ตอนที่ 248 เกิดเรื่อง
หลี่ซื่อมั่นใจมากจึงสั่งเถ่าหงไปจัดการเรื่องนี้ เถ่าหงต้องเปลี่ยนตัวยาในเวลาที่ผู้อื่นมิทันสังเกตและห้ามมิให้ผู้ใดรู้ตัวเด็ดขาด
เถ่าหงอยู่รับใช้หลี่ซื่อมานาน แม้มิถือว่าฉลาดมากนักแต่ภารกิจที่สั่งให้นางทำก็มิเคยผิดพลาดมาก่อน
ณ เรือนฉีอู๋ อันหลิงเกอรู้สึกหนังตากระตุกมิหยุดราวกับสัมผัสถึงลางมิดีบางอย่าง
หมิงซินเห็นสีหน้าอันหลิงเกอมิค่อยดีจึงแสดงความเป็นห่วงออกมาทางสีหน้า “คุณหนูใหญ่ ท่านพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่คุณหนูกลับจากฉู่โจวก็ได้รับแต่งตั้งเป็นหมอหญิงในสำนักหมอหลวง ทั้งวันทั้งคืนก็เอาแต่อ่านประวัติผู้ป่วยเหล่านี้อย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย
ประวัติผู้ป่วยในราชสำนักต้าโจวมีประวัติมานานถึงร้อยปี บันทึกผู้ป่วยมีนับมิถ้วน ตั้งแต่สมัยไทซูจนถึงรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน คุณหนูอ่านตำรานี้ทั้งวันโดยมิกลัวเสียสุขภาพเลย
อันหลิงเกอขมวดคิ้ว เมื่อครู่อันหลิงอีชวนนางสนทนาเรื่องปกติทั่วไป นางก็มองพิรุธมิออก ตอนนี้หนังตาเริ่มกระตุก พอนึกถึงทีไรก็มักรู้สึกว่าต้องมีเรื่องมิดีเกิดขึ้น
“ทางหลี่อี๋เหนียงมีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ ? ”
ตามหลักแล้วนางได้ติดตามอันอิงเฉิงไปฉู่โจวและได้สร้างผลงานไว้ สองแม่ลูกนั้นเดิมทีมิควรนิ่งเฉยถึงเพียงนี้
ปี้จูมาพร้อมถ้วยซุปข้าวเหนียวถั่วแดง หลังจากผ่านไปหนึ่งปี ใบหน้าที่กลมของนางก็ดูผอมลงเล็กน้อย
นางยิ้มให้อันหลิงเกอและนำถ้วยซุปวางบนโต๊ะข้างอันหลิงเกอ “คุณหนูดื่มซุปถ้วยนี้ก่อนเถิดเจ้าค่ะ ตอนกลางวันท่านยังมิได้ทานอันใดเลยจักแย่เอานะเจ้าคะ”
อันหลิงเกอหยิบช้อนขึ้นมาตักแล้วทานลงไปคำหนึ่ง ทว่านางยังมีความกังวลใจแฝงอยู่ “ปี้จู หลายวันนี้เจ้าอยู่ในจวนรู้สึกถึงความผิดปกติของหลี่อี๋เหนียงหรือไม่ ? ”
ความผิดปกติหรือ ?
