ตอนที่ 261 โอกาสดี
“เฉว่เอ๋อจักลังเลมิได้อีกแล้ว”
สีหน้าของเจิ้งซื่อจริงจังขึ้นมาทันที “ฉวยโอกาสตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าถูกพิษและร่างกายยังมิหายดี นี่คือโอกาสของเจ้ารู้หรือไม่”
“เจ้าแค่บอกว่าได้ยินเรื่องฮูหยินผู้เฒ่าถูกพิษจึงรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของนางและออกจากเรือนโดยพลการ ฮูหยินผู้เฒ่ามิโทษเจ้าแน่นอน”
เจิ้งซื่อกระซิบอย่างนุ่มนวลข้างหูอันหลิงเฉว่ แต่ทำให้สีหน้าอันหลิงเฉว่ซีดเผือด ปากสั่นราวกับถูกพิษ มิเพียงมีเหงื่อออกจนชื้นฝ่ามือ แต่ยังมีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนใบหน้าของนางด้วย สีหน้าแลดูทรมานนัก
“นี่คือโอกาสดีที่หาได้ยาก ทำหรือมิทำก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เจิ้งซื่อกล่าวแล้วนำของอย่างหนึ่งออกจากกระเป๋าอกเสื้อแล้วส่งให้อันหลิงเฉว่
อันหลิงเฉว่มองของสิ่งนั้น แววตาของนางดูสับสนแต่ก็ดุร้าย สายตาที่ซับซ้อนทำให้นางดูมืดมนและน่ากลัวเล็กน้อย
“แน่นอนว่าหากเจ้าต้องการถูกอันหลิงเกอกดข่มเอาไว้แล้วอยู่ภายใต้เงาของนาง ถูกผู้อื่นมองข้ามตลอดไป แล้วสุดท้ายก็ต้องแต่งงานกับคนชั้นต่ำเยี่ยงพวกพ่อค้า หากต้องการเช่นนั้นก็ถือว่าแม่มิเคยเอ่ยคำเหล่านี้มาก่อน”
คำกล่าวนี้ช่างกระตุ้นอันหลิงเฉว่ได้ดียิ่งนัก นางกะพริบตา แพขนตาสั่นไหวเหมือนหัวใจที่กำลังกระสับกระส่าย
“ท่านแม่ ลูกจักไปเจ้าค่ะ”
อันหลิงเฉว่กำของสิ่งนี้ไว้ในมือแน่นแล้วกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
เจิ้งซื่อทำราวมิเห็นอาการหวาดหวั่นของบุตรี เมื่อได้ยินอันหลิงเฉว่ตอบรับแล้ว ใบหน้าที่เรียบเฉยจึงมีความพอใจฉายผ่าน
“เช่นนั้นก็ดี แม่รู้ว่าเจ้าต้องตกลงอย่างแน่นอน” เจิ้งซื่อยกยิ้มตรงมุมปาก แต่รอยยิ้มนั้นช่างน่าขนลุก “ทางฝั่งนั้น ท่านพ่อของเจ้าได้เตรียมตัวอยู่พอสมควรแล้ว เพียงรอโอกาสเหมาะสม เรือนสามของเราก็สามารถมาแทนที่เรือนใหญ่และกลายเป็นเจ้านายของจวนโหวแห่งนี้โดยมิต้องพึ่งพาฮูหยินผู้เฒ่าอีก”
ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงไร้ประโยชน์
อันหลิงเฉว่เข้าใจความหมายแฝงของประโยคนี้จึงอดสั่นสะท้านขึ้นมามิได้
แต่เดิมนางก็มิใช่คนมีเมตตากรุณาอันใด เพียงแต่มารดาจักให้นางไปวางยาสังหารคน และคนผู้นั้นคือท่านย่า คนที่รักและเอ็นดูนางตั้งแต่เด็ก!
อันหลิงเฉว่เม้มปากแน่น รู้สึกเหมือนของในมือร้อนลวกฝ่ามือขึ้นมาประหนึ่งเหล็กแดงที่ถูกเผาทำให้คนทรมาน
ทว่าแม้ต้องทรมาน อันหลิงเฉว่ก็ยังต้องทำมันอยู่ดี
“ท่านแม่ แล้วแม่นมเล่าเจ้าคะ จักล่อนางออกไปได้อย่างไร ? ”
เนื่องจากแม่นมที่มาจากวังหลวงยังอยู่ที่เรือน ดังนั้นพวกนางจักทำอันใดก็มิค่อยสะดวก
มิแน่ว่าอันหลิงเฉว่ยังมิทันเดินออกจากเรือน แม่นมคนนั้นก็จักมาตำหนิแล้วให้นางนั่งสำนึกผิดอยู่ในเรือนห้ามออกไปที่ใดอีก
เจิ้งซื่อยกยิ้มตรงมุมปาก “แม่สั่งให้คนล่อนางไปแล้ว เจ้าเพียงสนใจแต่ฝั่งฮูหยินผู้เฒ่าก็พอ” นางแต่งงานกับอันอิงคังมาหลายปี การที่จักแฝงคนของตนไว้ในเรือนฮูหยินผู้เฒ่าจึงมิใช่เรื่องยากอันใด
เมื่อครู่คนของนางส่งข่าวกลับมาโดยบอกว่าหาข้ออ้างล่อแม่นมออกไปแล้ว
อันหลิงเฉว่พยักหน้า นิ้วทั้งห้ากำไว้แน่นและของในมือก็ถูกจับไว้แน่นเช่นกัน
นางพลิกฝ่ามือทีหนึ่งแล้วของสิ่งนั้นก็ไหลเข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อ
“ไปเถิด แม่ส่งคนคอยช่วยเหลือเจ้าอยู่ที่นั่นแล้ว”
อันหลิงเฉว่เดินไปสองก้าวก็ได้ยินเสียงของเจิ้งซื่อดังไล่หลังมาเช่นนั้น นางจึงเผยรอยยิ้มทนทุกข์ออกมา
มิรู้ตั้งแต่เมื่อไรที่นางรู้สึกห่างเหินกับเจิ้งซื่อ
ทั้งสองคนมิได้เข้าหากันเหมือนแม่ลูกธรรมดาอีกต่อไป
แม่ลูกคู่อื่นอย่างเช่นฮูหยินหมิงจูจัดงานฉลองสำหรับการตามหาบุตรีพบเพราะอดมิได้ที่จักประกาศให้คนทั้งแคว้นได้รับรู้เรื่องนี้ หรืออาสะใภ้หลี่ที่ถูกฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษก็เพราะอยากให้อันหลิงอีพ้นผิด
แต่ท่านแม่กลับเลือดเย็นยิ่งนัก เพราะแสร้งทำปกป้องบุตรีต่อหน้าคนอื่น ทว่าในยามไร้คนนอกอยู่ด้วย เจิ้งซื่อมิเคยสนใจนางเลย มิเหมือนกับมารดาผู้มีเมตตาแม้แต่น้อย
โชคดีที่นางยังมีท่านย่าที่รักและความรักที่ท่านย่ามีให้ยังมากกว่าที่ทุกคนมีให้นางเสียอีก
แต่ตอนนี้มารดาแท้ ๆ จักให้นางไปวางยาพิษท่านย่า!
