ตอนที่ 232 ให้ความสำคัญ
อันหลิงจุนที่อายุยังน้อย แม้คำกล่าวเหมือนขี้ฟ้องอยู่บ้าง แต่ก็มิได้ทำให้คนรู้สึกว่ามิเหมาะสมแต่อย่างใด
แต่หลี่ซื่อที่ได้ฟังกลับมีใบหน้าซีดเซียวขึ้นมาทันที
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรจ้าวหลานหยู่ นัยน์เนตรแฝงไปด้วยความโกรธ “ลูกเจ็ด เจ้ากับคุณหนูใหญ่อันมีเรื่องบาดหมางอันใด เหตุใดต้องถึงขั้นลงมือหมายเอาชีวิตเช่นนี้ ? ”
เขาเป็นถึงองค์ชายที่สง่าผ่าเผยผู้หนึ่งกลับหาเรื่องหญิงสาวมิยอมปล่อย นับว่าใจแคบเกินไป!
ใบหน้าของจ้าวหลานหยู่มีเงาดำมืดแล่นผ่าน อันหลิงเกอเล่นงานทำให้เขาถูกย่ำยีโดยบุรุษ ความอัปยศที่ได้รับในครั้งนี้ แม้สังหารอันหลิงเกอให้ตายกี่พันครั้งก็ยังมิหายแค้น
แต่เรื่องอัปยศพรรค์นี้จักให้เขากล่าวออกมาได้เยี่ยงไร ?
“ทูลฟู่หวง ลูกเพียงได้ยินว่าคุณหนูใหญ่คิดสูตรยาออกมาและช่วยราษฎรในฉู่โจวไว้ได้ เรื่องนี้ทำให้รู้สึกว่านางเป็นสตรีแปลกประหลาดยิ่งนัก ดังนั้นลูกต้องการทดสอบความกล้าหาญของนาง มิได้เจตนาสังหารนางจริงหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
เขากล่าวออกมาพร้อมกำหมัดแน่น หน้าผากมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาอย่างชัดเจนแต่ก็ยังระงับโทสะเอาไว้แล้วกล่าวว่า “แต่คุณหนูใหญ่กล้าโต้ตอบ นางทำให้ลูกตกใจมากจนคิดว่านางต้องการสังหารลูกจริง ๆ ลูกถึงได้โกรธจนเรื่องกลายเป็นเช่นที่เห็นพ่ะย่ะค่ะ”
มิว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องที่เขาโดนบุรุษกระทำย่ำยีก็เอ่ยออกมาต่อหน้าผู้อื่นมิได้เด็ดขาด ดังนั้นเรื่องที่บุกเข้ามายังจวนโหวในวันนี้ก็ต้องหาข้ออ้างอย่างอื่นขึ้นมาแทน
แม้ข้ออ้างนี้จักแย่และเหลวไหลอย่างมากจนทำให้อันหลิงเกอเม้มปากแน่น กลั้นรอยยิ้มเยาะเย้ยที่จักหลุดออกมาเอาไว้
ฮ่องเต้ยังมิทันตรัส อันหลิงเกอกลับเอ่ยขึ้นมาก่อน “เป็นเช่นนี้นี่เอง หม่อมฉันเข้าใจองค์ชายเจ็ดผิดไป แต่ท่าทีของพระองค์ในวันนี้ดูกริ้วยิ่งนัก คล้ายต้องการมาแก้แค้นอย่างไรอย่างนั้น หม่อมฉันยังได้ยินมาว่าพระองค์ผลักท่านพ่อของหม่อมฉันจนล้มอีกด้วย ดังนั้นหม่อมฉันจึงใจร้อนจนเผลอทำเรื่องที่มิควรออกไป หวังว่าองค์ชายเจ็ดจักมิเก็บเรื่องนี้มาใส่พระทัยเพคะ”
หากการกระทำในวันนี้ของจ้าวหลานหยู่เป็นเพียงการทดสอบความกล้าของอันหลิงเกอ แล้วเหตุใดต้องผลักอันอิงเฉิงจนล้ม เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจหาเรื่องต่างหาก !
