ตอนที่ 273 หาเรื่อง
การที่ไทเฮาทรงตรัสถามมู่หวางเฟยเพราะมิรู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกเช่นไรต่ออันหลิงเกอ
“หม่อมฉันตามพระทัยองค์ไทเฮาเพคะ”
คำตอบของมู่หวางเฟยทำให้ไทเฮายิ้ม พระนางคิดไว้แล้วว่าคุณหนูใหญ่อันน่ารักออกปานนี้ ต่อให้เป็นมู่หวางเฟยก็ยากที่จักมิชอบได้หรอก
ทว่ามู่หวางเฟยเพิ่งกล่าวจบ ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็ขาวซีดทันที ริมฝีปากซีดจางจนไร้สีเลือด
หลังจากนั้นนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปาก เสียงไอรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนทั้งสองคนที่อยู่ตรงนั้นสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
พลันพระพักตร์ของไทเฮาก็เปลี่ยนเป็นความกังวลทันที “คุณหนูใหญ่อันรีบมาดูเร็วเข้า”
พระนางมิใช่หมอหลวง เมื่อเห็นมู่หวางเฟยไอออกมาอย่างรุนแรงเช่นนี้จึงทำได้เพียงเรียกอันหลิงเกอให้รีบเข้ามาดูอาการเท่านั้น
อันหลิงเกอลุกขึ้นจากเก้าอี้ตั้งแต่ตอนที่มู่หวางเฟยเริ่มไอแล้วเดินเข้าหาอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งแตะลงบนข้อมือของมู่หวางเฟยทันที
ดวงตาของอันหลิงเกอแฝงไว้ด้วยความวิตกกังวล
อันหลิงเกอรู้สึกถึงชีพจรที่เต้นเบาอยู่ภายใต้นิ้วมือ ชีพจรนี้เต้นเบาและช้ากว่าสตรีปกติมาก มิเหมือนการเกิดขึ้นเนื่องจากอาการป่วย แต่คล้ายว่าเกิดมานางก็เป็นเช่นนี้แล้ว
“มู่หวางเฟยมีสาวใช้มาด้วยสองคนใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
นางเพียงถามขึ้นมา ไทเฮาก็เข้าใจความหมายทันทีจึงสั่งนางกำนัลที่อยู่ตรงนั้นว่า “รีบไปตามสาวใช้สองคนที่มากับมู่หวางเฟยเดี๋ยวนี้”
นางกำนัลที่สามารถรับใช้ในตำหนักซือหนิงได้ล้วนเฉลียวฉลาด เพียงแค่ได้ยินคำสั่งของไทเฮาก็รู้ได้ว่าเรื่องนี้เร่งด่วนเพียงใดจึงรีบวิ่งไปตามชิงซินกับชิงเหมยที่กำลังเก็บของทันที
ดีที่พวกนางมิได้อยู่ไกลจากตรงนั้นเท่าไรนัก ครู่เดียวก็ตามหลังนางกำนัลเข้ามา
“มู่หวางเฟยร่างกายอ่อนแอตั้งแต่กำเนิดใช่หรือไม่ ? ” อันหลิงเกอเอ่ยถามและเก็บมือข้างที่ตรวจชีพจรลง นางมิได้หันไปทางสาวใช้สองคนนั้น แต่ชิงเหมยก็ตอบโดยอัตโนมัติ
“ใช่เจ้าค่ะ หวางเฟยมีสุขภาพอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด”
มิใช่ทำตัวบอบบาง อ่อนแอหรือเสแสร้งอย่างที่ใครหลายคนกล่าวกัน
หากมิใช่เพราะสถานการณ์ตอนนี้บีบบังคับ ชิงซินอยากตบหน้าคนที่แอบนินทาหวางเฟยของนางลับหลังยิ่งนัก ดูสิว่าต่อไปยังกล้าพูดจาเหลวไหลอีกหรือไม่
แต่เวลานี้ใบหน้าของมู่หวางเฟยซีดขาว เสียงไอรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ชิงเหมยและชิงซินมิมีจิตใจไปคิดบัญชีพวกนางกำนัลตอนนี้ ทำเพียงจ้องมองการกระทำของอันหลิงเกอโดยมิกะพริบตา
