ตอนที่ 231 ร้องทุกข์
ทันใดนั้นดวงตาของอันหลิงจุนก็ถูกย้อมเป็นสีแดงเข้ม น้ำเสียงฟังแล้วเย็นชา “กระหม่อมขอทูลถามองค์ชายเจ็ดอีกครั้ง สาเหตุที่พระองค์จักสังหารพี่หญิงของกระหม่อมเพราะได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทใช่หรือไม่ ? ”
คำถามของเด็กหนุ่มช่างเย็นชาและอันตรายยิ่งนัก
หากจ้าวหลานหยู่ตอบรับ เช่นนั้นบารมีของฮ่องเต้ก็คงมิมีแล้ว
แต่หากปฏิเสธ เช่นนั้นการที่เขาก่อเรื่องในจวนโหวก็มีโทษสถานหนัก ขอเพียงอันอิงเฉิงร้องเรียนไปถึงฮ่องเต้ จ้าวหลานหยู่ต้องแย่แน่
“ข้า เปิ่นหวาง มิได้มีความคิดสังหารคุณหนูใหญ่แต่อย่างใด”
พอนึกได้ว่ากระบี่ในมือถูกกระแทกหล่นไปแล้ว แม้อยากสังหารอันหลิงเกอก็ทำมิได้ จ้าวหลานหยู่จึงเปลี่ยนคำเสียใหม่ “ข้าเพียงล้อเล่นกับนางเท่านั้น ดูพวกเจ้าแต่ละคนสิ ร้อนใจอันใดกัน”
เมื่อได้ฟัง มุมปากของอันหลิงเกอก็ยกยิ้มชั่วร้ายขึ้น นางย่อตัวลงแล้วมองกระบี่ที่อยู่อยู่บนพื้น กระบี่คมกริบวาววับมีคราบโลหิตติดอยู่
“องค์ชายเจ็ดล้อเล่นได้น่ากลัวเสียจริงเพคะ”
หลังจากนั้นนางพลิกข้อมือทีหนึ่งก็ได้กระบี่มาอยู่ในมือ จ้าวหลานหยู่ยังมิรู้ว่าอันหลิงเกอจักทำอันใดก็เห็นปลายกระบี่พุ่งเข้ามาที่ลำคอของเขาแล้ว
“อันหลิงเกอ เจ้าบังอาจยิ่งนัก!”
เขาร้องตกใจจนถอยไปด้านหลัง เสียงของเขาแหลมปนแหบเล็กน้อย
อันอิงเฉิงเมื่อเห็นเช่นนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนสี เขารีบผุดลุกขึ้นมาทันที “เกอเอ๋อ หยุดมือเดี๋ยวนี้ !”
มิว่าเยี่ยงไรจ้าวหลานหยู่ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ หากอันหลิงเกอลงมือก็เท่ากับทำร้ายโอรสของฮ่องเต้ แม้โทษจักเทียบการทรยศแผ่นดินมิได้ แต่ก็ยังมีโทษถึงขั้นประหาร !
ทว่ากระบี่ในมืออันหลิงเกอได้กรีดผ่านหลังมือของจ้าวหลานหยู่จนมีโลหิตไหลซึมออกมา นางถึงได้เก็บกระบี่
มุมปากของนางยังเผยรอยยิ้มเช่นเดิม เพียงแต่รอยยิ้มนั้นมิว่ามองเยี่ยงไรก็ยังเย็นชาอย่างน่ากลัว
“องค์ชายเจ็ด สนุกหรือไม่เพคะ ? ”
ตอนแรกเขาต้องการตีนางให้สลบเพื่อทำลายความบริสุทธิ์ของนาง เช่นนั้นจึงถูกนางเล่นงานกลับ และตอนนี้ยังต้องการสังหารนางอีก หรือจ้าวหลานหยู่คิดว่านางเป็นเหมือนโคลนที่รู้สึกโกรธมิเป็น ?
หรือเขาคิดว่าตนเป็นองค์ชายจึงสามารถทำลายความบริสุทธิ์ของนางได้ แต่มิอนุญาตให้นางทำลายความบริสุทธิ์ของเขาบ้าง ?
จ้าวหลานหยู่ถูกกระบี่กรีดไปทีหนึ่ง ยามนี้เขารู้สึกราวกับมีไฟแผดเผาอยู่บนใบหน้า ทั้งแสบร้อนทั้งโกรธจัด
เขาโดนอันหลิงเกอเล่นงาน ถูกบุรุษผู้หนึ่งกระทำย่ำยี นี่ถือเป็นความอัปยศอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่อันหลิงเกอยังกล้าเอากระบี่มาทำร้ายเขาอีก นางช่างมิรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ทำให้เขาเสียหน้าจนมิรู้จักเสียอย่างไรแล้ว !
