ตอนที่ 219 ออกคำสั่ง
พวกที่ถูกทหารนำตัวเข้ามาก็คือเหล่าหมอหลวงที่ฮ่องเต้ส่งมาฉู่โจวในครั้งแรก
ตอนนี้หมอหลวงเหล่านั้นถูกทหารกักตัวเอาไว้ มิว่าเป็นหมอชราหรือหมอหนุ่มล้วนมีสีหน้าละอายใจ พวกเขาพากันหลบเลี่ยงสายตาของใต้เท้าเจียว
“ในเมื่อใต้เท้าเจียวมิทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเป็นคนบอกกับท่านด้วยตนเองเถิด”
มู่จวินฮานกล่าวออกมาพร้อมมุมปากยกยิ้มขึ้น ดวงตาแฝงไปด้วยความเย็นชา ใต้เท้าเจียวมองแล้วตกตะลึงจนหนังตากระตุก
เขารู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้มิค่อยดีนัก พลันก็ได้ยินหมอหลวงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ข้ามิควรไปหอนางโลมในเวลานี้ ท่านมู่ซื่อจื่อเป็นคนใจกว้าง ได้โปรดช่วยปล่อยพวกเราไปสักครั้งเถิดขอรับ”
กล่าวไปแล้วก็ช่างละอายยิ่งนัก เดิมทีพวกตนกำลังสุขสำราญอยู่กับสหายที่เป็นหมอหลวงด้วยกัน ผู้ใดจักคิดว่ายามที่กำลังกอดสาวงามไว้ในอ้อมแขน ทันใดนั้นก็มีทหารบุกเข้ามาแล้วจับพวกเขามัดไว้อย่างทารุณ ทั้งยังพามาที่ว่าการโดยมิกล่าวอันใดสักคำ
หากมิได้ยินคำกล่าวหาและด่าทอของพวกทหารมาตลอดทาง หมอหลวงเหล่านี้คงยังมิรู้ว่าอันอิงเฉิงและมู่จวินฮานได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้มารักษาโรคระบาดที่นี่ !
ใต้เท้าเจียวจ้องหมอหลวงคนที่ยอมรับออกมาด้วยแววตาดุร้าย แต่เมื่อหันไปหามู่จวินฮานใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง “ท่านมู่ซื่อจื่อ หมอหลวงเหล่านี้เหน็ดเหนื่อยมานานแล้ว พวกเขาออกไปดื่มสุราบ้างย่อมเป็นเรื่องธรรมดาขอรับ”
“ถูกต้อง ลืมราชโองการของฝ่าบาท มิสนใจความเป็นอยู่ของราษฎรฉู่โจว สนใจแต่หาความสุขใส่ตัว หมอหลวงเยี่ยงนี้สามารถพบเห็นได้บ่อยยิ่งนัก”
อันหลิงเกอพูดแย้งขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เหลือเพียงมิได้กล่าวออกมาว่าหมอหลวงเหล่านี้เมื่อเทียบกับสัตว์เดรัจฉานยังด้อยค่ากว่า
หากมิมีชาวฉู่โจวเหล่านั้นไปร้องเรียน พวกเขาก็คงมิมีทางรู้ว่าขุนนางที่ฮ่องเต้ส่งตัวมาจักออกคำสั่งปิดเมืองฉู่โจวไว้ อีกทั้งหมอหลวงก็มิเคยไปรักษาพวกเขา ทว่าไปขลุกอยู่ที่หอนางโลม
วันนี้เห็นได้ชัดว่าแม้อันอิงเฉิงและมู่จวินฮานมาจัดการเรื่องโรคระบาด แต่ใต้เท้าเจียวก็หลีกเลี่ยงทุกวิถีทางที่จักแก้ปัญหานี้ เขากลัวพวกนางรักษาโรคระบาดให้หายมิได้แล้วทำให้เรื่องแย่ลงจนกระทบถึงตำแหน่งของตน
“คุณหนูใหญ่ บุรุษ…”
ใต้เท้าเจียวยังอยากโต้กลับ แต่อันอิงเฉิงรีบพูดตัดบททันที “ใต้เท้าเจียว ข้ามิสนว่าก่อนหน้านี้เจ้าทำงานเยี่ยงไร เจ้ารักราษฎรดั่งบุตรก็ดีหรือละเลยก็ช่าง ตอนนี้ข้าและมู่ซื่อจื่อมียารักษาโรคอยู่ในมือ ใต้เท้าเจียวโปรดให้ความร่วมมือด้วย”
ยารักษาโรคระบาดอย่างนั้นหรือ ?