อันหลิงเกอกดคางของมู่หวางเฟยลงเพื่อเปิดปากอีกฝ่ายออกเล็กน้อย พิจารณาอยู่ครู่เดียวก็ยื่นมือไปแตะหน้าผากของมู่หวางเฟย บีบนวดบนใบหน้าเพียงมิกี่ครั้ง อาการไอของมู่หวางเฟยก็ค่อย ๆ หยุดลง
ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนมองด้วยความตกตะลึง พวกนางเพิ่งเคยเห็นวิธีที่มิต้องใช้ยาก็สามารถทำให้คนหายจากอาการไอได้เป็นครั้งแรก
โดยเฉพาะชิงซินกับชิงเหมย พวกนางจ้องไปที่อันหลิงเกอด้วยประกายแสงแรงกล้าอย่างคาดมิถึงออกมา ราวกับคิดว่าจักทำเยี่ยงไรจึงสามารถลักพาตัวอันหลิงเกอกลับจวนอ๋องมู่ไปด้วย
หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา พวกนางคงมิตกใจเพราะอาการไอพวกนี้ปกติแล้วก็สามารถหยุดได้เอง แต่หวางเฟยหาเป็นเช่นนั้นไม่
พวกนางดูแลข้างกายมู่หวางเฟยมาหลายปี ชิงซินและชิงเหมยรู้จักอาการป่วยของเจ้านายเป็นอย่างดี
หากนายหญิงไอขึ้นมาเมื่อใด มีแต่ยิ่งไอหนักขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งถึงขนาดไอออกมาเป็นเลือดด้วยซ้ำ
หรือได้ใบสั่งยาของหมอที่มิได้เรื่อง อาการไอของหวางเฟยก็มิมีทางหยุดได้
แต่คุณหนูใหญ่อันสามารถทำได้ !
ชิงซินและชิงเหมยสบตากัน ต่างเห็นความหวังในดวงตาของอีกฝ่าย
อันหลิงเกอเพียงกดที่ใบหน้าของมู่หวางเฟยมิกี่ครั้งก็ทำให้มู่หวางเฟยหยุดไอได้ สำหรับพวกนางแล้วต้องเป็นหมอเทวดาอย่างแน่นอนจึงสามารถทำได้
พวกนางกำลังยกย่องเชิดชูอันหลิงเกออยู่ภายในใจ จากนั้นอันหลิงเกอได้ปล่อยมือจากใบหน้าของมู่หวางเฟยแล้วสั่งนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง “รีบไปหยิบกระดาษและพู่กันมา ข้าจักเขียนใบสั่งยาให้มู่หวางเฟย”
มู่หวางเฟยหายแล้วมิใช่หรือ เหตุใดต้องเขียนใบสั่งยาอีกเล่า ?
นางกำนัลรู้สึกมิเข้าใจจึงหันมองไทเฮา เมื่อได้รับสัญญาณจึงถอยออกไป เพียงครู่เดียวก็เดินนำกระดาษและพู่กันเข้ามา
“เมื่อครู่ข้าใช้การกดจุดเพื่อให้ลมหายใจของมู่หวางเฟยกลับมาเป็นปกติ” อันหลิงเกอหยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนชื่อตัวยาลงบนกระดาษทีละบรรทัดอย่างคล่องแคล่ว “แต่มู่หวางเฟยโดนลมมากจนมีอาการหวัด ตอนนี้ควรทานยาและพักผ่อนให้มากจึงจักหายเร็วขึ้น”
พออันหลิงเกอกล่าวจบ แสงที่ส่องมาจากนัยน์ตาของชิงซินและชิงเหมยก็โดนทำลายในชั่วพริบตา ที่แท้ยังต้องทานยาอยู่ดี
แต่ท่าทางการพูดที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้ใบหน้าที่ซีดเซียวของมู่หวางเฟยปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ถึงแม้เพิ่งมีอาการดีขึ้นแต่นางก็ยังมีท่าทีอ่อนโยนและใจกว้าง “ชิงซิน ชิงเหมย พวกเจ้าไปทำตามที่คุณหนูใหญ่อันสั่งเถิด”
