ตอนที่ 229 เรื่องอื้อฉาว
เมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ตอนที่ทหารฟาดฝ่ามือลงมานางมิทันได้หลบก็จริง แต่การก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยของนางก็สามารถช่วยผ่อนน้ำหนักของฝ่ามือได้มากกว่าครึ่ง แม้ว่าบริเวณคอยังเจ็บเช่นเดิมแต่นางก็มิถึงขั้นหมดสติ
แม้จ้าวหลานหยู่เป็นองค์ชาย แต่ในเมื่อเขาอยากเล่นกับนางก็ต้องจ่ายแพงสักหน่อย
อันหลิงเกอออกจากจวนองค์ชายเจ็ดมาแล้ว อย่างแรกที่นางทำคือไปหาฉู่หยูเพื่อเปลี่ยนชุดสตรี จากนั้นก็เรียกรถม้าไปสำนักศึกษาจิงตู หมิงซินกำลังรอนางอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นนางเข้ามาจากด้านนอกจึงรู้สึกตกใจอยู่บ้าง แต่ใบหน้าก็มิได้แสดงออก
เมื่อรถม้าวิ่งจากไปไกลแล้ว หมิงซินจึงเอ่ยถาม “คุณหนูเจ้าคะ ท่านไปสนามม้ากับองค์ชายเจ็ดมิใช่หรือ ? เหตุใดจึงกลับมาจากด้านนอกเจ้าคะ ? ”
“ผู้ใดบอกว่าข้าไปสนามแข่งม้ากับองค์ชายเจ็ด วันนี้ข้ายังมิเคยพบองค์ชายเจ็ดมาก่อนเลย” อันหลิงเกอจ้องหมิงซินด้วยดวงตาสีดำสนิท “เจ้าอยู่กับข้าตลอดมิใช่หรือ เรามาหาจุนเกอร์เอ๋อและมิได้เกี่ยวอันใดกับองค์ชายเจ็ด”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นหมิงซินก็เข้าใจทันที นางรีบพยักหน้ารับ “ใช่เจ้าค่ะ บ่าวกำลังคำนวณเวลาอยู่เลย คุณชายรองคงเลิกเรียนแล้ว เรารีบเดินกันเถิดเจ้าค่ะ”
มีสาวใช้ที่ไหวพริบดีก็สะดวกเยี่ยงนี้เอง
อันหลิงเกอยกยิ้มมุมปากแล้วพาหมิงซินเดินไปทางสนามแข่ง
“พี่หญิง ท่านกลับมาแล้ว ! ”
พวกนางเพิ่งเดินไปถึงสนามม้า อันหลิงจุนก็รีบพลิกกายลงจากหลังม้าแล้วตะโกนเรียกนางด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
ใบหน้าเขายังชุ่มไปด้วยเหงื่อ ระหว่างคิ้วและหางตาเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงอย่างที่เด็กหนุ่มควรมี
อันหลิงเกอค่อยวางใจได้ เมื่อเห็นว่าจุนเกอร์เอ๋ออยู่ในสำนักศึกษาและยังคงสบายดี
สหายของเขาที่กำลังเล่นอยู่ในสนามม้าก็เดินเข้ามาเป็นกลุ่ม “นี่คือพี่หญิงของเจ้า คนที่รักษาโรคระบาดใช่หรือไม่ ? ”
“ได้ยินว่าฝีมือการแพทย์ของนางยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมเหมือนการเล่นโปโลของเจ้าเลย”
อันหลิงจุนลูบศีรษะตนด้วยความเขินอาย จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังอย่างภาคภูมิใจ “พี่หญิงของข้าเก่งยิ่งนัก”
ชายหนุ่มเหล่านั้นจับเเขนของเขาแล้วพูดว่า “พี่หญิงของเจ้าเก่ง มิใช่เจ้าเสียหน่อย เจ้าอย่าได้ใจนักเลย ”
อันหลิงจุนมิได้คิดเช่นนั้น เขายังแอ่นหน้าอกแล้วเริ่มคุยโอ้อวด “ข้าว่าพวกเจ้าต่างหากที่ขี้อิจฉา”
“จุนเกอร์เอ๋อ” อันหลิงเกอปรามเขาเบาๆ ทีหนึ่ง น้ำเสียงมิได้กล่าวโทษอันใดเลย น้องชายของนางสามารถหยอกเล่นกับคนอายุไล่เลี่ยกันเยี่ยงนี้นางถึงมีความสุข
