ตอนที่ 255 ผิดหรือถูก
“หลี่ซื่อ เจ้ายังมีอันใดจะกล่าวอีกหรือไม่ ? ”
เพียงประโยคเดียวของฮูหยินผู้เฒ่าก็ทำให้หลี่ซื่อตื่นตระหนกขึ้นมา
หากนางมิแก้ต่างให้ตน ฮูหยินผู้เฒ่าต้องตัดสินว่านางมีความผิด !
ทั้งที่นางมิได้ลงมือทำเรื่องนี้ด้วยตนเอง อันหลิงเกอก็ไร้หลักฐาน ฮูหยินผู้เฒ่าจักมาตัดสินว่านางมีความผิดได้อย่างไร!
หลี่ซื่อโกรธอยู่ในใจ แต่ภายนอกแสดงออกว่าทุกข์ใจยิ่งนัก นางเงยหน้ามองฮูหยินผู้เฒ่า แววตาคู่นั้นกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง “ท่านแม่ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเรื่องนี้ข้ามิได้เป็นคนทำ เหตุใดท่านจึงเชื่อคำกล่าวของคุณหนูใหญ่แล้วโยนความผิดมาให้ข้าเจ้าคะ ? ”
เมื่อนางเห็นว่าสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ายังสงบนิ่งจึงเริ่มขู่ขึ้นมาทันที “หากให้น้องหญิงรู้ว่าข้าโดนคนรุ่นหลังใส่ร้ายและโดนผู้อาวุโสตัดสินโทษว่าลอบทำร้ายผู้คน เช่นนั้นนางต้องรู้สึกเสียใจแน่”
หากหลี่กุ้ยเฟยมิสบายใจ แน่นอนว่าต้องไปร้องเรียนต่อฮ่องเต้
พอถึงตอนนั้นถ้าฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องของฮูหยินผู้เฒ่าก็มิแน่อาจกระทบถึงอันอิงเฉิงและทำให้เขาต้องสูญเสียความไว้วางพระทัยไป
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินคำขู่ของหลี่ซื่อแล้วใบหน้าก็เขียวคล้ำขึ้นมาทันที ทำให้แลดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
“ข้าคิดมิถึงเลยว่าหลี่ซื่อจักเก่งกาจถึงเพียงนี้ ! ”
ตอนที่อันอิงเฉิงแต่งหลี่ซื่อเข้าจวน ฮูหยินผู้เฒ่าก็พาคนของเรือนสองเรือนสามกลับไปพักที่เรือนบรรพบุรุษแล้ว อันอิงเฉิงแค่เขียนจดหมายบอกถึงการแต่งฮูหยินรองเข้าจวนกับนาง นอกจากจดหมายนี้แล้วก็มิมีอันใดต่อ
หากนางรู้ว่าคนที่บุตรชายแต่งเข้ามาคือคนที่คิดทำร้ายตน อีกทั้งยังสามารถนำอนาคตของอันอิงเฉิงมาข่มขู่เช่นนี้ นางจักมิยอมให้หลี่ซื่อได้แต่งเข้ามาในจวนเด็ดขาด !
