ตอนที่ 24 ปัดความสัมพันธ์
เมื่อได้ฟังฮูหยินผู้นั้นกล่าวจบ อันหลิงอีก็คิดแย้งอยู่ภายในใจว่าจะเป็นไปได้เยี่ยงไรที่นางจะชื่มชอบอี้ซือจื่อซึ่งทั้งโง่เขลาและน่าเกลียดเยี่ยงนี้
มิมีทางเสียหรอก !
อันหลิงอีร้อนรนจนทำอันใดมิถูก จึงตัดสินใจกล่าวความจริงออกมาในที่สุด
“ใครจะไปชอบเจ้าโง่นั่นกัน ข้า…ข้าเพียงได้รับข้อความจากมู่ซือจื่อ นัดข้ามาพูดคุยที่นี่ ข้าจึงได้มายังเรือนหน้าแห่งนี้” “อ้อ ที่แท้ได้รับคำเชิญจากมู่ซือจื่อนี่เอง”
ฮูหยินท่านนั้นลากเสียงยาว พร้อมเผยรอยยิ้มที่แฝงความนัยออกมา
“เมื่อครู่ยังได้ยินฮูหยินรองกล่าวว่าเจ้าเป็นคนที่อยู่ในกฏระเบียบ ที่แท้การอยู่ในกฏระเบียบคือการมิคำนึงถึงการวางตัวระหว่างชายหญิง ไปพบกับผู้ชายได้ตามต้องการ วันนี้ถือว่าข้าได้เปิดหูเปิดตามิน้อยเลย”
หลี่ซื่อเห็นนางกัดอันหลิงอีมิปล่อย จึงอดที่จะกล่าวมิได้ว่า “อีเอ๋อย่อมรู้ดีว่ามิควรไปพบผู้ชายตามใจชอบ จึงได้อ้างว่าตามผีเสื้อมา ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะถามมิสิ้นมิสุดเยี่ยงนี้ อยากจะบีบให้อีเอ๋อต้องฆ่าตัวตายหรือเยี่ยงไร เจ้าถึงจะพอใจ?”
เมื่ออี้หวางเฟยเห็นเยี่ยงนั้นจึงได้ช่วยกล่าวเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนว่า “ในเมื่ออันหลิงอีกล่าวว่านางได้รับคำเชิญจากมู่ซือจื่อ ถ้าเยี่ยงนั้นมู่ซือจื่ออยู่ที่ใดกันเล่า”
นางเพิ่งจะกล่าวจบก็มีเสียงหัวเราะสดใสดังมาจากที่มิไกลนัก
“อี้หวางเฟยกำลังตามหาข้าอยู่หรือ ? ”
มู่จวินฮานยิ้มออกมาอย่างขี้เล่น จากนั้นก็ค่อย ๆ ก้าวเข้ามา มู่จวินฮานนั้นมีรูปร่างที่สง่างาม ใบหน้าหล่อเหลา สวมชุดผ้าไหมสีดำทั้งตัว แม้เป็นการแต่งตัวที่แสนจะธรรมดา แต่เมื่ออยู่บนตัวของเขาแล้วกลับให้ความรู้สึกที่สง่าผ่าเผยเป็นอย่างมาก และสายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่เขา และใบหน้าของบรรดาคุณหนูตระกูลขุนนางหลายคนถึงกับแดงเรื่อขึ้นมาในทันที ได้ยินมานานแล้วว่ามู่ซื่อจื่อนั้นรูปงามมิเป็นรองใคร วันนี้ได้พบหน้าจึงได้รู้ว่าข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด
เมื่อเห็นมู่จวินหานอยู่ตรงหน้า อันหลิงอีนั้นยิ่งแก้มแดงขึ้นทั้งสองข้าง ดวงตาทั้งสองจ้องไปที่มู่จวินฮาน สายตาที่เคลิ้มฝันนั้น เป็นเหตุให้แววตาของมู่จวินฮานนั้นฉายแววรังเกียจออกมาชั่วขณะ แต่ใบหน้ากลับยังคงปรากฏรอยยิ้มที่มีเสน่ห์เอาไว้
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่ซื่อที่เป็นห่วงอันหลิงอีอย่างมาก จึงได้สติก่อนใครและกล่าวถามขึ้นมาว่า “มิทราบว่ามู่ซือจื่อได้นัดลูกสาวข้าน้อยให้มาพบที่นี่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
นางหวังว่าจะได้ฟังคำตอบว่าใช่แล้ว
หากเป็นเช่นนั้นโอกาสที่อันหลิงอีจะได้แต่งเข้าจวนอ๋องมู่ก็จะมีมากยิ่งขึ้น
แต่มู่จวินฮานจะให้นางสมหวังได้เยี่ยงไร ?