สีหน้าของใต้เท้าเจียวฉายแววสงสัยขึ้นมา โรคระบาดมิใช่แค่กล่าวว่ารักษาได้ก็จักรักษาได้เสียเมื่อไร มิเช่นนั้นเขาให้หมอหลวงคิดค้นยารักษาออกมานานแล้ว คงมิสั่งให้พวกเขาห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรอก
“ท่านโหวขอรับ” ใบหน้าใต้เท้าเจียวจริงจังขึ้นมา แต่แววตายังแฝงไว้ด้วยความแคลงใจอยู่ “ข้ารู้ว่าท่านโหวและมู่ซื่อจื่อกังวลใจแทนราษฎร แต่โรคระบาดร้ายแรงยิ่งนัก มิอาจรักษาได้โดยใช้ยาธรรมดา หากสูตรยาของท่านโหวใช้มิได้ผลแล้วล่ะก็…”
ใบหน้าของใต้เท้าเจียวดูย่ำแย่ คำที่เหลือแม้มิได้กล่าวออกมาแต่คนฟังก็เข้าใจความหมาย
หากยาที่อันอิงเฉิงนำมาใช้มิได้ผลก็ห้ามโยนความผิดมาที่ตนนั่นเอง
เป็นแค่ขุนนางที่ขาดความรับผิดชอบทั้งมิยอมทำงานคนหนึ่งกลับสามารถรั้งอยู่ในตำแหน่งขุนนางขั้นสามได้ ช่างน่าโมโหเสียจริง
ดวงตาของอันหลิงเกอมีประกายดำมืดพาดผ่าน แต่ใบหน้ายังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน “ใต้เท้าเจียวมิต้องกังวลไป มิสู้พวกเราให้ผู้ที่เป็นโรคระบาดมาลองว่ายาสูตรนี้ใช้ได้ผลหรือไม่ดีกว่า”
ใต้เท้าเจียวกำลังจักพยักหน้า อันหลิงเกอก็เอ่ยต่อ “แต่โรคระบาดแพร่กระจายได้เร็ว ใต้เท้าเจียวต้องประกาศสูตรยาออกไปตอนนี้เลย ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธีการในที่ว่าการติดประกาศสูตรยานี้ทั่วเมือง เมื่อราษฎรมีสูตรยาแล้วทุกคนจักดีขึ้น โรคระบาดก็สามารถควบคุมได้อย่างรวดเร็ว”
ในเมื่อให้ประกาศสูตรยาออกไปตอนนี้แล้วยังให้คนมาลองยาเพื่ออันใด ? สตรีที่อยู่แต่ในเรือนช่างมิเข้าใจอันใดเสียเลย
ใต้เท้าเจียวที่รู้สึกดูถูกอันหลิงเกออยู่ภายในใจจึงเอ่ยปฏิเสธออกมาทันที “ยาสูตรนี้ข้ามิเคยเห็นมาก่อน ทั้งยังมิรู้ว่าผลของมันเป็นเยี่ยงไร หากประกาศออกไปตอนนี้อาจเป็นการทำร้ายราษฎร ข้ามิสามารถทำเช่นนั้นได้”
พูดให้ถึงที่สุดแล้วก็คือกลัวส่งผลกระทบมาถึงตนนั่นเอง
แววตาอันหลิงเกอไหววูบ นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าเจียวเพียงส่งคนไปประกาศสูตรยาออกไปโดยบอกว่าท่านโหวเคยรับประทานยาตัวนี้มาแล้ว สามารถรักษาโรคระบาดได้จริง ส่วนเรื่องอื่นมอบให้พวกข้าจัดการเอง”
แม้พวกนางมีคนอยู่มิน้อย แต่ถ้าอยากกระจายสูตรยานี้ออกไปโดยเร็วที่สุดก็ยังต้องพึ่งพาขุนนางพวกนี้อยู่ดี
