ตอนที่ 222 ตัวปัญหา
กล่าวมาถึงตรงนี้บรรดาหมอหลวงก็รู้สึกโล่งใจจึงกล่าวลาใต้เท้าเจียวทีละคน
เมื่อพวกเขาจากไป ใต้เท้าเจียวมิรู้ว่ากดไปตรงบริเวณไหน ทันใดนั้นก็มีช่องว่างปรากฏขึ้นบนผนัง จากนั้นทั้งผนังก็เริ่มหมุนปรากฏให้เห็นห้องลับห้องหนึ่งทันที
ใต้เท้าเจียวค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้องลับ ท่าทางคุ้นเคยกับมันมาก
เขานำหินเหล็กไฟออกมาแล้วจุดเทียนในห้องขึ้น
ห้องที่มืดมิดพลันสว่างขึ้นในทันที แสงเทียนที่กระทบใบหน้าของเขา บางครั้งก็ทำให้เกิดเงามืดสว่างสลับกันไปมา
พวกหมอหลวงโง่เขลา !
เขายื่นมือไปลูบรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ในห้องลับ แววตาเริ่มเป็นประกายประหลาดขึ้นมา
หากให้เขาไปรักษาโรคระบาดจริงแล้วเขาควรอธิบายกับคนผู้นั้นว่าเยี่ยงไร และจักเอาสมบัติที่ทั้งชีวิตนี้ก็หามิได้อีกแล้วออกไปจากที่นี่ได้เยี่ยงไร ?
มีคนผู้หนึ่งจ้างให้เขายื้อเวลาโรคระบาดออกไป 1 เดือน ตอนนี้ผ่านไป 20 วันแล้ว หากอันอิงเฉิงมิสามารถควบคุมโรคระบาดได้ภายใน 10 วัน ก็ถือว่าเขาได้สำเร็จแล้วสมบัติล้ำค่าเหล่านี้กำลังรอเขาอยู่
อาจเพราะนึกถึงแล้วก็รู้สึกสุขใจ ใต้เท้าเจียวจึงเริ่มฮัมเพลงเบา ๆ
จนมิได้สังเกตว่าด้านนอกมีเงาหนึ่งเคลื่อนไหวมิหยุด ดูผิวเผินเหมือนเงาของต้นไม้เวลามีลมพัดผ่าน แต่เงานั้นยืนขึ้นและค่อย ๆ หายไป
เงานั้นหันกลับมามองห้องลับทีหนึ่ง จากนั้นก็กลืนหายไปในความมืดทันที
เวลากลางคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ร้านยาที่เปิดใหม่เต็มไปด้วยผู้ยากไร้ที่มาต่อแถวซื้อยา
เมื่อวานนี้พวกเขาได้ยินเพื่อนบ้านกล่าวว่ามียารักษาโรคระบาดตัวหนึ่ง ยานี้ทั้งดีและราคาถูกโดยหนึ่งชุดจ่ายเงินแค่ 5 อีแปะจึงพากันมาซื้อ
หากยาชุดนี้สามารถรักษาโรคระบาดได้จริง พวกเขาก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้แล้วมิใช่หรือ?