ปี้จูครุ่นคิดแล้วส่ายศีรษะ “มิมีเจ้าค่ะ ตั้งแต่คุณหนูไปฉู่โจวกับนายท่าน นายหญิงหลี่ก็สงบลงมิน้อย แต่คุณหนูรองและคุณหนูสามทะเลาะกันที่สำนักศึกษาอยู่หลายครั้ง บ่าวเคยได้ยินผู้อื่นเล่าว่าฮูหยินผู้เฒ่าตำหนิทั้งสองคนด้วยเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอหลุบตาลง ดวงตาล้ำลึกถูกขนตายาวบดบังไว้ แม้แต่แววตาก็ถูกซ่อนไว้ภายใต้เปลือกตานั้น
“ช่างเถิด สั่งให้คนจับตาดูฝั่งนั้นให้ดี” อันหลิงเกอสั่งออกมา จากนั้นก็เริ่มหยิบช้อนมาทานซุปข้าวเหนียวถั่วแดงทีละคำ
กลิ่นหอมของซุปอุ่น ๆ กระจายไปทั่วทำให้ในห้องอบอ้าวขึ้นมา
เว่ยซื่อกำลังดูแลให้ฮูหยินผู้เฒ่าทานน้ำซุป นางรับถ้วยน้ำซุปมาแล้วยิ้ม “ท่านแม่ช่วงนี้ดูมีชีวิตชีวามิน้อยเลยเจ้าค่ะ แสดงว่ายาที่คุณหนูใหญ่เขียนออกมาใช้ได้ผลจริง ๆ ”
“เดิมทีข้านึกว่าการที่นางเสียแม่ไปตั้งแต่เด็ก อีกทั้งมิได้เติบโตอยู่ข้างกายข้า นางคงมิผูกพันกับข้านัก แต่นึกมิถึงเลยว่านางจักเป็นคนกตัญญูต่อข้าที่สุด”
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะแล้วหยิบผ้าด้านข้างขึ้นมาเช็ดปาก
ตอนนี้ฮูหยินทั่วทั้งเมืองจิงมีผู้ใดบ้างมิอิจฉานางที่มีหลานสาวกตัญญูเช่นนี้ อันหลิงเกอมีวิชาแพทย์ที่สามารถรักษาชีวิตราษฎรไว้ได้ อีกทั้งยังสามารถเข้าวังเป็นหมอหญิงและยังมิลืมเขียนใบสั่งยาเพื่อบำรุงร่างกายให้ท่านย่าด้วย
หลายวันมานี้นางนอนหลับสนิทมาก อีกทั้งยังมีชีวิตชีวาในยามกลางวัน ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะยาบำรุงทั้งนั้น
ฮูหยินผู้เฒ่ามีรอยยิ้มแต้มอยู่ที่มุมปาก เว่ยซื่อที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วมีสีหน้าแข็งทื่อในทันที
เมื่อกล่าวถึงมารดาของอันหลิงเกอแล้วเว่ยซื่อพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“ท่านแม่ ข้าได้ยินว่าท่านกำลังหาภรรยาเอกให้ท่านโหว เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่เจ้าคะ ? ”
เว่ยซื่อลองถามออกมา พลันเห็นฮูหยินผู้เฒ่าหุบยิ้มพักหนึ่ง จากนั้นก็มองนางด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหมายบางอย่าง
สีหน้าเยี่ยงนั้นทำให้เว่ยซื่อตกใจมิเบาและกำลังจักพูดกลบเกลื่อนความตกใจของตน ฮูหยินผู้เฒ่าก็กล่าวขึ้นว่า “ถูกต้อง โหวอันอายุมิน้อยแล้ว ตั้งแต่เสียภรรยาเอกไปก็มิมีผู้รู้ใจอยู่เคียงข้าง”
“วันนี้เขาได้รับความสำคัญจากฝ่าบาทจึงจำเป็นต้องให้สตรีที่มีความเหมาะสมมาดูแลจวนหลังนี้เสียที”
ส่วนผู้ที่เหมาะสม แน่นอนว่ามิใช่อนุภรรยาทั้งสองคนนี้ ยิ่งมิใช่คนของเรือนสองเรือนสามเหล่านั้นแน่นอน
อันอิงเฉิงมีตำแหน่งสูงส่งอีกทั้งรูปร่างยังมิเลว ตอนนี้ยังได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ให้ดูแลกองกำลังทหาร ดังนั้นผู้ที่เหมาะสมกับเขาต้องมีพื้นฐานมิสูงกว่าและมิต่ำกว่า จำต้องเป็นสตรีที่มาจากครอบครัวขุนนางแน่นอน