เมื่อได้ฟังคำเอ่ยถามเขาก็แสร้งเลิกคิ้วขึ้น ท่าทางราวกับกำลังสงสัย
“ตัวข้านั้นยึดถือความบริสุทธิ์ผุดผ่องมาตลอด เหตุใดจะนัดสตรีมาพบเยี่ยงนี้กัน ? ขอฮูหยินได้โปรดอย่าทำลายชื่อเสียงของข้าเลย”
ประโยคที่มู่จวินฮานกล่าวออกมานี้ถือเป็นการปัดความสัมพันธ์กับอันหลิงอีจนหมดสิ้น
อันหลิงเกอที่อยู่ด้านหลังของเขา แอบกลอกตาไปมาอย่างเงียบ ๆ
เหอะ ! ถือความบริสุทธิ์ผุดผ่องเยี่ยงนั้นหรือ ? แล้วเจ้าบ้าที่ไหนกันที่มาขโมยจูบนางไป ยังจะมีหน้ามายกย่องตัวเองอีก หน้ามิอาย !
ราวกับรู้ว่าอันหลิงเกอที่อยู่ด้านหลังนั้นกำลังตำหนิตนเองอยู่นั้น สายตาของมู่จวินฮานจึงเปลี่ยนไป ทำเหมือนจะยิ้มแต่ก็มิยิ้มออกมา จากนั้นจึงกล่าวออกไปว่า
“แต่ว่าวันนี้ข้านั้นได้พบกับว่าที่ชายาของตนเอง นี่คงมิถือว่าเรื่องละเมิดทำนองคลองธรรมหรอกกระมัง ? ”
มู่ซือจื่อมีว่าที่ชายาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
ประโยคที่มู่จวินฮานได้กล่าวออกไปนั้นคล้ายกับเป็นสายฟ้าฟาดลงมา เป็นเหตุให้หัวใจของสาวน้อยมากมายแตกสลาย
เมื่อเห็นท่าทีของผู้คนรอบข้างแล้ว มู่จวินฮานก็ยกยิ้มที่มุมปากขึ้นด้วยท่าทางอ่อนโยน จากนั้นเขาก็กล่าวเสริมออกมาอีกว่า “วันนี้ข้าออกมาเดินเล่นเพื่อให้สร่างเมา แต่กลับบังเอิญเจอคุณหนูใหญ่ของตระกูลอันอยู่ตัวคนเดียว มีอาการคล้ายข้อเท้าเคล็ด จึงได้หยุดคุยกับนางมิกี่ประโยค จากนั้นจึงให้คนไปตามสาวใช้ของนางมา”
เมื่อได้ฟังเยี่ยงปี้จูจึงได้เอ่ยต่อทันทีว่า “หากมิใช่เพราะความเมตตาของมู่ซือจื่อ คุณหนูของข้ามิรู้ว่าจะเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
อันหลิงอีมองท่าทางที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนของมู่จวินฮาน ราวกับมีคนเอาหัวใจของตนเองไปเผาอยู่บนกองไฟก็มิปาน ไฟแห่งความริษยานั้นราวกับกำลังเผาสติสัมปชัญญะของนางไปจนสิ้น ทำให้นางอยากจะทำลายใบหน้าที่งดงามของอันหลิงเกอนั้นเสียให้สิ้น
“อันหลิงเกอ เจ้าใส่ร้ายข้า ! ”
อันหลิงอีร้องออกมาเสียงแหลม ดวงตาที่จ้องอันหลิงเกอเหี้ยมโหดและเย็นชาราวกับงูพิษ
“มู่ซือจื่อนัดข้ามาพบแท้ ๆ แต่เจ้ากลับตั้งใจขวางเขาเอาไว้เช่นนั่นหรือ?”