มิเช่นนั้นนางจักมัวเสียเวลามากล่าวคำเหล่านี้ใต้เท้าเจียวฟังเพื่ออันใด
ส่วนเรื่องที่ว่าหลังประกาศสูตรยาออกไปแล้วราษฎรจักเชื่อหรือไม่นั้น พวกนางมิมีความกังวลเลยแม้แต่น้อย
ใต้เท้าเจียวเริ่มคล้อยตามแล้ว เขาเพียงส่งคนไปติดใบประกาศเท่านั้น หากสูตรยาได้ผลจริงก็ถือว่าเป็นผลงานของเขาเช่นกัน หากสูตรยามิได้ผล เขาก็สามารถโยนความผิดไปให้อันอิงเฉิงและมู่จวินฮานได้ ทูลต่อฮ่องเต้ว่าทั้งสองคนบังคับให้ติดใบประกาศ
“ดี ข้าจักให้คนไปทำตอนนี้เลย” ในที่สุดใต้เท้าเจียวก็ตกลง ถึงตอนนี้อันหลิงเกอจึงรู้สึกโล่งอกได้
เหล่าเจ้าหน้าที่ได้เดินติดใบประกาศทั่วทุกตรอกซอกซอยในเมื่อฉู่โจว มิได้มีท่าทีเกียจคร้านดังเดิม แม้ฉู่โจวเกิดโรคระบาดแต่ก็มีคนมิน้อยที่เข้ามาดูประกาศ
“โอ้ พวกขุนนางได้นำสูตรยารักษาโรคระบาดออกมาแล้ว”
มิรู้ว่าเป็นผู้ใดกล่าวคำนี้ออกมา น้ำเสียงของเขามีแต่ความเย้ยหยัน
ตอนนั้นฮ่องเต้ส่งขุนนางที่รับตำแหน่งใหม่และหมอหลวงมาที่ฉู่โจว คนที่ติดโรคระบาดต่างก็มีความหวัง คิดว่าในที่สุดก็จักรอดตาย
คาดมิถึงว่าขุนนางเหล่านั้นมิได้สนใจความเป็นความตายของพวกเขาเลย เพียงแค่ให้ทหารเฝ้าประตูเมืองไว้ ห้ามผู้ใดออกนอกเมืองแล้วก็เอาแต่อยู่ในจวน กิน ดื่ม เล่นสนุก อีกทั้งยังห้ามหมอหลวงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการรักษาโรคระบาดอีกด้วย
ผู้ที่ติดโรคระบาดมิได้รับการรักษาจึงได้แต่รอความตายเพียงอย่างเดียว ต่อให้คนในบ้านทุกข์ใจและวิตกกังวลเพียงใดก็ได้แต่มองพวกเขาทนทุกข์ทรมานจากโรคระบาดและกลายเป็นศพภายในมิกี่วัน
แม้ขุนนางจักอ้างว่าต่อให้ใต้เท้าเจียวลงมือช่วยก็มิสามารถจัดการกับโรคระบาดได้อยู่ดี แต่พฤติกรรมของพวกนั้นก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการปล่อยให้ชาวฉู่โจวนอนรอความตาย
ดังนั้นชาวฉู่โจวจำนวนมากจึงเกลียดชังใต้เท้าเจียว
ตอนนี้เมื่อทางการมีการประกาศออกมาจึงนับว่าปกติมากถ้าชาวฉู่โจวจักดูถูกและเยาะเย้ย
อันหลิงเกอที่ยืนอยู่ด้านหลังของอันอิงเฉิงได้เห็นสีหน้าราษฎรเหล่านั้นแล้วใบหน้าของนางก็แลดูเศร้าโศกเล็กน้อย
“ท่านพ่อเจ้าคะ เรื่องนั้นได้เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอกล่าวจบก็เก็บสายตา จากนั้นก็มองไปที่มุมหนึ่งแล้วสบเข้ากับสายตาของมู่จวินฮานพอดี