สีหน้าของอันหลิงเฉว่เหมือนอยากร้องไห้แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนอยากหัวเราะ นางพยักหน้าโดยมิหันไปมอง “ท่านแม่วางใจเถิด ลูกรู้ว่าต้องทำอย่างไร”
เพื่อเรือนสามและเพื่อตนเอง นางจักมิลังเลอีกต่อไป
หลังกล่าวคำนี้จบ อันหลิงเฉว่จึงก้าวเท้าเดินออกไป
นางเดินมาเรื่อย ๆ จนถึงหน้าเรือนชิงเฟิงแล้วถูกคนเฝ้าประตูรั้งไว้
“ฮูหยินผู้เฒ่าหลับไปแล้วเจ้าค่ะคุณหนูรอง”
หญิงวัยกลางคนยิ้มและมีสีหน้าประหลาดใจครู่หนึ่ง แต่อันหลิงเฉว่ก็สังเกตเห็น
อันหลิงเฉว่ยิ้มให้เช่นกันและทำหน้าไร้เดียงสา “ข้าได้ยินว่าท่านย่าถูกคนวางยาพิษจึงรีบมาที่นี่ เจ้าไปรายงานท่านย่าให้ข้าที ข้าจักเข้าไปดูด้วยตาตนเองว่าท่านย่ามิเป็นอันใดจึงสามารถสบายใจได้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจางหายไปอย่างฉับพลันแล้วเปลี่ยนเป็นเศร้าโศกเสียใจทันที “มิรู้ว่าเหตุใดอยู่ดี ๆ ท่านย่าถึงถูกพิษ ข้ากังวลแทบแย่แล้ว“
“คุณหนูรองกตัญญูยิ่งนักเจ้าค่ะ มิแปลกเลยที่สนิทสนมกับฮูหยินผู้เฒ่า” หญิงวัยกลางคนกล่าวประจบ “เพียงแต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลับไปแล้ว หากบ่าวไปรบกวนจักทำให้ท่านนอนมิสบาย เกรงว่า…”
“เจ้าไปเถิด หากเกิดเรื่องอันใดข้าจักรับผิดชอบเอง” อันหลิงเฉว่เม้มปาก แสดงสีหน้ามิพอใจ “ท่านย่ารักข้าที่สุด หากรู้ว่าข้ามาแล้วท่านต้องดีใจแน่ ท่านจักกล่าวโทษได้เยี่ยงไร ? ”
เมื่อนึกแล้วก็มีเหตุผล หญิงวัยกลางคนยิ้มแล้วพยักหน้า “คุณหนูรองโปรดรอสักครู่ บ่าวจักไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่าเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
อันหลิงเฉว่ยืนยิ้มอยู่หน้าประตูและเร่งให้อีกฝ่ายเดินเร็วขึ้น เมื่อเงาร่างนั้นหายไปนางจึงค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา
ลมเย็นพัดเข้ามาทำให้เหงื่อบนเสื้อแห้งไปแล้ว เหมือนความเจ็บปวด ความลังเลและความขัดแย้งในใจของนางก็โดนลมพัดพาไปเช่นเดียวกัน
“เรียนคุณหนูรอง ฮูหยินผู้เฒ่าให้ท่านเข้าไปได้เจ้าค่ะ”
เพียงเวลาสั้น ๆ หญิงวัยกลางคนก็เดินกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นที่เหมือนเปลือกส้มแห้ง
อันหลิงเฉว่พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้องของฮูหยินผู้เฒ่า
เมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่าถูกปลุกให้ตื่น ตอนนี้เมื่อเห็นอันหลิงเฉว่ ใบหน้าของนางจึงดูเข้มขึ้น “ข้ากักบริเวณเจ้าอยู่มิใช่หรือ ? ผู้ใดให้เจ้าออกมาเช่นนี้ ? ”
อันหลิงเฉว่กัดริมฝีปาก สีหน้าดูเสียอกเสียใจ “เรียนท่านย่า หลานได้ยินว่าท่านถูกพิษจึงขอร้องให้ท่านแม่ปล่อยตัวออกมาเจ้าค่ะ”
นางเดินเข้าไปตรงเบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่าสองก้าว ใบหน้าอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความจริงใจ