“พวกข้าเป็นชาวฉู่โจว”
ชายที่เป็นผู้นำเชิดหน้าขึ้น แววตาที่มองอันอิงเฉิงมีความมิชอบใจแฝงอยู่ “พวกข้าขอเตือนพวกเจ้าไว้ก่อนว่าอย่าได้ขัดขวางการเข้าเมืองจิงของพวกข้าเป็นอันขาด”
มู่จวินฮานได้ฟังก็หันไปสบตาอันหลิงเกอ ทั้งสองมองเห็นความสงสัยในแววตาของกันและกัน
“เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร ? ” อันอิงเฉิงเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้วแน่น แววตาคมกริบจ้องทางชายหนุ่มผู้นั้น
ชายหนุ่มที่มีรอยแผลบนหน้าหัวเราะเสียงเย็นชาออกมา “ทำเป็นมิรู้เรื่องอันใด ขุนนางเยี่ยงพวกเจ้าก็ใจดำมิต่างจากนายอำเภอ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคระบาดพวกข้าทุกคนที่มิติดเชื้อต้องถูกกักไว้ที่นี่และอยู่อย่างสิ้นหวัง ! ”
“ใช่แล้ว วันนี้พวกข้าจักมาบอกพวกเจ้าว่าขุนนางเยี่ยงพวกเจ้าสมควรได้รับบทเรียน ! ”
เมื่อกล่าวจบ ชาวฉู่โจวเหล่านั้นราวกับมีกำลังใจขึ้นมา พวกเขามิรอให้อันอิงเฉิงโต้แย้งก็รีบกรูกันเข้ามาล้อมรอบอันอิงเฉิงทันที
ในมือของพวกเขาถือมีด ไม้ เหล็กและค้อน ร้องตะโกนโบกอาวุธในมือด้วยท่าทางดุร้าย อาวุธเหล่านั้นพุ่งไปหาอันอิงเฉิง
ใบหน้าอันอิงเฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารีบหลบไปด้านข้าง
ทว่าเขาโดนล้อมอยู่ตรงกลางแล้ว มิว่าหลบเยี่ยงไรล้วนมีคนโบกอาวุธอยู่โดยรอบ
พร้อมที่จักสอนบทเรียนให้เขา
เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเยี่ยงนี้ ใบหน้าอันหลิงเกอเย็นชาขึ้นมา ส่วนมู่จวินฮานที่นั่งอยู่ตรงข้ามอันอิงเฉิงก็ทะยานตัวขึ้นลอยข้ามโต๊ะยาวแล้วเตะมีดเล่มใหญ่ในมือของชายที่มีแผลเป็นออกไป
“คนตรงหน้าของพวกเจ้าคือขุนนางใหญ่ในวัง เขามีตำแหน่งเป็นถึงท่านโหวในราชวงศ์ปัจจุบัน พวกเจ้าลงมือทำร้ายเขารู้หรือไม่ว่าต้องได้รับโทษเยี่ยงไร ? ”
มู่จวินฮานถีบชายที่มีรอยแผลบนหน้ากระเด็นไปไกลหลายก้าว แววตาคมกริบทำให้กลุ่มชาวฉู่โจวหวาดกลัวจนพากันนิ่งอยู่กับที่ ลืมไปชั่วครู่ว่าต้องทำสิ่งใด
ชายผู้นั้นกระแอมไอออกมาสองครั้ง เขาลุกขึ้นจากพื้นยกมือปาดเลือดที่มุมปากแล้วหันมองมู่จวินฮานอย่างเดือดดาล “เป็นโหวแล้วเยี่ยงไร เป็นโหวก็สามารถละเลยชีวิตราษฎรได้หรือ ? พวกข้าจักไปร้องเรียนต่อฝ่าบาทที่เมืองจิง ให้ฝ่าบาททรงทราบว่าขุนนางที่พระองค์ส่งมาที่แท้เป็นคนเยี่ยงไร ! ”
“เรามิสนใจชีวิตพวกเจ้าเมื่อไร ? ”
อันหลิงเกอเดินออกมาจากด้านหลัง โฉมหน้าอันงดงามราวกับเทพเซียนที่เดินออกจากภาพวาด ทำให้ชายหนุ่มที่มีรอยแผลบนหน้าแววตาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด คล้ายมิอยากทำให้นางตกใจ
คนทั้งสองฝ่ายต่างหยุดชะงัก เป็นเหตุให้อันอิงเฉิงได้มีโอกาสกล่าวขึ้นมา “ข้าได้รับราชโองการจากฝ่าบาทให้มารักษาโรคระบาด ยังเดินทางมิถึงฉู่โจวก็โดนพวกเจ้าเพ่งเล็งเสียแล้ว หากพวกเจ้ามีความโกรธแค้นอันใดก็รีบกล่าวมาให้หมด รอข้ากลับถึงเมืองจิงย่อมช่วยกราบทูลให้พวกเจ้า แต่พวกเจ้ามาข่มขู่และต้องการลงมือกับข้า เช่นนั้นย่อมมีโทษสถานหนัก และตอนนี้ข้าจักสั่งคนจับพวกเจ้าเอาไว้ ! ”
“ช้าก่อนเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอรั้งอันอิงเฉิงไว้ “ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกคิดว่าพวกเขาคงเจอปัญหาบางอย่างถึงได้กล้าลงมือกับท่านและท่านมู่ซื่อจื่อเยี่ยงนี้ เราสอบถามพวกเขาให้เข้าใจก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
มู่จวินฮานพยักหน้าเห็นด้วยกับคำของอันหลิงเกอ แม้ท่าทางยังมิพอใจแต่ก็มิได้มีท่าทีแข็งกร้าวเช่นในตอนแรก “ฟังจากคำกล่าวของพวกเจ้า ขุนนางที่ฝ่าบาทส่งมารอบแรกได้กักตัวพวกเจ้าไว้ที่ฉู่โจวใช่หรือไม่ ? ”
ทั้งสองฝ่ายมิแสดงท่าทีมุ่งร้ายต่อกันอีก ต่างมองหน้ากันและละทิ้งความเป็นศัตรูชั่วคราว
“มิเพียงแค่นั้น พวกเขายังส่งทหารมาเฝ้าดูพวกข้าเอาไว้ ราวกับพวกข้าเป็นนักโทษ ฝั่งประตูเมืองมีทหารเฝ้าอยู่โดยมิยอมให้พวกข้าไปไหนทั้งนั้น พวกเขาบอกว่ากลัวโรคแพร่ระบาดออกไป แต่ในนี้มีใครมิรู้บ้างว่าพวกเขาเหล่านั้นไร้วิธีรักษาโรคระบาดด้วยซ้ำ ทั้งยังต้องการให้พวกเรารอความตายอยู่ที่ฉู่โจว ทำให้ฉู่โจวกลายเป็นเมืองร้าง ! ”
มีเรื่องเยี่ยงนี้ด้วยหรือ ?
อันอิงเฉิงรู้สึกตกตะลึง เขารู้เพียงว่าโรคระบาดร้ายแรงมาก ตอนอดีตฮ่องเต้ครองบัลลังก์ก็ได้ส่งขุนนางมากมายไปรักษาโรค ผ่านไปสองเดือนเมื่อมิมีวิธีอื่นแล้วจึงได้ออกราชโองการให้เผาคนทั้งหมู่บ้าน
วันนี้โรคระบาดยังเกิดขึ้นมิถึงหนึ่งเดือน ขุนนางที่ไปรักษาก็กักตัวคนเหล่านี้ไว้ที่ฉู่โจว ให้พวกเขาอยู่ร่วมกับคนเป็นโรคก็เท่ากับเป็นการให้รอความตายจริง ๆ
เพียงแต่…
“หากเรื่องเป็นอย่างที่พวกเจ้ากล่าวมา แล้วพวกเจ้าออกมาได้เยี่ยงไร ? ”
ชายหนุ่มที่มีรอยแผลบนหน้าดูละอายใจอยู่บ้าง เขาอึกอักไปครู่หนึ่งแต่คนด้านหลังทนมิไหวจึงเอ่ยว่า “ลานรกร้างทางฝั่งตะวันตกของคูเมืองมีรูสุนัขลอดอยู่รูหนึ่ง พวกเรามุดออกมาจากที่นั่น”
โชคดีที่ขุนนางมาใหม่มิคุ้นเคยกับฉู่โจวจึงมิรู้จักรูสุนัขลอด มิเช่นนั้นพวกเขาก็คงออกมามิได้หรอก
