้อาจส่งผลกระทบมาถึงพวกนางในจวนอย่างเลี่ยงมิได้ พวกนางมิยอมแบกรับความผิดไปกับอันหลิงเกออย่างแน่นอน
อันหลิงเกอได้ยินเช่นนี้ก็ยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มงดงามราวดอกกุหลาบที่กำลังเบ่งบาน แต่แววตาเย็นยะเยือก นางมองไปทางสองแม่ลูกหลี่ซื่อราวกับมองศพที่ตายไปแล้ว “หากน้องหญิงสามและหลี่อี๋เหนียงมีวิธีอื่นดีกว่าก็เอ่ยออกมาให้ท่านพ่อฟังเถิด จักได้ช่วยกันแก้ปัญหา”
พวกนางจักมีวิธีรักษาโรคระบาดได้เยี่ยงไร ? รอยยิ้มของหลี่ซื่อแข็งค้างไปในทันที นางยิ้มแห้งแล้วกล่าวว่า “เกอเอ๋อล้อเล่นแล้ว ข้าเป็นเพียงอนุภรรยาผู้หนึ่งจักรู้เรื่องเหล่านั้นได้เยี่ยงไร ? ”
“ในเมื่อหลี่อี๋เหนียงมิรู้ก็อย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ดีกว่า เพราะจักได้มิต้องสร้างปัญหาให้ท่านพ่ออีก มือมิพายอย่าเอาเท้าราน้ำ” อันหลิงเกอกล่าวพร้อมเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา ภายนอกดูอ่อนโยนและใจกว้าง แต่คำที่นางเอ่ยออกมามิได้เกรงใจแม้แต่น้อย
นี่มิใช่กำลังบอกว่าหลี่ซื่อไร้ประโยชน์ช่วยอันใดมิได้และทำให้เรื่องแย่ลงหรอกหรือ ?
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่ซื่อก็จางหายไป ทั้งยังแทบปั้นหน้ายิ้มต่อมิได้ นางจึงมองไปทางอันอิงเฉิงอย่างเอาใจ แววตาดูลึกซึ้งมีความหมาย “ท่านพี่เจ้าคะ ข้าหวังดีเพราะท่านเพิ่งออกจากคุก หากสูตรยานี้มีปัญหาแล้วต้องถูกฮ่องเต้ลงโทษอีกครั้ง ข้าต้องกังวลใจจนแทบกินอันใดมิลงเป็นแน่เจ้าค่ะ ! ”
นางแอบพูดย้ำอันอิงเฉิงให้นึกถึงเรื่องที่ต้องเข้าคุกเพราะอันหลิงเกอ
หากอันอิงเฉิงยังมิยอมฟังและดึงดันนำสูตรยาของอันหลิงเกอไปใช้ให้ได้ ผลสุดท้ายอาจทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วอีก
ครั้งนี้เกิดโรคระบาดขึ้นพอดี อีกทั้งมู่จวินฮานช่วยขอร้องฮ่องเต้ พวกเขาจึงถูกปล่อยตัวออกมา ทว่าครั้งต่อไปพวกเขายังโชคดีเยี่ยงนี้อีกหรือไม่ ?
หลี่ซื่อเดิมทีต้องการรั้งอันอิงเฉิงมิให้ใช้สูตรยาของอันหลิงเกอ แต่คำพูดของนางกลับทำให้อันอิงเฉิงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนั้นอันหลิงเกอทำนายเรื่องจักเกิดโรคระบาดและเพียงเดือนเดียวก็ได้เกิดขึ้นมาจริง ๆ
ตอนนี้ในเมื่ออันหลิงเกอมีสูตรยาซึ่งอาจรักษาโรคระบาดในครั้งนี้ได้ แล้วเหตุใดมิลองดูเล่า ?
ในเมื่อฮ่องเต้ให้เขาไปรักษาโรคระบาด เขาก็จักนำยาไปให้ราษฎรหรือชาวฉู่โจวที่ติดโรครวมถึงกลุ่มเสี่ยงที่คาดว่าจักติดโรค
หากสามารถควบคุมสถานการณ์ของโรคระบาดได้ย่อมหมายถึงเขาได้สร้างผลงานอันใหญ่หลวง หากสูตรยาไร้ผลก็ค่อยคิดหาวิธีอื่น
ใช้เวลาครุ่นคิดเพียงครู่เดียว อันอิงเฉิงก็เข้าใจทุกอย่าง
เขาจึงกระแอมขึ้นมาหนึ่งทีและมิหันไปมองหลี่ซื่ออีก เพียงมองไปทางอันหลิงเกอด้วยสายตาอ่อนโยน “เกอเอ๋อ สูตรยาในมือเจ้าใช้ได้ผลอย่างแน่นอน ทว่าพ่อมิรู้สถานการณ์ที่ฉู่โจว มิสู้เจ้าไปดูสถานการณ์ของฉู่โจวกับพ่อก่อน แล้วค่อยทดลองว่าสูตรยานี้ได้ผลจริงหรือไม่”
อันหลิงเกอต้องการเยี่ยงนี้อยู่แล้ว นางจึงเผยรอยยิ้มกว้างอย่างจริงใจออกมา ใบหน้างดงามทำให้ผู้คนตาพร่าเพราะความสดใส ทุกอย่างบนแผ่นดินกลายเป็นฉากหลังที่ประกอบความงามของนางเท่านั้น
“รับทราบเจ้าค่ะ ลูกจักให้คนไปเตรียมของตอนนี้เลย ท่านพ่อโปรดรอสักครู่”
เมื่อนางได้ยินว่าฮ่องเต้มีคำสั่งให้อันอิงเฉิงไปรักษาโรคระบาดที่ฉู่โจว นางก็ตัดสินใจไปฉู่โจว ปี้จูและหมิงซินที่เฉลียวฉลาดจึงเตรียมของทุกอย่างเอาไว้ล่วงหน้าเเล้ว
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ปี้จูและหมิงซินก็นำหีบที่ดูสวยงามออกมาหนึ่งหีบ ด้านอันอิงเฉิงสั่งให้ลูกน้องเตรียมรถม้าอีกคัน จากนั้นก็เริ่มออกเดินทางไปฉู่โจว