จากนั้นนางทำราวกับคิดบางอย่างได้ จึงยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
“เจ้าตั้งใจนัดอี้ซือจื่อออกมาและก็เข้าไปขวางมู่ซือจื่อไว้ระหว่างทาง เพราะต้องการจะใส่ร้ายข้า อยากจะทำลายความบริสุทธิ์ของข้า นังผู้หญิงสารเลวเป็นเพราะเจ้า เป็นเจ้าที่ใส่ร้ายข้า ! ”
อันหลิงอีที่ขาดสติไปเพราะความอิจฉาริษยาเข้าครอบงำ ได้แต่พร่ำบอกตัวเองอยู่ภายในใจว่ามู่ซือจื่อเป็นของนาง
นังอันหลิงเกอกล้าดีเยี่ยงไรจะมาแย่งของข้าไป !
อันหลิงเกอแสร้งเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ราวกับถูกคำพูดของอันหลิงอีทำร้ายจนบาดเจ็บ ผ่านไปครู่หนึ่งก็กล่าวออกไปว่า “น้องหญิง เจ้าพูดเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน ? เพราะตอนอยู่ในงานเลี้ยงนั้นกระโปรงของข้าเปียก ข้าจึงได้เดินตามสาวใช้ของจวนอ๋องอี้ออกมาเปลี่ยนชุด ใครจะไปคิดว่าจวนอ๋องอี้นั้นวกไปวนมา ข้าเพียงแต่เดินช้าไปหน่อยเดียวก็มิเห็นเงาของสาวใช้ผู้นั้นแล้ว จากนั้นข้ารีบตามหาสาวใช้ผู้นั้นแต่มิทันระวังข้อเท้าจึงเคล็ดเอา ส่วนปี้จูก็ดันถูกสาวใช้ผู้นั้นไหว้วานให้ไปหาต่างหูที่นางทำตกไว้ ข้าจึงได้แต่หยุดรออยู่ระหว่างทาง รอจนปี้จูกลับมา เรื่องที่ได้พบกับมู่ซือจื่อก็เป็นเรื่องบังเอิญ น้องหญิง เหตุใดถึงได้กล่าวหาว่าข้าเป็นคนใส่ร้ายเจ้าเยี่ยงนี้กัน ? ”
คำกล่าวของอันหลิงเกอที่กล่าวออกมาทำให้ทุกคนในที่นั้นเชื่อนางอย่างสนิทใจ เนื่องจากเรื่องที่กระโปรงของอันหลิงเกอเปียกนั้น ทุกคนในงานก็เห็นกันอยู่
แต่มีหรือที่หลี่ซื่อจะเชื่อคำกล่าวของนาง นางได้เลิกคิ้วขึ้นหันไปมองอันหลิงเกอด้วยสีหน้าดุดัน
“สิ่งที่เจ้ากล่าวนั้นดูไร้ข้อบกพร่อง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าข้อเท้าเคล็ดจริงหรือไม่ หรือว่าแค่ตั้งใจหาข้ออ้างเพียงเท่านั้น ? ”
เมื่อได้รับฟังใบหน้าที่งดงามของอันหลิงเกอมีร่องรอยของความเศร้าโศกปรากฏขึ้น
“น้องหญิงยังเด็ก นางเข้าใจข้าผิดไปก็มิเป็นไร แต่อี๋เหนียง เหตุใดท่านเองก็ยังมิเชื่อข้า หรือว่าในสายตาของท่านและน้องหญิงแล้ว ข้าเป็นคนขี้โกหกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
อันหลิงเกอกล่าวออกมาทำราวกับเสียใจเป็นอย่างมาก ดวงตากลมนั้นพลันมีหยดน้ำใส ๆ ปรากฏขึ้น
