ตอนที่ 265 ไป๋หลี่เฉิน
“ในเมื่ออันผิงหายดีแล้ว ฟู่หวงต้องดีใจแน่นอน”
องค์รัชทายาทตอบอย่างนุ่มนวล เขาตัดสินใจทูลรายงานเรื่องอันผิงกงจู่ให้ฮ่องเต้ทราบอย่างแน่นอน
เขาเป็นคนฉลาดดังคาด
อันหลิงเกอเม้มปาก คิ้วและตาที่งดงามของนางมิรู้ว่าได้ทำให้ผู้ใดลุ่มหลงไปแล้วบ้าง
นัยน์ตาสีดำสะท้อนเงาร่างของมู่จวินฮาน คนสองคนสบตากันโดยมิมีผู้ใดล่วงรู้
“เอาล่ะ ในเมื่ออันผิงมิเป็นอันใด เจ้าก็ไปทำหน้าที่ของตนเถิด” องค์รัชทายาทให้อันหลิงเกอออกไป จากนั้นจึงหันไปมองสองคนด้านหลัง “จวินฮาน วันนี้ข้าพบผู้มีความสามารถอีกคนหนึ่งแล้ว ลองดูว่าระหว่างพวกเจ้า ผู้ใดจักเก่งกว่ากัน”
อันหลิงเกอเพียงเหลือบตามองอีกคนที่ว่า จากนั้นเก็บสายตากลับและเมื่อนางคารวะให้องค์รัชทายาทเสร็จก็รีบเดินทางกลับจวนทันที
เมื่ออยู่ในเรือนและสั่งให้คนอื่นออกไปหมดแล้ว นางจึงยกมือกุมท้องแล้วหัวเราะออกมา
นึกถึงสีหน้าที่ทั้งอับอายทั้งโกรธของอันผิงกงจู่แล้ว อันหลิงเกอก็ได้ระบายอารมณ์ออกมาครั้งใหญ่ทีเดียว
เสียงหัวเราะของนางดังราวกระดิ่งทองฟังแล้วเพลินหูยิ่งนัก เสียงของนางทำให้ไป๋หลี่เฉินที่อยู่ในมุมมืดอดปรากฏตัวขึ้นมามิได้
“สาวน้อย เจ้าดีใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”
อันหลิงเกอมองบุรุษที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า เขามีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้างดงามราวหยก ปลายจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางโค้ง คิ้วคมเข้มราวกระบี่ ดวงตาภายใต้ขนตางามดูยั่วยวนคล้ายสามารถดึงวิญญาณคนออกมาได้ ทำให้คนต้องหลงใหลไปกับรูปโฉมที่หล่อเหล่าของเขา
เขาคือผู้ใด ? มาอยู่ที่เรือนตั้งแต่เมื่อไร ?
นางรู้สึกหวาดระแวงมาก ความรู้สึกปลอดภัยหายไปจนสิ้น !