มนุษย์ขอเพียงมีความหวังเล็กน้อยก็มิควรปล่อยให้หลุดมือไปโดยง่าย
อันหลิงเกอเก็บกระดาษขึ้นมาแล้วโยนลงในเตาไฟ กระดาษถูกเผาจนม้วนตัวอยู่ในกองไฟ มินานก็ถูกเผาจนมิเหลือแม้แต่เศษซาก
แม้บนใบหน้าของนางยังมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนและใจดี คอยดูและจัดการให้คนต้มยาแก่ชาวบ้าน แต่สายตาที่มองไปก็ฉายแววโศกเศร้าอยู่บ้าง
คนเหล่านี้ล้วนอาศัยอยู่ที่เมืองฉู่โจวมานาน ปกติพบหน้ากันย่อมต้องทักทายกันอยู่แล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาติดโรคระบาด มิรู้ว่าจักสามารถรักษาชีวิตได้หรือไม่จึงมิมีอารมณ์มาสนทนากันเลย
มีเพียงชายร่างผอมที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนแล้วกล่าวเสียงเบาออกมา “พี่สะใภ้หลี่ ท่านว่ายานี้ใช้ได้ผลจริงหรือ ? ”
“ได้ผล ได้ผลสิ” สตรีที่ถูกเรียกว่าพี่สะใภ้หลี่ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยมิรู้ว่ากำลังตอบชายผู้นั้นหรือปลอบใจตนเอง “ลูกพี่ลูกน้องของหลานสาวที่อยู่ข้างบ้านติดโรคระบาด เมื่อวานมาซื้อยาชุดนี้ทาน ตกกลางคืนก็มิเป็นอันใดแล้ว ยานี้ได้ผลดีเหลือเกิน ! ”
“จริงหรือ ? ” ดวงตาของชายร่างผอมแห้งเป็นประกาย มิรู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่ “แต่ข้าได้ยินว่าคนของร้านเหล็กทางทิศเหนือได้ทานแล้วตายนะ ! ”
ร้านเหล็กทางทิศเหนือของเมืองฉู่โจว เดิมทีเป็นครอบครัวมีฐานะร่ำรวย ต่อมาซุนยิงช่างตีเหล็กได้รับบาดเจ็บที่ขา จึงใช้เงินรักษาขาทั้งหมดจนทำให้ยากจนลงเรื่อย ๆ
ถ้าจักบอกว่าร้านเหล็กทางทิศเหนือมาซื้อยาที่นี่ก็มิน่าแปลกใจอันใด
เมื่อป้าหลี่ได้ฟังก็ตกตะลึงอย่างมาก ใบหน้าฉายความลังเลออกมา “นี่ มิใช่กระมัง หากยานั้นทานแล้วทำให้คนตาย เหตุใดยังมีคนกล้ามาซื้อยาอีกเล่า ? ”
“ท่านยังมิเข้าใจอีกหรือ” ชายร่างผอมกระซิบเสียงเบา “เพราะยานี้กินแล้วตายได้ พวกเขาจึงกล้าบอกว่ารักษาโรคหายเยี่ยงไรเล่า ก็คนตายไปแล้วย่อมมิอาจโทษพวกเขาได้ ท่านลองคิดให้ดีว่าตั้งแต่อดีตมาจนถึงตอนนี้ มีผู้ใดสามารถคิดค้นยารักษาโรคระบาดได้บ้าง ? คนพวกนี้เอาแต่โอ้อวดโดยมิรู้จักละอาย เพียงเอายาออกมาชุดหนึ่งก็บอกว่ารักษาโรคระบาดได้แล้ว นี่เป็นการหลอกพวกเราชัด ๆ ”
เขาพูดได้อย่างสมจริงนักจนป้าหลี่เริ่มลังเล หากยานี้กินแล้วตายจริง ๆ เช่นนั้นมิกินยังดีกว่า !
นางคิดได้เยี่ยงนี้จึงกล่าวกับชายผอมแห้งอีกมิกี่คำแล้วหันหลังกลับบ้านไป
ชายร่างผอมเหมือนทำตามแผนเดิมไปเรื่อย ๆ เขาวิ่งไปด้านข้างของอีกคนและเริ่มกล่าวเหมือนเมื่อครู่อีกครั้ง
อันหลิงเกอเอาแต่มองเตาต้มยา เหมือนมิเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อันอิงเฉิงที่เพิ่งก้าวออกมาจากคลังเก็บยาสมุนไพรเห็นคนที่มาซื้อยาได้จากไปจึงเลิกคิ้วขึ้นตามสัญชาตญาณ
