ตอนที่ 267 ตายแล้วฟื้นคืน
เมื่อได้ฟังคำของอันหลิงเกอ มู่จวินฮานก็ยกริมฝีปากขึ้นเผยรอยยิ้มที่ดูผ่อนคลายออกมา “ขอเพียงสิ่งที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริง ต่อให้น่าขันมากเพียงใดข้าก็จักเชื่อเจ้า”
แค่เพียงประโยคนี้ประโยคเดียวจากเขา ความลังเลสุดท้ายในใจของอันหลิงเกอก็มลายหายไปจนสิ้น
นางมองมู่จวินฮาน ภายในดวงตาสีดำที่เปล่งประกายเต็มไปด้วยความจริงจัง “ท่านเชื่อเรื่องคนตายแล้วฟื้นคืนชีพหรือไม่ ? ”
“ก็มิเชิงว่าตายแล้วฟื้น แต่เป็นการย้อนเวลากลับมายังอดีต”
มู่จวินฮานเงียบไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขามิเคยได้ยินเรื่องพิลึกพิลั่นเช่นนี้มาก่อน
เขาเลิกคิ้วขึ้น คิ้วที่คมเข้มทำให้เขายิ่งมีเสน่ห์มากไปอีก “จักบอกว่าเจ้าเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง จากนั้นวิญญาณก็ย้อนมาอยู่ในช่วงเวลาก่อนเจ้าตายเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เรื่องเช่นนี้กล่าวง่ายแต่ซับซ้อน ทว่ามู่จวินฮานก็สามารถเข้าใจและพูดออกมาได้โดยง่ายทำให้อันหลิงเกอถอนหายใจอย่างโล่งอก “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นผู้ที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อชาติก่อนตอนที่ข้าตายก็มีอายุ 17 ปีแล้ว มิรู้ว่าเหตุใดพอลืมตาขึ้นก็ย้อนมาตอนที่อายุ 15 ปีอีกครั้ง”
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นมาได้ยินสิ่งที่อันหลิงเกอพูด คงคิดว่านางแต่งเรื่องโกหกขึ้นมาแน่นอน หรือไม่ก็คิดว่าอันหลิงเกอป่วย มิมีทางคิดว่าเป็นความจริงเด็ดขาด
แต่มู่จวินฮานตั้งใจฟังในสิ่งที่นางกล่าว ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกันขึ้นมา
“ตอนอยู่ที่โรงเตี๊ยม เจ้าจำข้าได้ก็เพราะชาติก่อนพวกเรารู้จักกันอยู่แล้วใช่หรือไม่ ? ”
หากเป็นเช่นนี้แล้วทุกอย่างก็ดูสมเหตุสมผล
เหตุใดครั้งแรกที่พบกัน อันหลิงเกอจึงทราบตัวตนที่แท้จริงของเขา เหตุใดจึงเริ่มกักตุนยาสมุนไพรเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาด เหตุใดจึงสามารถมีใบสั่งยาที่ได้ผลชะงัด ทั้งหมดล้วนมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล
เพราะอันหลิงเกอเป็นผู้ที่กลับชาติมาเกิดใหม่ นางรู้ว่าจักมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในภายภาคหน้า ดังนั้นจึงได้เตรียมพร้อมเอาไว้
แต่สิ่งที่มู่จวินฮานเป็นห่วงในตอนนี้คือชาติก่อนเขาและอันหลิงเกอมีความสัมพันธ์ใดต่อกัน เพราะเหตุใดอันหลิงเกอจึงสิ้นลมตอนอายุ 17 ปี ?
