ตอนที่ 264 องค์หญิงผู้จงใจหาเรื่อง
มิไกลจากนั้น คนพายเรือลำเล็กกำลังพายเรือเข้ามา สาวใช้ของจวนฮูหยินหมิงจูจึงรีบวิ่งไปแล้วยัดเงินให้คนพายเรือและขึ้นเรือตามอันหลิงเกอกับซินเจียวเจียวทันที
ปี้จูที่นั่งอยู่ข้างอันหลิงเกอได้ยื่นมือออกไปสัมผัสกับน้ำทะเลสาบ
“คุณหนู น้ำเย็นมากเลยเจ้าค่ะ”
จักดีมากเพียงใด หากสามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดช่วงฤดูร้อน
คนพายเรือมองท่าทางที่มีความสุขของนางแล้วหัวเราะออกมา “แม่นางน้อย ข้างหน้ายังมีที่สนุกกว่านี้อีก”
เขาออกแรงพายมากขึ้น เรือจึงแล่นไปข้างหน้าเร็วขึ้น เรือนั้นลอยโคลงเคลงอยู่ในทะเลสาบ สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่กลุ่มดอกบัวงาม
……
ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก หลังจากเล่นสนุกกันพอสมควรแล้วอันหลิงเกอและคนอื่นจึงกล่าวอำลาซินเจียวเจียวเพื่อกลับจวน
“คุณหนูใหญ่ อันผิง*กงจู่ต้องการพบท่านเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอเพิ่งก้าวเข้ามาในจวนก็มีสาวใช้นางหนึ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้ามิค่อยดี ปากก็กล่าวมิหยุดว่า “ได้ยินว่าอันผิงกงจู่ประชวน ทว่ามิยอมให้หมอหลวงรักษา นางร้องขอฝ่าบาทให้คุณหนูเข้าวังวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”
นางมิเคยพบอันผิงกงจู่มาก่อนแล้วเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้เจาะจงให้นางไปรักษา ?
อันหลิงเกอมีความสงสัย แต่ภายนอกมิได้แสดงออก “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเถิด”
เช้าวันรุ่งขึ้น อันหลิงเกอจึงเตรียมกล่องยาแล้วนั่งรถม้าเข้าวัง
อันผิงกงจู่เป็นพระธิดาพระองค์แรกของฮ่องเต้ที่กำเนิดโดยองค์ฮองเฮา นางจึงนับว่าได้รับความโปรดปรานอย่างมาก
อันหลิงเกอถือกล่องยาแล้วเดินตามนางกำนัลไปตามปกติ ระหว่างนั้นก็สำรวจรอบ ๆ ไปด้วย
สวนดอกไม้ที่ตัดแต่งได้อย่างสวยงาม ต้นไม้ใหญ่โตหายาก ภูเขาจำลองออกแบบจากช่างมีชื่อเสียง ศาลารับลมเย็นที่มีทิวทัศน์เป็นเอกลักษณ์ทำให้อันหลิงเกอเข้าใจมากขึ้นกับการเป็นที่โปรดปรานของอันผิงกงจู่
นางเดินเข้าไปในตำหนักตามหลังนางกำนัล แต่มีลูกศรพุ่งออกมาและมุ่งเป้ามาที่ตน
อันหลิงเกอเบิกตาโตอย่างตกใจแล้วรีบหลบไปด้านข้าง
“กงจู่ พระองค์กำลังทำอันใดเพคะ ? ”
อันหลิงเกอเงยหน้าขึ้นก็เห็นคันธนูยาวอยู่ในมือของอันผิงกงจู่ นางกำลังยืนอยู่ที่ทางเดินและเผยรอยยิ้มเยาะออกมา
ท่าทางตกใจกลัวของอันหลิงเกอทำให้รอยยิ้มของนางขยายกว้างขึ้น แต่แววตายังแฝงด้วยความมิชอบใจอยู่ดี “แน่นอนว่ากำลังล้อเจ้าเล่น”
อันผิงกงจู่ยกยิ้มตรงมุมปาก “ข้านึกการเล่นสนุกได้อย่างหนึ่ง เจ้าต้องเล่นกับข้า”