หลี่ซื่อแสร้งนำผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา น้ำเสียงโศกเศร้า “ท่านแม่ ข้าไร้หนทางต่อเรื่องนี้แล้ว พอท่านโดนพิษข้าก็เป็นห่วงแทบแย่ แต่ท่านมิควรเชื่อคุณหนูใหญ่แล้วตัดสินโทษข้า หากคุณหนูใหญ่มีหลักฐาน ข้าต้องยอมรับโดยมิอาจปฏิเสธ แต่หากเป็นเยี่ยงนี้ ข้ามิขอยอมรับเจ้าค่ะ”
ตอนนี้นางขอให้อันหลิงเกอนำหลักฐานออกมาเพื่อเป็นการบอกอย่างชัดเจนว่าคนเหล่านี้ไร้หลักฐานจึงมิสามารถทำอันใดนางได้
อันหลิงเกอมองหม่าห่าวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ทันใดนั้นดวงตาก็มีประกายบางอย่างวาบผ่าน
“ผู้ที่ซื้อยาสมุนไพรคือหม่าห่าว หลังจากนั้นก็มีเขาคอยดูแลอยู่ มิสู้ท่านย่าถามเขาดูว่าเห็นอันใดผิดปกติหรือไม่เจ้าคะ”
ตอนนี้ยังไร้หลักฐานชัดเจนมายืนยันว่าหลี่ซื่อเป็นคนร้าย ทว่าสำหรับคนที่เปลี่ยนเปลือกส้มแห้งให้เป็นขมิ้นนั้นความจริงได้ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว
หากหม่าห่าวบอกว่ามิรู้มิเห็น เขาต้องถูกฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษแน่นอน
เพียงแค่ความผิดในฐานะที่เขาเป็นคนดูแลคลังเก็บยา แต่ปล่อยให้คนอื่นเข้ามาเปลี่ยนยาโดยมิรู้ตัวจนเกือบทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเสียชีวิต โทษนี้ก็เพียงพอให้เขาได้รับความทุกข์ทรมานแล้ว แม้แต่ตำแหน่งก็มิอาจรักษาไว้ได้
แต่หม่าห่าวสามารถถูกหลี่ซื่อเลือกใช้และได้รับหน้าที่ให้เป็นคนจัดซื้อยา แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะเขามีไหวพริบ
ดวงตาของเขากลอกไปมา จากนั้นก็เหมือนนึกอันใดออก
ตอนนี้เขาขมวดคิ้ว ท่าทางเหมือนพยายามย้อนนึกอันใดบางอย่าง สักพักเขาจึงลูบศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า บ่าวนึกออกแล้วขอรับ”
“เมื่อกลางวันนี้บ่าวเห็นเถ่าหงสาวใช้คนสนิทของนายหญิงหลี่ที่คลังเก็บยาขอรับ”
ตอนนั้นเขากำลังง่วง พอเห็นเงาสลัวหนึ่งเดินออกมาจากคลังเก็บยาจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ
หากมิใช่ว่าอันหลิงเกอเอ่ยถาม เขาก็คงนึกมิออกแน่นอน
ส่วนคนที่เข้าไปในคลังยานั้นคือใครกันแน่ หม่าห่าวเองก็เห็นหน้ามิชัด เพียงแต่เมื่อครู่หลี่ซื่อมิสนใจการขอความช่วยเหลือจากตน หม่าห่าวจึงเกิดความเกลียดชังขึ้นในใจ เขานึกอยากดึงนางให้ติดร่างแหไปด้วย
ทว่าหม่าห้าวมิคิดเลยว่าการที่โกหกเช่นนี้จักเป็นการกล่าวความจริงจนทำให้หลี่ซื่อหน้าซีดแล้วกำมือแน่นตามสัญชาตญาณ
“จริงสิ หลี่อี๋เหนียง สาวใช้คนสนิทของท่านอยู่ที่ใด ? ” อันหลิงเกอเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจจนฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความหมายบางอย่าง
เถ่าหงเป็นสาวใช้ที่มีความสามารถที่สุดของหลี่ซื่อ ปกตินางต้องติดตามเจ้านายไปทุกที่ แต่วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่ามิเห็นแม้แต่เงาของนางเลย ช่างน่าสงสัยยิ่งนัก
หลี่ซื่อขยับมุมปากแล้วฝืนยิ้มแห้งออกมา “บัญชีของหมู่บ้านนอกเมืองมีข้อผิดพลาด ข้าจึงให้เถ่าหงตามเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบบัญชี นางจักกลับมาเร็วสุดก็คงวันพรุ่งนี้เช้า หากช้าสุดก็คงเป็นค่ำของวันถัดไป ”
นางเอ่ยคำนี้จบก็ก้มหน้าลงและสายตาตอนที่นางมองหม่าห่าวก็ดุร้ายยิ่งนัก
เสียแรงที่นางเลื่อนขั้นให้หม่าห่าวได้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถกอบโกยผลประโยชน์ แต่บ่าวผู้นี้กลับทรยศนาง !