“อันหลิงเกอ เจ้ากล้าทำร้ายข้า ! ” เขาตะโกนออกมาเสียงดัง จากนั้นก็หันไปสั่งการทหารและผู้ติดตามว่า “ยังมิรีบจับตัวนางไว้อีก ! ”
แต่อันหลิงเกอหัวเราะเยาะขึ้นมาทีหนึ่งแล้วกล่าวว่า “องค์ชายเจ็ดเพคะ หม่อมฉันก็แค่ล้อเล่นกับพระองค์เท่านั้น เหตุใดต้องตกพระทัยให้มากนักเพคะ ? หม่อมฉันคิดว่าองค์ชายเจ็ดกล้าหาญอย่างมาก ดังนั้นจึงกล้าทำเรื่องตลกเยี่ยงนี้ ที่แท้ความกล้าหาญของพระองค์ก็มิจริงเลย”
เมื่อเห็นสีหน้าของจ้าวหลานหยู่ยิ่งดูยิ่งครึ้ม หลี่ซื่อจึงรีบเอ่ยว่า “เกอเอ๋อ แม้ว่าเจ้าอยากล้อเล่นกับองค์ชายเจ็ดก็ต้องรู้ความให้มากกว่านี้ องค์ชายเจ็ดเป็นถึงโอรสของฮ่องเต้ พระวรกายล้วนแต่ล้ำค่า เจ้าทำให้พระองค์บาดเจ็บเช่นนี้เกรงว่าจักทำให้ฝ่าบาทมิพอพระทัยขึ้นมาได้”
นี่คือการยกฮ่องเต้ออกมากดดันนาง
อันหลิงเกอยกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาฉายแววดูถูกเหยียดหยามเล็กน้อย ท่าทางเป็นปฏิปักษ์กับจ้าวหลานหยู่อย่างชัดเจน “ตำแหน่งองค์ชายเจ็ดสูงส่งก็จริง แต่เขาสามารถช่วยราษฎรในฉู่โจวนับพันนับหมื่นคนได้หรือไม่ ? ”
ใบสั่งยาที่นางนำออกมาได้ช่วยชีวิตผู้คนนับพัน ส่วนจ้าวหลานหยู่เพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่หลังมือ ฮ่องเต้จักลงโทษนางในเรื่องนี้ได้เยี่ยงไร
“ที่แท้ก็อาศัยสิ่งนี้ เจ้าถึงได้คิดว่าข้ามิกล้าลงมือด้วย” จ้าวหลานหยู่หัวเราะเสียงเย็นยะเยือกออกมา เขาขบขันที่อันหลิงเกอไร้เดียงสาเกินไป
ต่อให้เขามิเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ แต่การที่อันหลิงเกอทำร้ายองค์ชายก็ถือเป็นโทษใหญ่หลวงอยู่ดี อีกอย่างเสด็จแม่ก็ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เป็นอย่างมาก เพียงแค่หลี่กุ้ยเฟยแสร้งหลั่งน้ำตาต่อหน้าฟู่หวง อันหลิงเกอย่อมมิสามารถอยู่ได้อย่างสงบสุขแน่นอน
ครั้นเห็นอันหลิงเกอเอาแต่เงียบ จ้าวหลานหยู่จึงหยิ่งผยองมากขึ้นไปอีก “ข้าจักบอกเจ้าให้ ต่อให้เจ้านำสูตรยาออกมาช่วยราษฎรในฉู่โจวได้แล้วเยี่ยงไร ? ชีวิตอันต้อยต่ำราวกับมดปลวกของคนพวกนั้นนับหมื่นก็ยังเทียบข้ามิได้แม้แต่น้อย ฟู่หวงย่อมมิปล่อยให้เจ้าทำร้ายข้าฝ่ายเดียว พระองค์จักมิยอมปล่อยเจ้าไปโดยง่าย ! ”
“บังอาจ!”