องค์ไทเฮาส่งสายตาให้นางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านข้าง นางกำนัลคนนั้นจึงเดินนำทั้งสองคนไปรับยาที่สำนักหมอหลวง
“คุณหนูใหญ่อัน เมื่อครู่เจ้าทำได้เยี่ยงไร ข้าเพิ่งเคยเห็นวิธีนี้เป็นครั้งแรก”
รอจนชิงซินและชิงเหมยตามนางกำนัลออกไปแล้ว ไทเฮาก็ตรัสถามออกมา
พระนางมีชาติกำเนิดสูงส่ง แม้มิได้มีร่างกายอ่อนแอ แต่เพราะบิดาและสามีล้วนเป็นผู้มีอำนาจ ทำให้ตั้งแต่เด็กจนโตพระนางล้วนได้พบหมอที่เก่งกาจมากมาย แต่มิเคยเห็นผู้ใดรักษาด้วยวิธีเช่นนี้มาก่อน
หากมิใช่เพราะอันหลิงเกอมีความสามารถแล้ว ไทเฮาคงคิดว่าเป็นนักหลอกลวงแน่นอน
อันหลิงเกอหลุบตาลง พลันนึกย้อนถึงเมื่อชาติก่อนที่นางเคยทำความรู้จักกับ*หมอเท้าเปล่าผู้หนึ่ง วิธีนี้นางก็ได้เรียนรู้มาจากเขา
หมอผู้นั้นกล่าวว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่หมอผีสมัยโบราณนิยมใช้กัน
หมอผีมิเหมือนหมอพิษกู่ที่ใช้คาถาเพื่อสาปแช่งคน ฟังแล้วน่ากลัวและมืดมน แต่หมอผีมีเคล็ดวิธีรักษาที่แปลกและลึกลับ พวกเขาจักใช้วิธีที่แปลกประหลาดในการรักษาผู้ป่วย
ถึงแม้วิธีการของหมอผีแปลกประหลาด แต่ก็เห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน
วันนี้เมื่อไทเฮาตรัสถาม อันหลิงเกอมิสามารถบอกความจริงได้ ประการแรกคือวิชาของหมอผีเป็นสิ่งลึกลับ นางเองก็รู้แค่พื้นฐานเท่านั้น หากอธิบายให้ไทเฮาฟังก็คงอธิบายได้มิกระจ่าง
ประการต่อมาหมอผีอย่างไรก็ยังมีคำว่าผีอยู่ ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเคยมีราชโองการมิให้ราษฎรในต้าโจวเกี่ยวข้องกับพวกคุณไสย แม้นางรู้ข้อแตกต่างของสิ่งที่หมอผีและพวกหมอพิษกู่ทำ แต่ยากรับประกันได้ว่าผู้อื่นจักมิใช้จุดนี้มาเล่นงานตน
อีกทั้งตอนนี้ยังมีคนคอยยุยงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับอันผิงกงจู่ เพื่อให้เกิดเรื่องกับนาง ฉะนั้นนางย่อมประมาทมิได้เด็ดขาด
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น อันหลิงเกอจึงก้มหน้าลง “ทูลไทเฮา เมื่อครู่หม่อมฉันตรวจชีพจรให้มู่หวางเฟยแล้วพบว่านางร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด เป็นเหตุให้แค่โดนลมก็เป็นหวัดได้ ดังนั้นหม่อมฉันจึงกดจุดให้หวางเฟยเพื่อหยุดอาการไอชั่วคราวเพคะ”
ไทเฮาส่งเสียง อืม ขึ้นมา เพียงครู่เดียวด้านนอกตำหนักก็มีเสียงสดใสดังขึ้น
……
*หมอเท้าเปล่า คือ เกษตรกรที่ได้รับการฝึกฝนวิชาแพทย์พื้นฐานและทำงานในหมู่บ้านชนบทเพื่อนำงานสาธารณสุขเข้าสู่พื้นที่ชนบท ซึ่งชื่อนี้ได้มาจากเกษตรกรภาคใต้ของประเทศที่มักทำงานเท้าเปล่าในแปลงนา