นางกำนัลถือแอปเปิ้ลลูกหนึ่งเดินออกมา “คุณหนูใหญ่อัน ประเดี๋ยวจงวางสิ่งนี้ลงบนศีรษะ กงจู่จักฝึกวิชายิงธนูเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอส่ายศีรษะแล้วถอยไปด้านหลัง นางกำนัลอีกนางหนึ่งจึงรีบเข้ามาดึงข้อมือนางไว้ จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “คุณหนูใหญ่อัน มิง่ายเลยกว่าที่กงจู่ของเราจักมีความสุขกับการละเล่น ทางที่ดีท่านต้องเล่นกับพระองค์ มิเช่นนั้นหากทรงกริ้วขึ้นมาแล้วกรีดโฉมหน้าของท่าน แม้แต่ฝ่าบาทก็ทำอันใดมิได้”
อันหลิงเกอหยุดดิ้นรน นางลังเลอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “ขอเพียงหม่อมฉันให้ความร่วมมือกับพระองค์ หม่อมฉันก็สามารถออกจากวังได้อย่างปลอดภัยหรือเพคะ ? ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” กงจู่เหยียดยิ้มพร้อมเลิกคิ้วอย่างเย่อหยิ่ง “หากเจ้ามิยอมให้ความร่วมมือ ข้าจักกรีดหน้าของเจ้า ! ”
อันหลิงเกอตกใจจนหน้าซีดและได้แต่รีบตอบตกลง
“หม่อมฉันจักเชื่อฟังกงจู่เพคะ”
“เช่นนั้นก็ดี” กงจู่ยกยิ้มตรงมุมปากแล้วให้คนพาอันหลิงเกอไปสนามฝึกที่จัดขึ้นในวัง
นางเห็นองค์รัชทายาทพาบุรุษมิกี่คนเดินมาทางนี้และส่งสายตาให้นางกำนัลทีหนึ่ง
นางกำนัลรับทราบจึงวางแอปเปิ้ลไว้บนศีรษะของอันหลิงเกอ
อันผิงกงจู่หยิบลูกธนูดอกหนึ่งออกจากกระบอกด้านหลัง มือซ้ายจับธนูมือขวาจับลูกศรแล้วยิงออกไป เส้นธนูเกิดเสียงดังหนึ่งครั้งเมื่อปะทะกับอากาศ ลูกศรพุ่งผ่านอากาศตรงเข้าหาใบหน้าของอันหลิงเกอ
อันหลิงเกอมีแววตาเย็นเยียบแล้วซัดเข็มที่ซ่อนอยู่ในมือพุ่งกระแทกลูกธนูทำให้มันเปลี่ยนทิศไปกระทบอาวุธที่วางอยู่ด้านข้าง จากนั้นลูกศรก็สะท้อนกลับไปยังทิศทางที่อันผิงกงจู่ยืนอยู่
นางควบคุมแรงอย่างเหมาะสมจึงทำให้เข็มพุ่งอยู่กลางอากาศเพียงครู่เดียวแล้ววกกลับมาสู่มือของตน
อันผิงกงจู่เบิกตาโตอย่างมิอยากเชื่อ เมื่อเห็นว่าลูกธนูที่ยิงออกไปกำลังพุ่งกลับมา เสียงลูกศรพุ่งแหวกอากาศดังขึ้นข้างหูของตน
กงจู่มีสีหน้าตื่นตระหนกจึงรีบหลบไปด้านข้าง แต่นึกมิถึงว่าลูกศรจักเฉียดทะลุเสื้อคลุมของนางแล้วทำให้มันตกพื้น
“กงจู่ เหตุใดจึงถอดเสื้อออกเยี่ยงนี้เพคะ ? ”
อันหลิงเกอเห็นพวกองค์รัชทายาทกำลังเดินอยู่มิไกลจึงแสร้งร้องตกใจ
องค์รัชทายาทจึงหันกลับมาแล้วมองอันผิงกงจู่ที่ยืนอยู่ในสนามฝึกด้วยสภาพเสื้อผ้ายุ่งเหยิงและแววตาของเขาก็เริ่มฉายแววรังเกียจ
“อันผิง เจ้ามาทำอันใดที่นี่ ? ”
ที่นี่คือสนามฝึกวรยุทธ์ ปกติมีแต่บุรุษเข้าออก เหตุใดอันผิงจึงมาปรากฏตัวที่นี่ อีกทั้งยังใส่เสื้อผ้ามิเรียบร้อย ช่างเป็นการทำให้เชื้อพระวงศ์เยี่ยงพวกเขาเสียหน้า !