ตอนที่นางเห็นอันหลิงจุนโดนองค์ชายเก้ารังแกเมื่ออยู่ในพระราชวัง นางยังนึกเจ็บใจอยู่มากจนเอาแต่คิดอยากช่วยเขาออกจากวัง
ต่อมาฮ่องเต้ทรงเปลี่ยนพระทัยแล้วสร้างสำนักศึกษาจิงตูขึ้นมา อันหลิงจุนจึงสามารถกลับจวนโหวได้เสียที นางยังเป็นห่วงว่าเขาจักมิสามารถเข้ากับผู้อื่นได้
จนตอนนี้เห็นเขาสามารถเดินออกมาจากความทรงจำเลวร้ายได้ ทั้งยังเล่นสนุกกับเหล่าสหาย ทำให้อันหลิงเกอสามารถวางใจได้เสียที
สหายของเขาเหล่านั้นรู้ความอย่างยิ่ง พอเข้ามาสนทนาได้สักพักก็พากันแยกย้าย ปล่อยให้สองพี่น้องได้พูดคุยกันตามลำพัง
“พี่หญิงจักกลับมาเหตุใดมิบอกข้าเลยขอรับ ? ” อันหลิงจุนบ่นอย่างน้อยใจ
เมื่อได้ฟังอันหลิงจุนกล่าวเช่นนี้ อันหลิงเกอก็เข้าใจแผนการทั้งหมดของหลี่ซื่อทันที เพราะก่อนที่พวกนางจักเริ่มออกเดินทางย่อมส่งจดหมายมาก่อน แต่อันหลิงจุนมิรู้ข่าวก็เป็นเพราะถูกหลี่ซื่อปิดบังเอาไว้
คาดมิถึงว่าหลี่ซื่อจักเริ่มวางแผนเล่นงานนางตั้งแต่หลายวันก่อน ทั้งยังรวมหัวกับองค์ชายเจ็ดและองค์ชายเก้าอีกด้วย หึ ช่างทุ่มเทเหลือเกิน
นางยิ้มให้อันหลิงจุน “พี่ส่งข่าวกลับมานานแล้ว คิดว่าเจ้ามัวแต่เที่ยวเล่นจนลืมเรื่องนี้ไปเลยมากกว่า”
“เป็นไปมิได้ขอรับ” อันหลิงจุนมุ่ยปาก เขายังมิได้รับข่าวอันใดเลยต่างหาก ก็เป็นไปได้ประการเดียวแล้ว ใบหน้าของอันหลิงจุนดูเคร่งขรึมขึ้น “เพราะหลี่อี๋เหนียงจงใจปิดบังข้าใช่หรือไม่ ? ”
อันหลิงเกอรู้ว่าเขาเป็นคนฉลาด นางจึงมิคิดปิดบังอันใดอยู่แล้ว ยิ่งเขารู้ถึงความชั่วร้ายของหลี่ซื่อได้เร็ว เขาก็จักได้ป้องกันตัวและมิโดนหลี่ซื่อเล่นงานโดยง่าย
“ใช่ หลี่อี๋เหนียงจงใจปิดบังเจ้า พี่มิพบเจ้าจึงต้องออกมาตามหา” ดวงตาของอันหลิงเกอเวลานี้เหมือนเคลือบไว้ด้วยน้ำแข็งอีกชั้นหนึ่ง ใบหน้างดงามภายใต้แสงอาทิตย์ดูเย็นชาอย่างยิ่ง “อีกทั้งหลี่อี๋เหนียงยังส่งคนมาจัดการพี่อีกด้วย แต่พี่ได้แก้ไขเรียบร้อยแล้ว คาดว่าเมื่อไปถึงจวน พวกเราจักได้รับข่าวดี”
สำหรับอันหลิงเกอแล้วเป็นข่าวดี สำหรับจ้าวหลานหยู่กลับเป็นฝันร้ายเป็นเรื่องอื้อฉาว
อันหลิงจุนมิได้ถามต่อ เพราะอย่างไรพี่หญิงก็บอกว่าเราจักได้ฟังข่าวดี
ในตอนค่ำ องค์ชายเจ็ดได้พาคนบุกมาถึงหน้าประตูจวนโหวด้วยความโกรธ
“องค์ชายเจ็ดทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ? ” อันอิงเฉิงยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าจ้าวหลานหยู่ด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
ก่อนหน้านี้จ้าวหลานหยู่ก็ใช้ข้ออ้างเรื่องที่อันหลิงเกอกักตุนยาสมุนไพรใส่ร้ายว่านางสมคบคิดกับศัตรูเพื่อขายแผ่นดิน ผ่านไปได้มิเท่าไรเหตุใดคนผู้นี้จึงมาหาเรื่องอีกแล้ว ?
