ตอนที่ 22 ไม้กลายเป็นเรือ
เมื่อเห็นปี้จูเดินจากไป สาวใช้ที่นำทางก็ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากขึ้นเพียงชั่วพริบตา จากนั้นนางก็กล่าวกับอันหลิงเกออย่างนอบน้อมว่า “คุณหนูอันเจ้าคะ ตามข้าน้อยมาทางนี้เจ้าค่ะ”
นางนำทางอันหลิงเกอมาจนถึงห้องรับแขก เมื่อเห็นอันหลิงเกอเดินเข้าไปหลังฉากกั้นแล้ว จึงได้ค่อย ๆ ออกจากห้อง แต่ขณะที่กำลังจะล็อกประตูกลับเห็นอันหลิงเกอที่ควรจะเปลี่ยนเสื้อผ้ามาอยู่ในห้องนั้นมายื่นอยู่ตรงด้านหน้าของตนแทน
หลังจากนั้นอันหลิงเกอก็ตีสาวใช้ที่นำทางมาจนสลบ ขณะกำลังจะกลับไปตามทางเดิม กลับพบมู่จวินฮานเข้าโดยบังเอิญ
“มู่ซือจื่อ เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะเจ้าคะ ? ”
นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย พร้อมกับขมวดคิ้วขึ้น เหตุใดมิว่านางจะไปที่ใดก็จะได้พบกับคนผู้นี้อยู่ร่ำไป
มู่จวินฮานมองท่าทีที่เอือมระอาตนของอันหลิงเกอแล้ว ดวงตายาวรีคู่นั้นก็มีประกายรอยยิ้มขึ้น
“ที่แห่งนี้คือเรือนหน้าที่ใช้ต้อนรับแขกผู้ชาย คุณหนูอันควรจะถามตนเองจะดีกว่า ว่าเหตุใดท่านจึงมิได้อยู่ในงานเลี้ยงสำหรับสตรี แต่กลับมาอยู่ที่เรือนหน้าเช่นนี้ได้ ? ”
พลันเขาก็นึกถึงคำกล่าวในวันนั้นของฮูหยินรองแห่งจวนโหวขึ้นมา เดาว่าอันหลิงเกอคงถูกคนเล่นงานเข้าให้แล้ว อยากรู้เสียจริงว่านางจะทำเยี่ยงไรต่อไป
เมื่ออันหลิงเกอได้ฟังก็ฉายแววประหลาดใจออกมา นางรู้เพียงว่าอี้เหนียงและอี้หวางเฟยจะเล่นงานนาง แต่กลับมิรู้ว่าที่นี่คือเรือนหน้าที่ใช้ต้อนรับแขกผู้ชาย
เมื่อนึกตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง อันหลิงเกอก็ล่วงรู้ถึงแผนการของอี้เหนียงรองในทันที จากนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับปีศาจของมู่จวินฮาน ทันใดนั้นมุมปากก็พลันปรากฏรอยยิ้มแฝงเลศนัยบางอย่างขึ้นมา
“มู่ซือจื่อ ท่านเองก็มิอยากแต่งงานกับอันหลิงอีใช่หรือไม่ ? ”
รอยยิ้มที่ส่งมานี้ทำให้มู่จวินฮานรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกนางเล่นงานเข้าแล้ว แต่กลับยับยั้งความอยากรู้ของตนเองเอาไว้และตอบกลับนางว่า “แน่นอน แล้วคุณหนูอันมีแผนการเยี่ยงไรกัน?”
อันหลิงเกอยกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นกว่าเดิม แล้วกระซิบบอกแผนการของตน
เมื่อมู่จวินฮานได้รับฟัง คิ้วอันดกดำและพาดเฉียงไปกับดวงตาของเขาก็กระตุกขึ้น พลันมุมปากยกยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความขี้เล่น จากนั้นเดินเข้าหาอันหลิงเกออย่างมีลับลมคมใน
“เยี่ยงนั้นก็ทำตามแผนที่เจ้าวางเอาไว้ แต่ว่าคุณหนูอันขอร้องให้ข้าช่วย เท่ากับว่าติดค้างน้ำใจข้าใช่หรือไม่ ? เจ้าคิดจักตอบแทนข้าเยี่ยงไรกัน ? ”
“ท่านช่วยข้าจากการโดนเล่นงานในครานี้ ส่วนข้าก็ช่วยท่านจากอันหลิงอี เรื่องนี้ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ จะนับว่าข้าติดค้างน้ำใจของท่านได้เยี่ยงไรกันเล่า ? ”
หลังจากกล่าวจบ อันหลิงเกอก็ค่อยๆ ขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าว เพื่อให้ห่างจากมู่จวินฮานออกไปอีกนิด
เมื่อเห็นท่าทางของนาง มู่จวินฮานก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา เพียงแค่ทำสัญญาณบางอย่างมือขึ้น ทันใดนั้นซูม่อก็กระโจนลงมา
“เจ้านำสิ่งนี้ไปให้คุณหนูรองตระกูลอัน จากนั้นกล่าวว่า……”
……
ในงานเลี้ยงฮูหยินรองแห่งจวนโหวและอี้หวางเฟยพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ เมื่อเห็นสาวใช้เดินนำอันหลิงเกอออกไปแล้ว ทั้งสองก็ส่งสายตาให้กันอย่างรู้กัน
“หากเรื่องนี้สำเร็จแล้วล่ะก็ หรูเสวี่ย เจ้าก็ถือเป็นผู้มีพระคุณของจวนอ๋องอี้ของเราเลยนะ”
อี้หวางเฟยเรียกชื่อจริงของหลี่ซื่อด้วยท่าทางโล่งใจ
เมื่อได้รับฟัง หลี่ซื่อก็ยกยิ้มขึ้น
“ผู้มีพระคุณอันใดกัน เจ้าก็เห็นหน้าตาท่าทางของอันหลิงเกอแล้ว ดูธรรมดามิมีอันใดพิเศษ เดิมจะแต่งเข้าจวนอ๋องมู่ แต่ว่ามารดาของนางนั้นอายุสั้นจึงมิมีใครคอยสั่งสอน หากนางไปทำให้จวนอ๋องมู่มิพอใจเข้า เยี่ยงนั้นก็จะเป็นเรื่องเอาได้ และพอดีกับที่เจ้าส่งคนไปถาม ข้าจึงไปปรึกษากับท่านโหวให้ส่งอันหลิงเกอแต่งเข้าจวนอ๋องอี้ มีเจ้าคอยดูแล ข้าก็วางใจ”
อี้หวางเฟยยังมิทราบเรื่องที่อันหลิงเกอและมู่จวินฮานจะแต่งงานกัน เมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจ
“อันหลิงเกอหมั้นกับมู่จวินฮานแล้ว ? เยี่ยงนั้นถ้าให้นางแต่งเข้าจวนอ๋องอี้ จวนอ๋องมู่จะทำเยี่ยงไร ? ”
“เจ้าอย่าได้กังวลใจไป ฮ่องเต้เพียงแต่มีราชโองการพระราชทานสมรสระหว่างจวนอ๋องมู่กับจวนโหวเพียงเท่านั้น แต่มิได้ตรัสว่าเป็นคุณหนูคนไหน หากอันหลิงเกอกับซือจื่อตระกูลเจ้าพลาดท่าตกล่องปล่องชิ้นกัน จากข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว อันหลิงอีก็จะแต่งเข้าจวนอ๋องมู่แทนนางเอง”