แม้ว่าองค์รัชทายาทจักมีร่างกายอ่อนแอ แต่พอโมโหขึ้นมาก็ยังดูน่ากลัวอยู่บ้าง ความเย่อหยิ่งบนใบหน้าของอันผิงกงจู่จึงจางหายไปและรีบเก็บเสื้อบนพื้นขึ้นมาสวม “ข้าเพียงมาฝึกวิชาธนูเท่านั้น”
“ฝึกวิชาธนูแต่ถอดเสื้อผ้าทิ้งอย่างนั้นหรือ ? ” องค์รัชทายาทหัวเราะทีหนึ่ง มิมีความเกรงใจทั้งสิ้น
เขามิใช่โอรสที่กำเนิดจากฮองเฮา เพียงแต่เป็นบุตรในอุปถัมภ์ของฮองเฮาจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท
ด้วยเหตุผลที่ร่างกายของเขาอ่อนแอจึงทำให้มิสามารถไปที่ตำหนักฮองเฮาได้บ่อยนัก ดังนั้นความผูกพันระหว่างพี่น้องกับอันผิงกงจู่จึงจืดจางมาก
อันผิงกงจู่จึงกลอกตา แต่เมื่อนางเห็นมู่จวินฮานที่ยืนอยู่ด้านข้างองค์รัชทายาทแล้ว นางก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
ถูกผู้อื่นเสียดสีต่อหน้าบุรุษรูปงามเยี่ยงนี้ อันผิงกงจู่จึงรู้สึกแย่ ดวงตาของนางมีน้ำตาไหลออกมาทันที “มิใช่อย่างนั้น ข้า…”
“ยังมิรีบกลับไปตำหนักเจ้าอีก” องค์รัชทายาทไร้อารมณ์ฟังคำอธิบายของนาง เขากล่าวเพียงคำเดียวก็ให้นางกำนัลพานางออกไป
แม้อันผิงกงจู่เป็นที่โปรดปรานมากเพียงใด ทว่าต่อหน้าองค์รัชทายาท นางก็มิกล้าวางอำนาจ เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นจึงทำได้เพียงกัดฟันไว้แล้วมองมู่จวินฮานอย่างเสียดายพร้อมจากไปอย่างหงุดหงิด มิรู้ว่านางตั้งใจหรือไม่แต่นางได้ทิ้งอันหลิงเกอไว้ที่เดิม
องค์รัชทายาทเคยเห็นอันหลิงเกอในงานฉลองของวังหลวงจึงพยักหน้าให้และสีหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยนมาบ้างแล้ว “ข้าได้ยินว่าอันผิงให้เจ้าเข้าวังเพื่อตรวจโรคของนางหรือ ? ”
อันหลิงเกอพยักหน้า ความอ่อนแอที่แสดงออกบนใบหน้าของนางในตอนแรกได้หายไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็คืนสู่สภาพใจกว้างและอ่อนโยนเช่นเดิม “ใช่เพคะ แต่เหมือนว่ากงจู่มิได้ประชวรอันใด พอเห็นหม่อนฉันแล้ว นางก็รีบให้หม่อมฉันเป็นเพื่อนเล่นยิงธนูทันที สุขภาพของนางมิเลวเลยเพคะ”
นางบอกว่ากงจู่สุขภาพแข็งแรงดี ทำให้หางคิ้วขององค์รัชทายาทยกสูงขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ร่างกายเขาอ่อนแอ แต่ในฐานะเป็นองค์รัชทายาท เขาก็ได้ผ่านการเรียนรู้และอบรมมามิน้อย ไหนเลยจักมองมิออกว่าอันผิงเรียกอันหลิงเกอเข้าวังก็เพื่อต้องการกลั่นแกล้ง
อันผิงยิ่งนานวันก็ยิ่งเอาแต่ใจมากไปแล้ว!
องค์รัชทายาทฟังถ้อยคำกึ่งชื่นชมกึ่งร้องเรียนของอันหลิงเกอ แววตาของเขาก็ยิ่งมืดมนมากขึ้น
…
*กงจู่ คือ พระธิดาที่ประสูติจากองค์ฮองเฮา