อันหลิงเกอพยักหน้า ถึงแม้การมานั่งสนทนากับคนอื่นเรื่องอดีตชาติของตนจักรู้สึกแปลกประหลาดไปมาก แต่นางก็ยังพูดต่อ “เมื่อชาติที่แล้วฝ่าบาทได้พระราชทานสมรสระหว่างจวนอ๋องมู่และจวนโหว ข้าจึงได้รู้จักท่านหลังจากนั้นเจ้าค่ะ”
นับได้ว่าเรื่องราวในชาติก่อนและชาตินี้มิได้เปลี่ยนไปมากนัก อย่างเช่นการหมั้นหมายระหว่างมู่จวินฮานกับอันหลิงเกอหรือโรคระบาดที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น
ทว่าก็มีหลายเรื่องที่ผิดเพี้ยนไป เช่น พวกเขาถูกฝ่าบาทประทานสมรสแล้วก็ขอให้ฝ่าบาททรงยกเลิกการหมั้นหมาย โรคระบาดที่แคว้นชิงเยว่สร้างขึ้นก็เกิดเร็วกว่าชาติก่อนอยู่หลายเดือน
อันหลิงเกอมองต่ำลง มิได้กล่าวว่าเหตุใดนางจึงจบชีวิตทั้งที่อายุยังน้อย แม้บนใบหน้ามิได้แสดงถึงความเศร้าหมอง แต่อารมณ์กลับดิ่งลงอย่างชัดเจน
มู่จวินฮานรับรู้ถึงความรู้สึกของอันหลิงเกอได้อย่างรวดเร็ว รู้ว่านางมิต้องการกล่าวถึงการตายในชาติก่อนอีกจึงมิถามให้มากความ
รอจนกว่าอันหลิงเกออยากบอกเขา ถึงเวลานั้นเขาย่อมได้รู้
“ทั้งชาติก่อนและชาตินี้ เจ้ากับข้าล้วนได้หมั้นหมายกัน นี่นับว่าเป็นพรหมลิขิตใช่หรือไม่ ? ” มู่จวินฮานเปลี่ยนเรื่องสนทนา เขาอยากให้อันหลิงเกอนึกถึงเรื่องที่ทำให้มีความสุขและสบายใจ
ชาติที่แล้วนางยังมิได้แต่งงานกับมู่จวินฮานก็ถูกอันหลิงอีวางยาพิษจนตาย ชาตินี้พวกเขาต้องทำเพื่อส่วนรวมและเพื่อความปลอดภัยของทั้งสองจวนจึงได้สร้างภาพว่าขัดแย้งกันให้ฮ่องเต้ยกเลิกการหมั้นหมาย
แต่ชีวิตที่มิแน่นอนเยี่ยงนี้นับว่าเป็นพรหมลิขิตที่ฟ้ากำหนดก็คงได้อยู่
อันหลิงเกอมองค้อนใส่มู่จวินฮาน “ใช่แล้วเจ้าค่ะ เป็นพรหมลิขิตที่ฟ้ากำหนดให้การแต่งงานของเราต้องยกเลิก”
ในคำกล่าวของนางแฝงไว้ด้วยความโกรธ แต่ทำให้ดวงตาสีดำสนิทของมู่จวินฮานนิ่งไปชั่วขณะ ริมฝีปากเรียวบางเอ่ยคำสัญญาที่หนักแน่นที่สุดออกมา “เชื่อข้า ข้าจักกลับมาสู่ขอเจ้าให้ได้”
“รอให้ศึกกับแคว้นชิงเยว่จบลง ข้าจักเกลี้ยกล่อมท่านพ่อให้มอบอำนาจทางทหารคืนฝ่าบาท จากนั้นก็ขอให้ฝ่าบาททรงพระราชทานสมรสอีกครั้ง”
อันหลิงเกอที่เดิมทำหน้าบูดบึ้ง เมื่อได้ยินสิ่งที่มู่จวินฮานกล่าวก็ขำพรืดออกมา “ท่านคิดว่าราชโองการของฝ่าบาทจักขอพระราชทานได้โดยง่ายเยี่ยงนั้นหรือ ? อีกอย่างตอนแรกที่การหมั้นหมายถูกยกเลิกก็เป็นท่านเองที่ขอร้องฝ่าบาท หากให้ฝ่าบาทยอมรับการแต่งงานนี้อีก เกรงว่าพระองค์จักคงคิดว่าท่านต้องการแกล้งเล่นเป็นแน่ หากยังเอ่ยถึงเรื่องพระราชทานสมรสอีก ฝ่าบาทคงอยากสั่งโบยท่านสัก 20 ไม้มากกว่า”
แม้ฝ่าบาทมีศักดิ์เป็นน้าชายของมู่จวินฮาน ปกติก็ปฏิบัติต่อมู่จวินฮานเช่นเดียวกับที่ผู้อาวุโสทั่วไปปฏิบัติต่อหลานอย่างไรอย่างนั้น แต่ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ จักเหมือนน้าหลานทั่วไปได้จริงหรือ ?
ดูจากที่พระองค์ต้องปกป้องอ๋องมู่และคนของจวนอ๋องมู่ก็เห็นได้เพียงครั้งคราวเท่านั้น
มู่จวินฮานจับมือของอันหลิงเกอข้างหนึ่งเอาไว้ ดวงตาสีดำสนิทที่งดงามคู่นั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ “ถ้าหากข้าใช้ทหารนับแสนแลกกับการแต่งงานกับเจ้าเล่า ? ฝ่าบาทต้องตกลงอย่างแน่นอน”
ใช้ทหารนับแสนแลกการแต่งงานกับนาง มู่จวินฮานเสียสติไปแล้วหรือ ?
นางคิดเช่นนั้นแล้วส่งเสียงด่าว่าคนบ้าไปเบา ๆ “ทั้งต้าโจวมีผู้ใดเป็นเยี่ยงท่านที่มอบทหารนับแสนให้ฝ่าบาทเพื่อแลกการแต่งงานกับสตรีเพียงคนเดียว ? ”
“หากได้แต่งกับเจ้าย่อมคุ้มค่า” มู่จวินฮานมองไปยังอันหลิงเกอ เพราะทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก กลิ่นหอมเย็น ๆ จากกายเขาจึงลอยเข้ามาแตะจมูกของอันหลิงเกอ
พอเห็นท่าทางคัดค้านของอันหลิงเกอแล้ว มู่จวินฮานจึงกล่าวต่อ “อย่างไรก็เป็นเพราะจวนอ๋องมู่กุมอำนาจทหารในมือ ฝ่าบาทจึงได้หวาดระแวงพวกเรา หากพวกเรานำอำนาจทหารส่งคืนฝ่าบาท พระองค์ย่อมมิหวาดระแวงอีกต่อไป”
จวนอ๋องมู่แตกต่างจากจวนโหว เพราะจวนโหวตลอดสิบกว่าปีมานี้เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว แต่จวนอ๋องมู่ยังคงรุ่งโรจน์เหมือนยามที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมิผิดเพี้ยน เพียงแต่เบื้องหลังของความรุ่งโรจน์นั้นอาจถูกฝ่าบาททำลายเมื่อไรก็ได้
อันหลิงเกอก็เข้าใจสถานการณ์ของจวนอ๋องมู่ในตอนนี้ดี เมื่อได้ฟังคำกล่าวของมู่จวินฮานจึงนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา “ข้าจักรอท่านเจ้าค่ะ”
รอให้ศึกที่ม่อเป่ยจบลง นางก็จักรอให้มู่จวินฮานมาสู่ขอ
อันหลิงเกอพูดจบก็ยกยิ้มจนตาหยี รอยยิ้มเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและอ่อนหวาน
เมื่อเห็นเช่นนั้นมู่จวินฮานก็ประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของนางอย่างอดใจมิไหว ก่อเกิดเป็นความหอมหวานแสนอ้อยอิ่งขึ้น
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ อันหลิงเกอที่แก้มแดงระเรื่อจึงได้ผลักมู่จวินฮานออก
นางยังมิได้ออกเรือน การแต่งงานระหว่างมู่จวินฮานก็โดนยกเลิกไปแล้ว แต่ก็ยังเกิดเรื่องใกล้ชิดกับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่เกินควรไปมากหรือไม่ ?
อันหลิงเกอที่เขินอายจนหน้าแดงรู้สึกเห่อร้อนไปทั่วกาย ร่างทั้งร่างรู้สึกชาราวกับเป็นไข้
ส่วนมู่จวินฮานหัวเราะออกมาเบา ๆ น้ำเสียงของเขาทำให้ผู้คนมึนเมาราวกับสุราชั้นยอด “เกอเอ๋อ รอก่อนเถิดแล้วข้าจักมาสู่ขอเจ้า”
เขายื่นมือไปประคองที่ใบหน้าของอันหลิงเกอ บรรจงจุมพิตลงที่หน้าผากเรียบเนียนของนางอย่างแผ่วเบาราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ
ในเวลานี้ใบหน้าของอันหลิงเกอร้อนจนแทบไหม้ ภายในดวงตามีหยดน้ำใสคลออยู่แต่ก็ยังพยักหน้ารัว ปฏิกิริยาของนางเช่นนี้ทำให้รอยยิ้มในดวงตาของมู่จวินฮานยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น
แต่ทั้งสองคนหารู้ไม่ว่าแผนการที่วางเอาไว้จักถูกบีบบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลงในมิช้าและต้องพรากจากกันอีกด้วย