พระพักตร์ของฮ่องเต้มืดครึ้มมากขึ้นเรื่อย ๆ หลี่ซื่อทนดูมิไหวจึงรีบเอ่ยแทรกขึ้นอย่างระมัดระวัง “ทูลฝ่าบาท องค์ชายเจ็ดมีนิสัยดื้อรั้นไปหน่อยก็จริง ทว่าพระองค์มิเคยทำเรื่องน่าละอายที่ผิดต่อฟ้าดินมาก่อน นี่คงเป็นอารมณ์ชั่ววูบเพียงเท่านั้น พระองค์อยากทดสอบความกล้าหาญของคุณหนูใหญ่จนเกิดการเข้าใจผิดกับท่านโหว มิสู้ให้องค์ชายเจ็ดขอโทษต่อท่านโหวดีหรือไม่เพคะ”
อันอิงเฉิงเป็นผู้ใหญ่กว่าจ้าวหลานหยู่อยู่แล้ว หากจ้าวหลานหยู่ทำความผิด การขอโทษอันอิงเฉิงจึงเป็นเรื่องสมควร
ฮ่องเต้ยังประทับอยู่ตรงหน้า แม้ว่าจ้าวหลานหยู่มิยินยอมเพียงใดก็ทำได้เพียงขอโทษออกมาเท่านั้น “ท่านโหว เป็นข้าที่วู่วามเกินไป เรื่องที่ข้าชนท่านนั้นต้องขออภัยจริง ๆ ”
“มิกล้า มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” อันอิงเฉิงมิกล้ามีท่าทีแข็งกระด้างต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ เขาโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
เยี่ยงนี้ก็ถือว่าคืนดีกันแล้ว จ้าวหลานหยู่จึงได้โล่งอกไปที
อันหลิงจุนแค่นเสียงหัวเราะออกมา ระหว่างคิ้วแฝงความเยาะเย้ยอยู่เล็กน้อย “กระหม่อมก็เพิ่งรู้ นอกจากพี่หญิงช่วยคนเอาไว้มากมายแล้ว นางยังต้องมาเผชิญกับการทดสอบความกล้าหาญจากองค์ชายเจ็ดด้วย หากมิใช่ว่ากระหม่อมมาทันเวลา กระบี่เล่มนั้นคงแทงโดนพี่หญิงไปแล้ว หากผู้อื่นทราบเข้าก็คงมิมีผู้ใดกล้าทำงานทุ่มเทให้ต้าโจวอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“จุนเกอร์เอ๋อ ! ”
อันหลิงเกอเอ่ยเตือนเสียงต่ำ สีหน้ามิเห็นด้วย
ฮ่องเต้มิได้โกรธเคืองแต่อย่างใด แต่พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วทอดพระเนตรไปทางอันหลิงจุน “ถูกต้อง คุณหนูใหญ่อันทุ่มเทเพื่อต้าโจว ลูกเจ็ดมิควรกลั่นแกล้งนางเยี่ยงนี้”
“ทูลฟู่หวง ลูกผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ยังตรัสมิจบ จ้าวหลานหยู่ก็รีบแทรก “ทำให้คุณหนูใหญ่อันต้องตกใจ ข้าต้องขออภัยจริง ๆ ”
ในเมื่อเขาขอโทษแล้ว อันหลิงเกอจึงต้องยอมรับมัน
มีฮ่องเต้อยู่ตรงหน้า หากนางยังดึงดันมิเลิก จากที่มีเหตุผลก็จักกลายเป็นไร้เหตุผลไปอีก นี่จักเป็นการสร้างความมิพอพระทัยของฮ่องเต้และนับว่าได้มิคุ้มเสีย
อันหลิงจุนได้รับสัญญาณของอันหลิงเกอจึงยอมสงบ แม้เขายังมิชอบจ้าวหลานหยู่ดังเดิมแต่ก็ยอมปิดปากเงียบ
ถึงตอนนี้อันอิงเฉิงจึงได้มีโอกาสทูลถาม “ทูลฝ่าบาท วันนี้พระองค์ทรงฉลองพระองค์ธรรมดาแล้วเสด็จมาถึงจวนโหว มิทราบเพราะฉู่โจวเกิดเรื่องอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
เอ่ยเรื่องฉู่โจว พระพักตร์ของฮ่องเต้จึงดีขึ้นมาบ้าง “ด้านฉู่โจวสงบสุขดี ข้าได้ส่งขุนนางไปรับหน้าที่ใหม่แล้ว ท่านโหวอันมิต้องกังวล”
หากอันอิงเฉิงและมู่จวินฮานมิส่งขุนนางแซ่เจียวไปที่ศาลต้าหลี่ ฮ่องเต้คงมิทราบว่าคนที่พระองค์ส่งไปได้กระทำการรับสินบนแล้วปล่อยให้โรคระบาดลุกลามใหญ่โต อีกทั้งระหว่างที่อันอิงเฉิงนำสูตรยารักษาออกมา พวกเขายังส่งคนไปสร้างความวุ่นวาย สมควรได้รับโทษประหาร !