เว่ยซื่อรู้สึกทุกข์อยู่ในใจ รอยยิ้มมุมปากจึงดูอมทุกข์ไปด้วย
นางมิได้เอ่ยอันใดอีก แต่ฮูหยินผู้เฒ่ามองทะลุความคิดนาง
“เจ้าอย่ากังวลเรื่องนี้เลย ภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่จำต้องเป็นคนมีศีลธรรมและใจกว้าง ข้าสังเกตมาสักพักหนึ่งก็พบสตรีผู้หนึ่งที่ค่อนข้างเหมาะสม ตอนนี้กำลังสอบถามความคิดของโหวอัน แม้มีภรรยาเอกเข้ามาก็จักมิส่งผลกระทบใดต่อเจ้าสองแม่ลูกหรอก”
นี่เป็นคำยืนยันของฮูหยินผู้เฒ่าที่มีต่อเว่ยซื่อ แม้ภรรยาที่เข้ามาใหม่มีตำแหน่งสูงกว่า นางก็จักอยู่ข้างเว่ยซื่อ มิปล่อยให้โดนรังแกแน่นอน
เว่ยซื่อจึงมีความสุขยิ่งนักและกำลังจักกล่าวบางอย่างด้วยความตื่นเต้น แต่เห็นสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มเขียวคล้ำและรอยยิ้มเมื่อครู่ก็กลายเป็นรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว
“ท่านแม่เป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ ? ” นางเห็นท่ามิดีจึงรีบถาม แต่ฮูหยินผู้เฒ่ามิตอบอันใดเลย
ริมฝีปากคู่นั้นค่อย ๆ ดำขึ้นเรื่อย ๆ
เว่ยซื่อตกใจจนหน้าซีด เสียงที่เอ่ยออกมาจึงสั่นเทาอย่างยิ่ง “ผู้ใดก็ได้รีบไปตามท่านหมอมาเร็ว ! ”
สาวใช้ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ด้านนอก พอได้ยินเสียงร้องของเว่ยซื่อจึงวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
เมื่อเห็นสีหน้าที่แปลกไปของฮูหยินผู้เฒ่า สาวใช้จึงสีหน้าซีดเผือด นางตั้งสติแล้วรีบวิ่งไปตามหมอในจวน
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ท่านหมอกลับถูกหลี่ซื่อเรียกใช้อยู่ ว่ากันว่านางปวดศีรษะจึงเรียกหมอไปเมื่อตอนครึ่งชั่วยามก่อน
แต่อาการของฮูหยินผู้เฒ่ามิอาจรอได้เด็ดขาด!
สาวใช้ร้อนรนนัก ทันใดนั้นก็นึกถึงอันหลิงเกอขึ้นมา
ถูกแล้ว คุณหนูใหญ่รู้วิชาแพทย์ สามารถไปตามคุณหนูใหญ่มาได้ !
เมื่อนึกได้ดังนั้นสาวใช้ก็มีความหวังขึ้นมาและรีบเปลี่ยนทิศไปยังเรือนฉีอู๋
“คุณหนูใหญ่ แย่แล้วเจ้าค่ะ ! ” สาวใช้วิ่งไปด้วยหอบหายใจไปด้วย
คนในเรือนฉีอู๋เห็นว่านางเป็นสาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าจึงมิกล้ารั้งไว้แล้วปล่อยให้นางเข้าไป
หมิงซินได้ยินเสียงจึงเปิดผ้าม่านมองออกไป “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ ? ”
สาวใช้ที่วิ่งหอบมาแต่ไกลจึงหยุดฝีเท้าลง “ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ ๆ ก็ล้มป่วยเจ้าค่ะ”
นางหายใจเข้าทีหนึ่ง จากนั้นจึงเอามือกุมหน้าท้อง เห็นได้ชัดว่านางวิ่งจนจุก “เมื่อครู่อนุเว่ยกำลังป้อนน้ำซุปให้ฮูหยินผู้เฒ่า พวกบ่าวอยู่ด้านนอกก็ได้ยินอนุเว่ยร้องตะโกนให้ไปตามหมอ บ่าวเข้าไปดูแล้วเห็นสีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเขียวคล้ำจนกล่าวอันใดมิออกแล้วเจ้าค่ะ ! ”