ตอนที่ 221 ราบรื่น
เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ดูแล้วช่างบังเอิญยิ่งนัก แท้จริงก็เป็นแค่การจัดฉากขึ้นมา
เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ แววตาของอันหลิงเกอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากเมื่อวานนี้หนึ่งในคนของพวกนางบังเอิญติดโรคระบาด ตอนแรกพวกนางมิได้สังเกตเห็น แต่กลางดึกคนผู้นั้นก็กรีดร้องดังลั่นออกมา อันอิงเฉิงและมู่จวินฮานถึงรู้ว่าเขาติดโรคระบาด
บังเอิญว่ามู่จวินฮานและอันอิงเฉิงยังมิเคยเห็นผลลัพธ์ของยาสูตรนี้กับตาตนเองจึงมีท่าทีลังเลอยู่บ้าง อันหลิงเกอจึงฉวยโอกาสนี้ให้คนต้มยาแล้วนำไปให้คนที่ติดโรคระบาดดื่มลงไป
ซึ่งคนผู้นั้นติดโรคในระยะเริ่มแรก พอดื่มยาลงไปมิถึงครึ่งชั่วยามก็หายดี พวกเขาถึงได้เลิกสงสัยและเชื่อถือในยาสูตรนี้
ด้วยเหตุนี้อันหลิงเกอจึงแนะนำให้ขุนนางฉู่โจวที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาใหม่ ประกาศสูตรยานี้ออกไป จากนั้นพวกเขาก็เช่าร้านยาร้านหนึ่งแล้วแกล้งทำเป็นคนค้าขาย ให้ทหารนายหนึ่งปลอมตัวเป็นขอทานที่ติดโรคระบาด ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแสดงละครให้ชาวฉู่โจวกล้าใช้ยา
หากมิทำเช่นนี้ชาวฉู่โจวจักยอมทานยาที่ผุดออกมาอย่างกะทันหันหรือไร
วันนี้เป็นวันแรกที่พวกเขาได้ปรากฏตัวขึ้นในเมืองฉู่โจว แม้คนที่มาซื้อยามีแค่หลักสิบแต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี
เมื่อฟ้าเริ่มมืด อันหลงเกอจึงดับเทียน รายชื่อที่วางอยู่บนโต๊ะถูกลมพัดเล็กน้อยราวกับที่นี่ยังคงเป็นเมืองฉู่โจวอันสงบสุข
ทางด้านใต้เท้าเจียวในฐานะนายอำเภอคนใหม่ก็ต้องได้ยินเรื่องนี้จากปากเจ้าหน้าที่แน่นอน
หมอหลวงสี่ห้าคนนั่งด้านข้างใต้เท้าเจียว แววตามีความกังวลอยู่บ้าง
“ใต้เท้าเจียว ตอนนี้พวกเราควรทำเยี่ยงไรขอรับ ? ”
“ใช่ขอรับ ฝ่าบาทส่งท่านโหวและท่านมู่ซื่อจื่อมาที่นี่ พวกเรารับมือมิไหวหรอกขอรับ ! ”
“ตอนนั้นใต้เท้าเจียวแนะนำให้เราออกห่างจากเรื่องนี้ ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงแล้ว ใต้เท้าเจียวต้องหาวิธีแก้ไขด้วยนะขอรับ!”