ใบหน้าของจ้าวหลานหยู่มีรอยฟกช้ำ สีหน้ายังมืดครึ้มอย่างยิ่ง “ข้าจักมาคิดบัญชีกับอันหลิงเกอ ท่านโหวอันอย่าเข้ามายุ่งดีกว่า ! ”
มาคิดบัญชีกับบุตรสาวของตน ยังมิให้ตนเข้าไปยุ่งอีกหรือ ? องค์ชายเจ็ดช่างวางอำนาจเกินไปแล้ว นี่คงมิเห็นเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย !
อันอิงเฉิงรู้สึกโมโหจนต้องหัวเราะออกมา เขายืนขวางอยู่ตรงหน้าจ้าวหลานหยู่อย่างมิยอมถอย “หากองค์ชายเจ็ดมิตรัสให้ชัดเจน กระหม่อมมิยอมให้พระองค์เข้าจวนอย่างเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวให้ชัดเจนหรือ ?
จ้าวหลานหยู่กำหมัดแน่นจนมือสั่น เหมือนกับว่าตอนนี้เขาโกรธจนถึงขีดสุดแล้วเช่นกัน
เดิมทีเขาคิดว่าสามารถทำให้อันหลิงเกอกลายเป็นคนของตนได้ แต่ผู้ใดจักคิดว่านางเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้ นางซ่อนยาที่ทำให้หมดสติไว้ในแขนเสื้อและทำให้เขาหมดสติไป ทั้งยังหาบุรุษจากไหนมิรู้โยนเข้ามาในห้องของตน อีกทั้งชายผู้นั้นยังถูกวางยาปลุกกำหนัดด้วย !
จ้าวหลานหยู่ยิ่งคิดยิ่งโมโหแล้วรู้สึกว่าอวัยวะบางส่วนบนร่างกายเริ่มเจ็บขึ้นมา
ฮ่องเต้รักเอ็นดูเขามาตั้งแต่เกิด อยากได้สิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น เขาเคยโดนคนรังแกมาก่อนเสียที่ไหน ?
แต่กลับ…กลับต้องเสียรู้ให้อันหลิงเกอ ถูกนางซ้อนแผนจับเขานอนเตียงเดียวกับบุรุษ เรื่องเยี่ยงนี้จักให้เขากล่าวออกมาได้หรือไร !
จ้าวหลานหยู่ในตอนนี้มิได้รู้สึกว่าอันหลิงเกองดงามอันใดอีกแล้ว ในใจคิดเพียงอย่างเดียวว่าจัดการนางให้ตายได้อย่างไร
“อันหลิงเกอทำเรื่องอันใดลงไป นางย่อมรู้ดีแก่ใจ ท่านโหวอย่ามาขวางข้า” จ้าวหลานหยู่เอ่ยอย่างโมโห น้ำเสียงของเขาเริ่มแฝงด้วยการข่มขู่
อันอิงเฉิงมิสนใจแม้แต่น้อย เขาควบคุมโรคระบาดได้ทั้งฉู่โจว ตอนนี้ถือว่าได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่ อย่าว่าแต่องค์ชายเจ็ดเลย แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็มิอาจทำอันใดเขาได้
เขาหัวเราะเสียงเย็น ใบหน้าไร้ความเคารพยำเกรงอันใด “หลังจากเกอเอ๋อกลับมา นางก็อยู่แต่ในจวนตลอด นางจักไปทำเรื่องอันใดให้พระองค์ได้ เหตุใดมิลองตรัสมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ไฟโทสะของจ้าวหลานหยู่ยิ่งลุกโชนเมื่ออันอิงเฉิงขวางทางเอาไว้ เมื่อเขาหมดความอดทนจึงผลักอันอิงเฉิงออกแล้วบุกเข้าไปเสียเอง “ข้าจักทำอันใดก็มิจำเป็นต้องรายงานท่าน ! ”