ไป๋หลี่เฉินมองอันหลิงเกอที่หน้าเปลี่ยนสีไปแล้ว เพียงรู้สึกแม่นางตรงหน้าช่างน่าสนใจยิ่งนัก
เขาเห็นตอนที่อันหลิงเกอลงมือกับลูกธนูของอันผิงกงจู่ ความเร็วและแรงเช่นนั้นดูก็รู้ว่านางต้องมิใช่หญิงสาวธรรมดาในเรือน
ด้วยความสงสัย เมื่อครู่ตอนแข่งกับมู่จวินฮาน เขาจึงแกล้งพ่ายแพ้แล้วตามอันหลิงเกอมาที่นี่ คาดมิถึงว่าอันหลิงเกอยังมีด้านที่เจ้าเล่ห์อีกด้วย
เจ้าเล่ห์ราวสุนัขจิ้งจอก ฉับไวเหมือนแมว คนเช่นนี้ช่างน่าสนใจนัก
อันหลิงเกอจ้องไป๋หลี่เฉินอย่างระมัดระวัง นัยน์ตาสีดำดูมืดมนมิน้อย
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ? ”
ที่นี่คือจวนโหว มีทหารนับร้อยนายคอยดูแลอย่างเข้มงวด แต่คนผู้นี้สามารถปรากฏตัวตั้งแต่ตอนใดมิทราบ ทั้งยังมิทำให้ทหารสักนายหนึ่งเคลื่อนไหว เห็นได้ชัดว่าวิชาตัวเบาของเขามิเหมือนคนทั่วไป
ไป๋หลี่เฉินประหลาดใจเล็กน้อย เขาถือเป็นผู้ช่ำชองในยุทธภพ ใบหน้ามีเสน่ห์เย้ายวนราวปิศาจ หญิงสาวในยุทธภพต่างหลงรักเขา แม้กระทั่งหญิงที่ตัดขาดจากเรื่องทางโลกเมื่อเห็นเขาก็ยังต้องเขินอายจนหน้าแดง
แต่อันหลิงเกอมิแยแสต่อโฉมหน้าของเขา ทั้งยังมีความระแวงออกมาให้เห็นอีกด้วย
ช่างน่าสนใจเสียจริง
ไป๋หลี่เฉินสนใจอันหลิงเกอมากขึ้น ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กน้อย ดวงตามีเสน่ห์กะพริบปริบแล้วเอ่ยล้อเล่นว่า “แน่นอนว่าข้าต้องเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยอยู่แล้ว ทหารจวนโหวของพวกเจ้ายังอ่อนหัดนัก”
เขาส่ายศีรษะ จากนั้นก็มองไปที่อันหลิงเกออย่างมีความหมายลึกซึ้ง “กลับเป็นเจ้าที่กล้าลงมือต่อกงจู่ในวัง นับว่าใจกล้ามิเบา”
“กงจู่ ? ” อันหลิงเกอตกใจจนทำตัวมิถูก “เกิดเรื่องขึ้นกับองค์หญิงพระองค์ใดหรือ ? ”
หากมิได้เห็นอันหลิงเกอใช้เข็มเงินกระแทกลูกธนูของอันผิงกงจู่ด้วยตาตนเอง ไป๋หลี่เฉินคงโดนท่าทีนี้ของนางหลอกไปแล้ว
“สาวน้อยเจ้าเล่ห์”
ถ้อยคำของนางมิได้เผยจุดอ่อนออกมาเลย มิรู้ว่านิสัยระมัดระวังเช่นนี้ถูกอบรมสั่งสอนมาได้อย่างไร
ไป๋หลี่เฉินหัวเราะทีหนึ่ง “ข้าเห็นเรื่องนี้กับตาตนเอง หากให้อันผิงกงจู่รู้ว่าเสียหน้าในวันนี้เพราะเจ้า คิดว่านางจักทำอย่างไรกับเจ้าหรือ ? ”
อันหลิงเกอกะพริบตาปริบ ๆ ใบหน้ายังมีท่าทีว่ามิรู้เรื่องกับสิ่งที่ไป๋หลี่เฉินกล่าว
“คำที่กล่าวออกมาของคุณชายช่างแปลกประหลาดเสียจริง” สีหน้าของนางมิเปลี่ยนและพูดโกหกได้โดยมิกะพริบตา “ใครต่างก็รู้ว่าลูกธนูของอันผิงกงจู่ต้องพุ่งกลับไปเพราะมันชนกับอาวุธเหล่านั้น เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับข้า ? ”
นางมองไป๋หลี่เฉิน มุมปากเผยรอยยิ้มที่เย็นเยือก “กลับเป็นคุณชายต่างหากที่บุกรุกจวนโหว ถ้ามีคนจับได้ก็เกรงว่าต้องถูกขังที่คุกหลวงอีกนานเป็นแน่”