“หากอี๋เหนียงมิเชื่อ เชิญท่านหมอมาตรวจข้อเท้าของข้าก็ได้เจ้าค่ะ”
อี้หวางเฟยเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็แอบขบเม้มริมฝีปากตนเองแน่น ในที่สุดก็นึกถึงงานเลี้ยงของตน เพื่อรักษาหน้าตาจึงได้เรียกสาวใช้ให้ไปตามหมอหญิงมา
หมอหญิงมาถึงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยกชายกระโปรงของอันหลิงเกอขึ้นเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของนาง
มู่จวินฮานเห็นเยี่ยงนั้นก็รีบหันหลังให้ทันที
ท่าทางเช่นนี้ทำให้ได้รับการชื่นชมจากเหล่าหญิงสาวเป็นอย่างมาก แม้แต่เหล่าฮูหยินก็ยังชื่นชมอยู่ภายในใจ มู่จวินฮานถึงแม้จะดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ แต่ภายในกลับเป็นสุภาพบุรุษโดยแท้จริง
มู่จวินฮานที่ถูกทุกคนยกย่องชื่นชมกลับอดมิได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ที่อันหลิงเกอได้แหงนใบหน้าที่สดใสและงดงามกระซิบที่ข้างหูของเขา ลมหายใจอุ่นของหญิงสาวสัมผัสที่หูของเขา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของนางยังคงติดค้างอยู่ที่ปลายจมูก เป็นเหตุให้ใจเขาเต้นแรงขึ้นมา
จากนั้นเขาก็ตกลงทำตามข้อเสนอของอันหลิงเกอและได้ส่งคนไปเชิญอันหลิงอี แต่ตนเองกลับรออยู่กับอันหลิงเกอ อีกทั้งยังเป็นคนสอนให้อันหลิงเกอว่าควรจะล้มท่าไหนข้อเท้าจึงจะเคล็ดอีกด้วย
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขารู้สึกสงสัยอยู่ภายในใจ เหตุใดผู้หญิงคนนี้ถึงโหดร้ายกับตนเองได้ถึงเพียงนี้
มู่จวินฮานคิดมิออกว่าจะมีผู้หญิงซักกี่คนกันที่กล้าทำร้ายตัวเองได้โดยมิหวาดกลัวอันใดเยี่ยงนี้ ขอเพียงแค่เพื่อทำให้คนที่ทำร้ายตนได้รับผลกรรม ?
อันหลิงเกอที่กำลังถูกหมอหญิงตรวจอาการมิได้ล่วงรู้ความคิดของมู่จวินฮานเลย เนื่องจากเวลานี้ใบหน้าของนางนั้นซีดลง เพราะต้องอดทนกับความเจ็บที่มาเป็นระลอก
หลังจากตรวจเสร็จหมอหญิงก็ได้กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูท่านนี้ข้อเท้าเคล็ดจริง ๆ เจ้าค่ะ ดีที่อาการมิหนักมาก ข้าทายาให้นางแล้ว จากนี้ให้ดูแลตนเองให้ดี มินานก็จะหายแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อหมอหญิงพูดจบ เสียงแหลมอันแสบหูของหลี่ซื่อก็ดังขึ้น
“อันหลิงเกอข้อเท้าเคล็ดจริงหรือ ! ? ”