เหล่าหมอหลวงพูดต่อ ๆ กัน ทำให้ทั้งห้องโถงเกิดเสียงเอะอะโวยวายขึ้นมา
ใต้เท้าเจียวได้ฟังคำพูดปัดความรับผิดชอบของหมอหลวงก็รู้สึกเย้ยหยันอยู่ภายในใจ
แม้จักเป็นเช่นนี้ เขาในฐานะที่ใช้ชีวิตอยู่ในแวดวงขุนนางมาครึ่งชีวิตก็มิได้แสดงความโกรธออกมา กลับหัวเราะปลอบใจพวกเขาเท่านั้น
“ทุกท่านใจเย็น อย่าเพิ่งรีบร้อน”
ในบรรดาขุนนางเหล่านี้เขามียศสูงที่สุด พอเขาเอ่ยแล้วหมอหลวงหลายคนต้องไว้หน้าและยอมสงบเพื่อรอฟังว่าเขาจักกล่าวอันใด
ใต้เท้าเจียวเกลียดท่าทีปัดความรับผิดชอบเยี่ยงนี้มาก ทั้งที่ได้ตกลงกันไว้แล้วในคราแรก ตอนนี้พอถูกท่านโหวและมู่ซื่อจื่อจับจุดอ่อนได้ก็โยนความผิดมาที่เขาทั้งหมด
แต่สิ่งนี้ก็มิเป็นอุปสรรคในการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเหล่าหมอหลวง “คาดมิถึงว่าฝ่าบาทจักส่งท่านโหวและมู่ซื่อจื่อมา”
แม้ในปัจจุบันอ๋องบรรดาศักดิ์มิใช่เชื้อพระวงศ์จักมิมีอำนาจแล้ว แต่ฮ่องเต้ก็ยังอยากกำจัดพวกเขาทิ้งอยู่ ซึ่งอ๋องเหล่านั้นก็มิใช่คนโง่ ย่อมเดาความคิดของฮ่องเต้ออกได้อย่างแน่นอน และเรื่องโรคระบาดนี้ขุนนางชั้นสูงย่อมรู้ดีว่ายากควบคุม หากทำมิสำเร็จก็อาจถูกลงโทษได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านโหวและมู่ซื่อจื่อถึงยอมรับราชโองการในครั้งนี้กัน ?
ถ้าเกิดมิระวังและติดโรคระบาดขึ้นมาก็คือการใช้ชีวิตเข้าแลกเลยทีเดียว !
ดังนั้นตั้งแต่รับราชโองการ พวกเขาจึงหลบเลี่ยงชาวฉู่โจวเพราะกลัวติดโรคระบาด
หมอหลวงบางคนสบตากันพลางคาดเดาว่า “ข้าได้ยินว่าท่านโหวและท่านมู่ซื่อจื่อมีสูตรยาอยู่ พวกเขาต้มยาให้ขอทานคนหนึ่งดื่มเพื่อรักษาโรคบนถนนทางทิศตะวันออก หรือว่าพวกเขามีความมั่นใจต่อยานั้นมาก ? ”
“มิเพียงแค่นั้น ! ” หมอหลวงอีกคนถอนหายใจและกล่าวอย่างจริงจัง “ตอนนั้นมีผู้ติดตามของข้าไปซื้อของแล้วเดินผ่านถนนเส้นนั้นพอดี นางเห็นท่านมู่ซื่อจื่อจับแขนขอทานที่ติดโรคระบาดด้วย”
คนที่ติดโรคระบาด ผู้ใดแตะต้องย่อมติดโรคไปด้วยอย่างแน่นอน !
เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนก็ตะลึงมิหยุด มีคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงสั่นว่า “แล้วตอนนี้มู่ซื่อจื่อเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“ตอนนี้ยังมิทราบเลย”
หมอหลวงที่กล่าวถอนหายใจทีหนึ่ง “แต่ผู้ติดตามของข้าบอกว่ามู่ซื่อจื่อมีความมั่นใจต่อตัวยานั้นมากเพราะเคยทานยานั้นมาก่อนจึงกล้าสัมผัสผู้ป่วย”
แม้มั่นใจเพียงใดก็มิควรสัมผัสเยี่ยงนั้นมิใช่หรือ ! เกิดมู่ซื่อจื่อติดโรคขึ้นมาจริง ๆ พวกเขาต้องอยู่ให้ห่างจากมู่ซื่อจื่อไว้หรือไม่ ?
แต่ละคนมีความคิดหลากหลาย มีเพียงใต้เท้าเจียวที่นั่งอยู่ตรงกลางแล้วหัวเราะขึ้นมาอย่างฉับพลัน “มู่ซื่อจื่อมีความสามารถเหนือผู้คน การกระทำนี้ช่างกล้าหาญเสียจริง ! ”
กล้าหาญเยี่ยงนั้นหรือ ?
เหล่าหมอหลวงมองมาที่เขาเพราะเห็นว่าน่าจักเป็นความประมาทมากกว่า
ใบหน้าของใต้เท้าเจียวยังคงมีรอยยิ้ม “ทุกท่าน มิว่ายาสูตรนั้นได้ผลหรือไม่ การกระทำของมู่ซื่อจื่อได้คลายความกังวลของข้าแล้ว”
เขาหยุดไปสักพัก เมื่อเห็นคนอื่นยังคงมีสีหน้าสับสนจึงได้ส่ายหน้าแล้วอธิบายว่า “หากยาสูตรนั้นได้ผลจริง มู่ซื่อจื่อใช้ชีวิตตนไปเสี่ยงเพื่อซื้อความเชื่อถือจากราษฎรและกระจายสูตรยาออกไป แน่นอนว่าเขาจักสามารถรักษาคนได้มากขึ้น แต่หากยาสูตรนั้นมิได้ผล อีกมิกี่วันมู่ซื่อจื่อก็คง…”
อีกมิกี่วันมู่ซื่อจื่อคงอันใดหรือ ?