“ทุกคนมิต้องกังวล เรื่องนี้บิดาของข้าและท่านมู่ซื่อจื่อจักตรวจสอบให้ชัดเจน” อันหลิงเกอมีเสียงใสไพเราะ ฟังแล้วแฝงความรู้สึกปลอบใจผู้คน “ครั้งนี้เราถูกฮ่องเต้ส่งมารักษาโรคระบาด แต่เราแตกต่างจากขุนนางชุดก่อน เพราะเราได้นำยารักษามาด้วย”
นางเหลือบมองชาวฉู่โจวกลุ่มนั้น บนใบหน้าปรากฏความแน่วแน่ มุมปากเผยรอยยิ้มทำให้คนฟังต้องเชื่อตามอย่างช่วยมิได้
“ครึ่งเดือนก่อนสาวใช้ในเรือนข้าติดโรคระบาด ข้าและท่านพ่อกินยาสูตรนี้ไปและมิมีอาการป่วยอันใดเลย”
การพูดปลอบใจราษฎรเพื่อทำให้อารมณ์ของพวกเขาสงบเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ใบหน้าอันอิงเฉิงจากที่ย่ำแย่ก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย “ถูกต้องแล้ว ยาสูตรนี้ข้าได้ลองด้วยตนเอง หากพวกเจ้ากินยานี้เข้าไปต้องมิติดโรคระบาดอย่างแน่นอน”
“พวกเจ้าอย่าโกหกพวกข้าเลย พวกข้ามิเคยได้ยินว่ามียารักษาโรคระบาดมาก่อน”
“ใช่แล้ว กล่าวเรื่องเหลือเชื่อเพียงนี้ หากมียาอยู่จริงแล้วเหตุใดมิเอาออกมาเล่า ? ”
เมื่อเห็นชาวฉู่โจวเหล่านั้นเคลื่อนไหวอีกครั้ง แววตาของมู่จวินฮานจึงเคร่งขรึมขึ้นมา เขากระแอมเสียงต่ำข่มขู่เพื่อให้ชาวฉู่โจวรู้ว่าควรหยุดพูดจักดีที่สุด
ชาวฉู่โจวเหล่านั้นเห็นประกายเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากตัวของเขาก็หยุดตั้งคำถาม
“ท่านโหวกล่าวถูกต้อง” ริมฝีปากของมู่จวินฮานเปิดออกเล็กน้อย แต่เสียงดังกังวานราวสายน้ำกระทบหิน
“ท่านโหวและคุณหนูใหญ่พบโรคระบาดตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อน พวกเขาไปกราบทูลให้ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ แต่เมืองจิงมิมีโรคระบาดเกิดขึ้น เพราะมาเกิดขึ้นที่ฉู่โจวและถูกนายอำเภอปิดบังเอาไว้ ฝ่าบาทคิดว่าทั้งสองหลอกลวงจึงจับท่านโหวและคุณหนูใหญ่เข้าคุก เมื่อวานได้ยินว่าพวกเขามียารักษาโรคระบาดได้จึงปล่อยตัวออกมาและมีราชโองการให้ท่านโหวมารักษาโรคระบาดที่ฉู่โจว”
ที่แท้เรื่องก็เป็นเยี่ยงนี้เองหรือ ?
ชาวฉู่โจวเหล่านั้นได้ฟังก็ตกตะลึงมิน้อย แต่ละคนจ้องหน้ากัน มิรู้ควรกล่าวอันใดออกมา
“ท่านโหวต้องเข้าคุกเพราะราษฎรนี่เอง” หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้น จากนั้นจึงคุกเข่าลงทันที “ท่านโหวมีคุณธรรมเช่นนี้ พวกเรากลับเข้าใจท่านผิดจนเกือบทำร้ายพวกท่านแล้ว ล้วนเป็นความผิดของพวกเราเอง ! ”
พอเขาคุกเข่าลงไปก็ส่งผลให้คนอื่นพากันคุกเข่าเช่นกัน แม้กระทั่งชายที่มีรอยแผลบนใบหน้าก็มิเว้น
อันอิงเฉิงมิเคยเจอสถานการณ์เยี่ยงนี้มาก่อนจึงรีบเอ่ยว่า “รีบลุกขึ้น รีบลุกขึ้นเถิด พวกเจ้าทำลงไปก็เพื่อครอบครัวและพี่น้องชาวฉู่โจวทั้งนั้น”