“ที่ข้ามาวันนี้คือต้องการถามคุณหนูใหญ่อันว่าได้สูตรยารักษาโรคระบาดมาจากที่ใด ? ”
หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ราชสำนักไร้วิธีจัดการกับโรคระบาด ดังนั้นการเกิดโรคระบาดในครั้งนี้ เดิมทีพระองค์คิดว่าต้องปวดศีรษะไปอีกหลายเดือน ผู้ใดจักคิดว่าอันอิงเฉิงสามารถใช้เวลาแค่เดือนเดียวก็ควบคุมโรคได้แล้ว แม้แต่จำนวนผู้เสียชีวิตเมื่อเทียบกับโรคระบาดครั้งก่อนยังน้อยมากอีกด้วย
หากสามารถนำยาล้ำค่าเหล่านี้มาไว้ในมือแล้วให้หมอหลวงบันทึกสูตรยาเอาไว้ ย่อมเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่สำหรับคนรุ่นหลังเลยทีเดียว
แต่สีหน้าของอันหลิงเกอดูย่ำแย่และทูลออกมาอย่างยากลำบาก “ทูลฝ่าบาท ความจริงแล้วยาสูตรนั้นหม่อมฉันเคยเห็นในตำราโบราณเล่มหนึ่ง ตอนนั้นว่างพอดีจึงได้บันทึกเอาไว้เพคะ”
“แล้วตำราโบราณเล่มนั้นอยู่ที่ใดเล่า ? ” ฮ่องเต้มิได้สังเกตสีหน้าของนาง ซ้ำยังตรัสถามอย่างรีบร้อน
ใบหน้าของหลี่ซื่อมีความละอายใจปรากฏขึ้น หลังจากได้ยินอันหลิงเกอกล่าวว่า “ตำราโบราณเล่มนั้นถูกน้องหญิงสามนำไปรองขาโต๊ะจึงทำให้ตอนนี้หามิเจอแล้วเพคะ”
เมื่อฮูหยินใหญ่อันได้เสียชีวิตไป หลี่ซื่อถือว่าตนมีอำนาจที่สุดในจวนโหว นางคลอดอันหลิงอีออกมาย่อมรักเอ็นดูเป็นอย่างมากจึงยอมตามใจทุกเรื่อง มิใช่ครั้งเดียวหรือสองครั้งที่อันหลิงอีเอาสิ่งต่าง ๆ ไปจากอันหลิงเกอ
เมื่อรู้ว่าหาตำราโบราณมิเจอแล้ว พระพักตร์ของฮ่องเต้จึงผิดหวังอยู่บ้าง แต่เพียงมินานก็กลับมาเป็นปกติ “ช่างเถิด เจ้าสามารถบันทึกสูตรยารักษาโรคระบาดไว้ได้ก็ถือว่ามิง่ายแล้ว ข้ามิควรเรียกร้องอันใดมากมาย”
“แต่เจ้าสองพ่อลูกและจวินฮานได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่ขึ้นมา ข้าได้จดจำไว้ในใจแล้ว พรุ่งนี้ข้าจักจัดงานเลี้ยงฉลองในราชสำนักเพื่อขอบคุณพวกเจ้า อีกทั้งเพื่อให้คุณหนูใหญ่อันกับจวินฮานได้มีโอกาสปรับความเข้าใจกัน”
ใบหน้าของอันหลิงเกอมีความเขินอายปรากฏขึ้น ราวกับนางรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง “ทูลฝ่าบาท ระหว่างหม่อมฉันและท่านมู่ซื่อจื่อไร้ความบาดหมางอันใดต่อกันแล้ว คงมิรบกวนฝ่าบาทเพคะ”
โดนถอนหมั้นก็ยังมิสามารถเรียกว่าเกลียดชังได้อีกหรือ ?
ฮ่องเต้มิถือสาคำกล่าวของอันหลิงเกอ พระองค์ส่งเสียงพระสรวลออกมาสองสามที จากนั้นจึงพาจ้าวหลานหยู่จากไป “พรุ่งนี้ข้าจักรอท่านโหวที่วัง ถึงตอนนั้นต้องดื่มกับท่านสักจอกสองจอกแน่นอน”
“กระหม่อมมิขัดพระประสงค์แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” อันอิงเฉิงรู้สึกสุขใจ แต่ยังพยายามรักษาสีหน้าให้มั่นคงดังเดิม
การที่ฮ่องเต้จักดื่มสุรากับเขาก็คือการให้ความสำคัญต่อกันอย่างหนึ่งมิใช่หรือ ? เขาอยู่ในราชสำนักมานานหลายปี ในที่สุดโอกาสเยี่ยงนี้ก็มาถึง
ภารกิจที่ฉู่โจวครั้งนี้ช่างคุ้มค่าเสียจริง !