หลี่ซื่อกล่าวออกมาอย่างมิได้ปิดบังแผนของตนแม้แต่น้อย
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้น อี้หวางเฟยจึงได้วางใจ เดิมทีนางยังเป็นกังวลว่าหลี่ซื่อรับปากยกอันหลิงเกอแต่งเข้าจวนอ๋องอี้รวดเร็วปานฉะนี้ จะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างเป็นแน่ จึงได้เตรียมตัวรอหลี่ซื่อเปิดปากก่อน แต่จะผู้ใดจะไปคาดคิดว่าหลี่ซื่อนั้นแค่ต้องการปูทางให้บุตรสาวของตนเอง เช่นนั้นระหว่างพวกนางก็ถือว่าได้ประโยชน์ร่วมกัน มิมีใครติดค้างใคร เมื่อเป็นเช่นนั้นอี้หวางเฟยจึงยิ้มออกมาด้วยท่าทางเต็มอกเต็มใจ
“เจ้าโปรดวางใจ ทุกอย่างได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว อันหลิงเกอวันนี้จะต้องเป็นคนของหมิงเอ๋ออย่างแน่นอน”
หลังจากทั้งสองคนที่ดื่มด่ำอยู่กับความสุข จึงมิมีใครสังเกตเห็นว่าอันหลิงอีที่เดิมทีนั่งอยู่ในงานเลี้ยงแต่ในตอนนี้กลับหายตัวไปเสียแล้ว
เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว อี้หวางเฟยจึงได้แสร้งตีที่หน้าผากของตัวเอง ทำท่าทางราวกับเพิ่งจะนึกขึ้นได้
“นี่ก็ผ่านไป 1 ก้านธูปแล้ว เหตุใดคุณหนูใหญ่ยังไปมิกลับมาอีกล่ะเนี่ย ? ”
หลี่ซื่อที่อยู่ด้านข้าง จึงรีบผสมโรงในทันที
“หรือว่าจะเกิดอันใดขึ้น ? อี้หวางเฟยได้โปรดช่วยตามหาเกอเอ๋อด้วยเพคะ หากนางเป็นอันใดขึ้นมา ข้าจะไปบอกท่านโหวว่าเยี่ยงไรกัน”
อี้หวางเฟยมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
“หรูเสวี่ย เจ้าวางใจเถิด คุณหนูใหญ่อยู่ในจวนอ๋องอี้ ข้าจะมิมีทางให้เกิดอันใดขึ้นกับนางเป็นอันขาด”
เมื่อนางปรับสีหน้าเพื่อเล่นละครเสร็จแล้ว จึงได้บอกกับทุกคนว่า “คุณหนูใหญ่ตระกูลอันบัดนี้ยังมิกลับมา หรูเสวี่ยนั้นเป็นห่วงอย่างมาก ข้าจึงจะนำคนออกไปตามหาก่อน ขอทุกท่านได้โปรดอภัยด้วย”
เมื่อได้รับฟัง ฮูหยินทั้งหลายจะกล่าวเยี่ยงไรได้ ยังมีฮูหยินที่ต่ำศักดิ์อีกมากมายที่อยากจะเข้าหาจวนอ๋องอี้ จึงได้กล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “ถ้าเยี่ยงนั้นพวกเราออกไปช่วยพระชายาตามหาด้วยดีกว่า จะได้ตามหาคุณหนูอันเจอได้เร็วขึ้น”
คำกล่าวนี้แหละคือสิ่งที่พวกนางต้องการ เมื่อได้ฟังคำกล่าว อี้หวางเฟยและหลี่ซ่อก็สบตาอย่างรู้กัน และรู้สึกขอบคุณเหล่าฮูหยินที่กระตือรือร้นเหล่านี้ยิ่งนัก
คนกลุ่มใหญ่ออกตามหาทั่วเรือนหลังอย่างเอิกเกริก แต่สุดท้ายกลับมิพบแม้แต่เงา
เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ หลี่ซื่อก็แสร้งทำหน้าเศร้าลงพร้อมกล่าวว่า “แย่แล้ว เกอเอ๋อคงมิได้หลงทางไปถึงเรือนหน้าหรอกกระมัง ? ”
เรือนหน้าเป็นสถานที่ต้อนรับแขกผู้ชาย คุณหนูใหญ่จะไปอยู่ที่นั่นได้เยี่ยงไร ?