รอให้นางได้ออกไปจากที่นี่ก่อน นางต้องถลกหนังหม่าห่าวออกมาแน่นอน !
สายตาโหดเหี้ยมของนางทำให้หม่าห่าวเสียวสันหลังวาบ เขาเอ่ยออกมาโดยมิคิดอันใดมาก แต่คาดมิถึงว่าเถ่าหงจักไปอยู่ที่นั่นจริงเสียด้วย ย่อมสามารถยืนยันได้ว่าเขามิได้พูดปด
ดวงตาของอันหลิงเกอสว่างวาบ นางจับประเด็นได้จึงถามว่า “หม่าห่าว เจ้าเห็นเถ่าหงเดินออกจากคลังเก็บยาเมื่อใด ? ”
วันนี้เขามิเห็นเถ่าหง ทว่าเห็นแต่เงาที่มิชัด
คำเหล่านี้วนไปมาในปากหม่าห่าว แต่สุดท้ายก็มิกล้าเอ่ยออกมา
เขาคำนวณช่วงเวลาที่เห็นเงาสลัวของคนผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “ตอนนั้นเป็นเวลาเริ่มทานอาหารกลางวันได้มินาน ประมาณ…ประมาณยามอู่ ( 11.00 – 12.59 น. ) ขอรับ”
อันหลิงเกอมองหลี่อี๋เหนียง นัยน์ตาสีดำราวกับสามารถดูดคนทั้งคนเข้าไปได้ “หลี่อี๋เหนียง ท่านส่งเถ่าหงไปหมู่บ้านตอนไหน ? ”
“ข้าจักรู้ได้อย่างไร ? ” หลี่ซื่อเกลียดที่ออกมาจากเรื่องนี้มิหลุดพ้นเสียที ใบหน้าของนางดูเลือนลางยิ่งนัก “งานที่ข้าต้องจัดการในแต่ละวันมีมากมาย หรือข้าต้องมานั่งจำเวลาด้วย ? ”
นางดึงเรื่องงานมาเป็นข้ออ้าง ทว่าอันหลิงเกอมิยอมละเว้นไปโดยง่าย
“หลี่อี๋เหนียงจำมิได้ก็มิเป็นไร หากเถ่าหงต้องไปตรวจบัญชีที่หมู่บ้าน นางต้องนั่งรถม้าไปแน่ คนขับรถม้าย่อมมีบันทึกเวลาเอาไว้ ท่านย่าจักให้ไปตรวจสอบด้วยหรือไม่เจ้าคะ? ”
ให้ตาย ชาติที่แล้วอันหลิงเกอเป็นนักสืบในราชสำนักหรือไร ?
หลี่ซื่อโกรธจนต้องกัดฟันกรอด เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้ไร้ช่องโหว่ มิมีทางโดนจับผิดได้เสียอีก
ทว่าพอเรื่องนี้มาถึงอันหลิงเกอกลับมีจุดผิดพลาดเป็นร้อย นางต้องหาข้ออ้างครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ยังมิสามารถโกหกให้หลุดพ้นไปได้
ฮูหยินผู้เฒ่ารีบพยักหน้าทันทีแล้วสั่งสาวใช้ข้างกาย “ไปถามคนเฝ้าประตูว่าสาวใช้ของหลี่ซื่อออกนอกจวนเวลาใด”
หากเถ่าหงออกนอกจวนหลังยามอู่จริง แม้หลี่ซื่ออยากลบล้างความสงสัยไปจากตนก็ทำมิได้แล้ว
ถึงตอนนั้นหลี่ซื่อผิดหรือถูก แค่ถามคำเดียวก็รู้แล้ว