แม้อันหลิงเกอจักเอ่ยเช่นนี้ แต่ในใจมิมั่นคงแม้แต่น้อย
คนผู้นี้หลบเลี่ยงทหารทั้งหมดมาได้และปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างไร้เสียง เห็นได้ชัดว่าวิชาเบาตัวของเขาสูงส่งและคนทั่วไปมิใช่คู่ต่อสู้
ทหารในจวนมีวิชาต่อสู้ทั่วไปเท่านั้น หากอยากจับคนเช่นนี้จึงเป็นเรื่องยากมาก
พออันหลิงเกอเอ่ยจบก็ได้ยินไป๋หลี่เฉินหัวเราะออกมา “เจ้าคิดว่าทหารในจวนนี้สามารถจับข้าได้หรือ ? ”
เขาเย่อหยิ่งเสียจริง การกระทำมิได้เหมือนภายนอกที่ดูไร้พิษภัยแม้แต่น้อย
“ทหารในจวนใช้มิได้จริง ๆ ”
อันหลิงเกอเอ่ยเพียงประโยคเดียว อยู่ ๆ ก็ยกมือขึ้นแล้วสาดผงในกระเป๋าแขนเสื้อของตนออกไปทางไป๋หลี่เฉิน
ไป๋หลี่เฉินที่ท่องยุทธภพมานาน รู้สึกได้ถึงลางมิดีจึงยกปลายเท้าแล้วทะยานออกไปราว 3 จั้ง จากนั้นก็ร่อนลงพื้น
เพียงเท้าแตะพื้นเขาก็รู้สึกว่าเท้าหนักมาก พื้นที่เดิมราบเรียบก็เป็นช่องยุบลงไป ขณะเดียวกันก็มีเสียงลมพัดดังมาจากทุกทิศทาง
เป็นกับดัก!
ไป๋หลี่เฉินเลิกคิ้วอย่างตกตะลึง เขาใช้วิชาตัวเบาลอยทะลุหลบหลีกท่ามกลางลูกธนูที่หนาแน่น เขาหลบเลี่ยงอาวุธลับเหล่านั้นได้สบายและท้ายสุดก็กระโดดมาอยู่ตรงหน้าอันหลิงเกอ
“สาวน้อย ค่ายกลของเจ้ามิเลว เพียงแต่ยังมีจุดบกพร่องอยู่เล็กน้อย”
หากต้องการสร้างกลไกลับไว้ในเรือน จำต้องวางเหล็กหนามที่แหลมไว้ใต้ดินและวางยาพิษที่ร้ายแรงไว้บนลูกธนูเพื่อให้ศัตรูมิสามารถรอดชีวิตไปได้
ไป๋หลี่เฉินเพิ่งกล่าวจบ พลันเห็นอันหลิงเกอยิ้มแปลก ๆ “คุณชายมั่นใจได้อย่างไรว่าสามารถหลบพ้นค่ายกลของข้าทั้งหมด ? ”
อันหลิงเกอกำลังคำนวณอยู่ในใจ มองเหงื่อที่ออกบนหน้าผากไป๋หลี่เฉินจึงรู้ว่าเขามิอาจขยับได้แล้ว นางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ล้ม”
ร่างสูงล้มลงพื้นทันที ทำเอาปี้จูและหมิงซินที่เฝ้าอยู่หน้าเรือนพากันตื่นตระหนก
“เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะคุณหนู ? ”
นางสองคนผลักประตูเข้ามาอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นร่างที่นอนอยู่บนพื้นก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา
มิรู้ว่าเขาเป็นใครและมาจากที่ใดจึงกล้าบุกมาเรือนคุณหนูใหญ่ หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไปย่อมเสื่อมเสียไปถึงชื่อเสียงของคุณหนู หากเขาต้องการทำมิดีมิร้ายก็เกรงว่าคุณหนูจักไร้โอกาสร้องขอความช่วยเหลือด้วยซ้ำ
อันหลิงเกอมองหลุมค่ายกลที่พื้น นั่นคือสิ่งที่ทำไว้เพื่อหลบหนีหากมีโจรป่าบุกเข้ามา คาดมิถึงว่าวันนี้จักได้ใช้จริง ๆ
นางโบกมือให้ปี้จูและหมิงซิน “มิมีอันใดหรอก ก็แค่โจรบุกเข้ามา พวกเจ้ามัดเขาไว้แล้วส่งให้ทางราชการเถิด”