คำที่เหลือใต้เท้าเจียวมิได้กล่าวออกมา แต่หมอหลวงเหล่านั้นก็รู้กันอยู่แล้ว
ผู้ที่เป็นโรคระบาดนอกจากตายแล้วยังสามารถเป็นอันใดได้อีก ?
มิต้องกล่าวถึงมู่จวินฮานที่เป็นแค่ซื่อจื่อหรอก แม้กระทั่งเชื้อพระวงศ์หากติดโรคระบาดก็มีแต่ตายสถานเดียว
หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “หากเป็นกรณีแรกเราจักทำเยี่ยงไรและกรณีหลังจักเป็นอย่างไรหรือขอรับ ? ”
ใต้เท้าเจียวมีสีหน้าผ่อนคลาย “หากเป็นกรณีแรก ท่านโหวและมู่ซื่อจื่อรักษาโรคระบาดได้ ข้าจักคอยสนับสนุนเรื่องยาอยู่ข้างกายพวกเขา แต่ถ้าเป็นกรณีหลัง มู่ซื่อจื่อเกิดโชคร้ายตายไป ท่านโหวก็ต้องถูกฝ่าบาทลงโทษ มิแน่ว่าท่านอ๋องมู่ก็จักเพ่งเล็งท่านโหวและระบายความโกรธเอากับเขา ยังมีเวลาไปฟ้องพวกเราต่อฝ่าบาทอีกหรือ ? ”
ฟังแล้วก็มีเหตุผล แต่หมอหลวงก็ยังรู้สึกมิดีอยู่เหมือนเดิมเพราะอย่างไรเสียคำตอบก็ยังมิชัดเจน
“ทว่าเรื่องที่เราทำ…”
“ใต้เท้าหม่า เรามิได้ทำอันใดทั้งนั้น” ใต้เท้าเจียวกล่าวตัดบทใต้เท้าหม่า ใบหน้ายิ้มแย้มหายไป เปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาแทน “ข้ารู้ว่าวันนี้ทุกท่านถูกท่านโหวและมู่ซื่อจื่อจับได้จึงกังวลใจ แต่คนของเราเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แม้มู่ซื่อจื่อต้องการร้องเรียนต่อฝ่าบาทก็มิอาจเอาเรื่องที่พวกท่านดื่มสุราไปกล่าวได้หรอก”
มู่จวินฮานมิใช่ฝ่ายตรวจการ มีสิทธิ์อันใดมายุ่งเรื่องคนอื่นดื่มสุราเคล้านารี ?
มุมปากใต้เท้าเจียวมีรอยเย้ยหยันขึ้นมา แต่ในเวลารวดเร็วก็กลับสู่ท่าทางเดิม
เหล่าหมอหลวงค่อยคลายกังวล “เช่นนั้นพวกเรายังต้องทำตามคำสั่งของมู่ซื่อจื่อและท่านโหวอยู่หรือไม่ ? ”
“แน่นอน” ใต้เท้าเจียวพยักหน้า “หายากที่จักมีขุนนางชั้นสูงสองคนทำเพื่อราษฎรอย่างแท้จริง ข้ามิอาจเป็นตัวถ่วงอย่างเด็ดขาด”
เพราะหากทำสำเร็จ ตนก็ถือว่ามีผลงานด้วย ถึงตอนนั้นฮ่องเต้ทรงมีความสุขย่อมมิเอาความกับเรื่องก่อนหน้านี้ หากทำมิสำเร็จก็ยังมีคนสองคนคอยแบกรับไว้อยู่แล้ว ฮ่องเต้จักลงโทษก็คงลงโทษสองคนนั้น มิแน่ฮ่องเต้อาจรู้สึกว่าพวกตนดีกว่าเมื่อเทียบกับท่านโหวและมู่ซื่อจื่อที่ทำงานล้มเหลวก็เป็นได้