ตามแผนของพวกเขาคือหลังจากเหตุการณ์เมื่อวานแพร่ออกไป ชาวฉู่โจวอย่างน้อยมากกว่าครึ่งต้องเชื่อแล้วทยอยมาซื้อยา มิใช่ว่าเดินจากไปทีละคนเยี่ยงนี้ ดูมิมีเหตุผลเอาเสียเลย
อันอิงเฉิงขมวดคิ้ว คิดเยี่ยงไรก็มิเข้าใจ
พอดีกับมู่จวินฮานเดินเข้ามา ด้านหลังของเขามีทหารองครักษ์เดินตามมาด้วย
“จับมันไว้ ! ”
บุรุษรูปงามตะโกนออกคำสั่งทำให้ดึงดูดสายตาผู้คนมากมายบนท้องถนนให้หันมามอง โดยเฉพาะบรรดาหญิงสาว
ทหารองครักษ์เหล่านี้ถูกฝึกฝนมาอย่างดี เมื่อคำสั่งมู่จวินฮานจบลงก็พุ่งเข้าไปจับตัวชายร่างผอมทันที
ชายร่างผอมกำลังกล่าวบางอย่างกับผู้ที่มาซื้อยา พอได้ยินเช่นนี้ยังมิทันได้หันกลับมาก็มีคนพุ่งไปจับมือเขาไพล่ไว้ด้านหลังทั้งสองข้างแล้ว
“พวกเจ้าทำอันใด ? ”
ชายร่างผอมที่ถูกจับได้ร้องดิ้นรน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ยังสามารถร้องออกมาเสียงดังว่า “กลางวันเยี่ยงนี้พวกเจ้าจักทำอันใด ! ”
มู่จวินฮานก้าวไปหาเขา เรือนร่างสูงสง่างามพอยืนอยู่ตรงหน้าชายร่างผอมแล้วยิ่งขับเน้นให้เขาดูดี “เมื่อคืนมีคนแอบเข้าไปในบ้านของช่างตีเหล็กซุนยิงเพื่อสังหารเขา โชคดีที่เขาหลบหนีมาได้และเข้าร้องเรียนเรื่องนี้กับทางการ เจ้าต้องเป็นผู้ร้ายอย่างแน่นอน”
ซุนยิงคือช่างตีเหล็กที่ขาเป๋เจ้าของร้านเหล็กทางทิศเหนือมิใช่หรือ ?
ชาวฉู่โจวยังจำได้ ทว่าเมื่อครู่คนผู้นี้บอกว่าซุนยิงทานยานี้แล้วตายมิใช่หรือ เหตุใดยังวิ่งไปร้องเรียนทางการได้เล่า ?
แววตาของชายร่างผอมมีความกลัวแล่นผ่าน แต่เพียงพริบตาเดียวก็กลับสู่ปกติ “พวกเจ้าอย่ากล่าวเหลวไหล ข้ามิได้ฆ่าคน พวกเจ้ามาจากที่ใด เหตุใดถึงจับตัวข้า ข้าต่างหากที่ต้องไปร้องเรียนกับทางการเรื่องที่พวกเจ้าทำเยี่ยงนี้กับข้า ! ”
ใบหน้าของมู่จวินฮานยังมิเปลี่ยนแปลง เขาเพียงโบกมือเบา ๆ “นำตัวซุนยิงออกมา”
พอเขากล่าวจบ ทหารองครักษ์ก็พาชายขาเป๋ออกมาทันที
“คารวะใต้เท้า” ซุนยิงเดินขาเป๋เข้ามา เมื่อเห็นมู่จวินฮานจึงคุกเข่าลง
คนด้านข้างรีบพยุงเขาไว้ “ซุนยิง เจ้าเล่ามาสิว่าคนผู้นี้เป็นใคร ? ”
ซุนยิงที่ถูกชายร่างผอมบอกว่าตายไปแล้ว อยู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าทุกคนโดยมิเป็นอันใดเลยทำให้ผู้คนตกตะลึงมิน้อย อีกทั้งคำพูดต่อมาของเขายิ่งเหมือนกับวางระเบิดเอาไว้
“เมื่อคืนข้านอนอยู่ก็มีคนปีนกำแพงเข้ามา มันใช้มือปิดปากและจมูกข้าไว้อย่างกะทันหัน คงอยากให้ข้าหายใจมิออกแล้วตาย”
สีหน้าซุนยิงดูเจ็บใจยิ่งนัก “ข้าดิ้นรนขัดขืนแต่สู้แรงของมันมิไหวจึงสลบไป บางทีมันอาจคิดว่าข้าตายไปแล้วจึงจากไป แต่ชีวิตข้ายังมิถึงฆาตจึงได้เจอใต้เท้าท่านนี้ เขาเป็นคนช่วยข้าไว้และพาข้ามาตามหาคนร้าย ส่วนคนที่ทำร้ายข้าก็คือมัน ! ”