ฮูหยินบางคนกำลังคิดเยี่ยงนั้น แต่กลับได้ยินอี้หวางเฟยกล่าวขึ้นเสียก่อนว่า “เหลือเพียงเรือนหน้าเพียงเท่านั้นที่ยังมิได้ค้นหา ข้าจะพาคนไปตรวจดูเดี๋ยวนี้”
เมื่อกล่าวจบ นางก็เดินออกไปพร้อมกับหลี่ซื่อซึ่งรีบเดินตามไปในทันที ฮูหยินคนอื่นๆ จะออกไปกลางคันก็คงมิเหมาะ จึงได้ตามพวกนางไปที่เรือนหน้าด้วย
อี้หวางเฟยเดินนำคนเปิดประตูห้องรับแขกหาทีละห้องอย่างมิได้เจาะจง จนกระทั่งเห็นผ้าเช็ดหน้าหล่นอยู่หน้าห้อง ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาในทันที
“นั่นมันผ้าเช็ดหน้าของเกอเอ๋อนิเพคะ เกอเอ๋อต้องอยู่ที่นี่เป็นแน่ ! ”
หลังจากกล่าวจบ หลี่ซื่อก็พุ่งตัวเปิดประตูเข้าไปก่อน เมื่อประตูห้องรับแขกเปิดออก ภายในมีม่านบังเอาไว้โดยรอบทุกอย่างดูมืดสลัว ประตูที่เปิดออกช่วยให้แสงส่องเข้ามา ภาพภายในห้องปรากฏสู่สายตาของทุกคน เป็นร่างของคนสองคนกำลังกอดกันนัวเนีย ถึงแม้ว่าจะยังสวมเสื้อผ้าอยู่ แต่ก็ทำให้หลายคนส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ
อี้หวางเฟยแสร้งปิดปากด้วยความตกใจ
“คุณหนูใหญ่เหตุใดจึงมาอยู่กับหมิงเอ๋อได้ ? ”
นางเอ่ยชื่อของคนทั้งสองออกมาได้ในทันที จากนั้นก็มีคนรับใช้รีบวิ่งเข้าไปแยกทั้งคู่ออกจากกันอย่างรวดเร็ว
จากนั้นหลี่ซื่อก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วแสร้งทำน้ำตาไหลลงมาทันที
“เกอเอ๋อ เหตุใดเจ้าถึงทำตัวเยี่ยงนี้ กล้ายั่วยวนอี้ซือจื่อให้ทำเรื่องเยี่ยงนี้ ! เจ้าจะให้ข้ามีหน้าไปพบแม่ที่จากไปของเจ้าได้เยี่ยงไรกัน แล้วจะให้ข้าไปบอกกับนายท่านว่ากระไร ! ”
นางแสร้งทำเจ็บปวดหัวใจราวกับแม่เลี้ยงที่รักลูกเลี้ยงเสียหนักหนา แต่แววตาของนางกลับทอประกายชั่วร้ายออกมา มิว่าผู้ใดต่างก็รู้ดีว่าอี้ซือจื่อนั้นเป็นบุรุษผู้โง่เขลา คนโง่ก็ย่อมมิมีทางที่จะเกี้ยวพาผู้หญิงก่อนอยู่แล้ว จะต้องเป็นคุณหนูอันที่เป็นฝ่ายยั่วยวนอี้ซือจื่ออย่างแน่นอน
ทุกคนกำลังคิดไปต่าง ๆ นานา ภายในใจเต็มไปด้วยการดูถูกอันหลิงเกอ แต่จู่ ๆ กลับได้ยินเสียงหญิงสาวภายในห้องกรีดร้องออกมา
“อ๊าย ! เจ้าเป็นใคร เหตุใดมู่ซือจื่อถึงมิอยู่ที่นี่ ? ”
อันหลิงอีเงยหน้ามองออกไปด้านนอกอย่างตกตะลึงงัน
เมื่อใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ในห้องนั้นปรากฏต่อสายตาของทุกคนอย่างแจ่มชัด ก็เป็นเหตุให้ทุกคนตกตะลึงงัน อีเอ๋อเยี่ยงนั้นหรือ เหตุใดคนในห้องถึงเป็นอีเอ๋อไปได้ ?
เมื่อหลี่ซื่อได้เห็นใบหน้าของผู้ที่นางคิดว่าเป็น ‘อันหลิงเกอ’ ซึ่งอยู่เบื้องหน้าอย่างแจ่มชัดแล้ว ใบหน้าของนางก็ซีดเผือดลงในทันที มือที่ปาดน้ำตาสั่นเทาขึ้นมาอย่างห้ามมิอยู่ และรู้สึกหน้ามืดจนเกือบจะเป็นลมล้มพับลงไป