เสียงตะคอกอันทรงอำนาจดังมาจากนอกประตู น้ำเสียงคุ้นหูทำให้จ้าวหลานหยู่ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที
ฮ่องเต้ในฉลองพระองค์ธรรมดากำลังเสด็จเข้ามาในจวนโหว
“ฟู่หวง พระองค์เสด็จมาได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ? ” ใบหน้าจ้าวหลานหยู่ดูตื่นตระหนก เขามิรู้ว่าฮ่องเต้เสด็จมานานแค่ไหนและได้ยินสิ่งใดไปบ้าง
บ่าวในจวนโหวมิได้เรื่องเลยสักคน แม้กระทั่งฮ่องเต้มาถึงยังมิมีผู้ใดแจ้งให้ทราบ
เขารู้สึกมิสบายใจขึ้นมาทันที ทางด้านอันอิงเฉิงและคนอื่น ๆ ก็รีบคุกเข่าคำนับ แต่ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ห้ามอย่างมิใส่พระทัย “พวกเจ้ามิต้องมากพิธี”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรจ้าวหลานหยู่ด้วยดวงเนตรคมกริบ พระสุรเสียงแฝงความจับผิดเอาไว้ “ลูกเจ็ด เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าอันใด ? ”
รอยยิ้มน่ากระอักกระอ่วนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวหลานหยู่ “ทูลฟู่หวง ลูกกล่าวว่า ลูก…”
เขาอ้ำอึ้งราวกับกล่าวมิออก ทำให้พระพักตร์ของฮ่องเต้ยิ่งมืดครึ้ม “เจ้ากล่าวว่าตนเองสูงส่ง ส่วนราษฎรในฉู่โจวเป็นเพียงมดปลวกชั้นต่ำ ! ”
“ข้ามิเคยรู้มาก่อนว่าที่แท้เจ้าเป็นคนหยิ่งยโสโอหังถึงเพียงนี้”
สุรเสียงของฮ่องเต้มิได้เข้มงวดถึงเพียงนั้น แต่จ้าวหลานหยู่รู้สึกตื่นตระหนกอยู่ในใจอย่างยิ่ง
ยามนี้องค์รัชทายาทอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่ามีชีวิตอยู่ได้อีกมินาน แม้ว่าเขามิใช่โอรสคนโต แต่หมู่เฟยก็เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เมื่ออยู่ต่อหน้าฟู่หวงเขายังถือว่ามีความสำคัญอยู่บ้าง หากพยายามมากหน่อย การครองตำแหน่งรัชทายาทก็มิใช่ว่าเป็นไปมิได้
แต่หากฟู่หวงมิชอบเขา อีกทั้งตระกูลของเขาก็มิได้มีอำนาจเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่อันใด การแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทก็เป็นเรื่องยากเสียแล้ว !
ทันทีที่คิดได้ จ้าวหลานหยู่ก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที “ทูลฟู่หวง ลูกเพียงแค่ใจร้อนไปหน่อยจึงได้กล่าวคำเหล่านั้นออกมา พระองค์อย่าได้เก็บมาใส่พระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเอามือออกมา คราบโลหิตยังคงติดอยู่บนหลังมือ “ลูกก็แค่ทนมิได้ต่อพฤติกรรมที่มิเห็นผู้ใดอยู่ในสายตาของคุณหนูใหญ่อันเท่านั้น อีกทั้งนางยังกล้าทำร้ายลูกทั้งที่ลูกเพียงล้อเล่นกับนางพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรหลังมือของจ้าวหลานหยู่ จากนั้นก็ทอดพระเนตรบาดแผลบนใบหน้าของอันหลิงเกอ “เช่นนั้นบาดแผลบริเวณใบหน้าของคุณหนูใหญ่เป็นมาเยี่ยงไร ? ”
อันหลิงเกอค้อมตัวลงแล้วกล่าวออกมา นางมิได้วางตัวเย่อหยิ่งและมิได้วางตัวต้อยต่ำแต่อย่างใด “ทูลฝ่าบาท เมื่อครู่องค์ชายเจ็ดใช้กระบี่แทงมาที่หม่อมฉัน จากนั้นก็บอกว่าเป็นการล้อเล่นเท่านั้น หม่อมฉันจึงคิดว่าองค์ชายเจ็ดชื่นชอบการล้อเล่นเยี่ยงนี้จึงใช้กระบี่แทงองค์ชายเจ็ดกลับไปทีหนึ่ง คาดมิถึงว่าองค์ชายเจ็ดมิพอใจ เอาแต่กล่าวหาว่าหม่อมฉันลอบทำร้ายพระองค์ ทั้งยังยืนกรานจักลงโทษหม่อมฉันให้ได้เพคะ”
นางมิได้แสดงสีหน้ามิพอใจอันใด แต่ความหมายในถ้อยคำก็ชัดเจนอย่างมากว่าเรื่องนี้เป็นจ้าวหลานหยู่ลงมือก่อน นางก็แค่ทวงความยุติธรรมให้ตนเท่านั้น
กล่าวมาถึงตอนนี้ อันหลิงจุนก็ลุกขึ้นมาบ้าง ใบหน้าของเขาแสดงความมิชอบใจอย่างเห็นได้ชัด “ทูลฝ่าบาท องค์ชายเจ็ดมิได้ล้อเล่นกับพี่หญิงเสียหน่อยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินอย่างชัดเจนว่าองค์ชายเจ็ดต้องการให้พี่หญิงชดใช้ด้วยชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”