ตอนที่ 274 ผู้ประสงค์ร้าย
“เสด็จย่า หลานมาหาพระองค์แล้วเพคะ ! ”
หลังจากน้ำเสียงสดใสดังขึ้นก็ปรากฏภาพของรองเท้าปักฝีมือประณีตก้าวเข้ามาในตำหนัก
ผู้มาเยือนมีผมดำขลับราวกับขนของอีกา ม้วนเป็นมวยหลวมบนศีรษะ เส้นผมที่อ่อนนุ่มทำให้นางดูละมุนละไม เป็นเหตุคนที่พบเห็นอดรู้สึกเอ็นดูและเมตตามิได้
นางสวมชุดกระโปรงยาวสีอ่อนปักลายดอกบัวด้วยไหมสีเงิน ช่วงเอวคาดด้วยผ้าคาดเอวเนื้อบาง เสื้อคลุมตัวนอกเป็นสีม่วงวาดลายดอกฟู๋หรงชายผ้ายาวลากพื้น เป็นเสื้อแขนกว้างแต่เก็บช่วงเอวอย่างกระชับ ราวกับนกน้อยที่แสนมีชีวิตชีวาในฤดูร้อนเช่นนี้ รอบกายเต็มไปด้วยพลังแห่งความสดใสกระฉับกระเฉงทำให้คนมองรู้สึกมีความสุขตามไปด้วย
ผิวของนางขาวราวไข่ไก่ที่เพิ่งปอกเปลือก ดวงตาที่กะพริบคู่นั้นเปล่งประกายความมีชีวิตชีวาของหญิงสาว ริมฝีปากอมชมพูยกขึ้นเล็กน้อย แววตาที่เบิกบานช่างเหมาะกับสาวน้อยผู้งดงาม ยิ่งเมื่ออยู่ในชุดที่หรูหราเช่นนี้ยิ่งทำให้นางดูราวกับเทพธิดาผู้สูงส่งจนผู้คนจับจ้อง
อันหลิงเกอเงยหน้ามองก็พบหญิงสาวที่งดงามราวเทพธิดา คนผู้นั้นหากมิใช่อันผิงกงจู่แล้วจักเป็นผู้ใด ?
เพียงแต่วันนี้นางแต่งตัวและประทินโฉมได้งดงามพริ้มเพรายิ่งนัก แตกต่างจากสตรีที่ใช้ฐานะของตนกลั่นแกล้งผู้อื่นในวันนั้นโดยสิ้นเชิง
“โอ้ มู่หวางเฟยกับคุณหนูใหญ่อันก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
อันผิงกงจู่กล่าวขึ้นมาอย่างประหลาดใจ อันหลิงเกอจึงยืนขึ้นเพื่อคำนับ “ถวายพระพรอันผิงกงจู่เพคะ”
“พอแล้ว พอแล้ว ข้ามิชอบธรรมเนียมเยี่ยงนี้ที่สุด” อันหลิงเกอยังคำนับมิเสร็จ อีกฝ่ายก็โบกมือไปมาอย่างใจร้อน จากนั้นก็ยกชายกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งไปหาไทเฮาทันที
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่ ? ” ไทเฮาทำพระพักตร์นิ่ง แต่สายตาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มและความโปรดปราน แสดงให้เห็นว่าไทเฮาทรงโปรดอันผิงกงจู่มากเพียงใด
อันผิงกงจู่เงยหน้ามองไทเฮา ดวงตากลมโตกะพริบปริบ ลักยิ้มที่มุมปากปรากฏขึ้น
ยิ่งทำให้นางดูน่ารักน่าเอ็นดูมากไปอีก
จากนั้นก็ทำหน้ามุ่ย มีท่าทางมิพอใจเล็กน้อย “เสด็จย่าเพคะ เมื่อวันก่อนพระองค์บอกว่าจักไปชมดอกเสาเย่า (โบตั๋นน้อย) เป็นเพื่อนหลาน ตอนนี้ดอกเสาเย่ากำลังบาน หลานรอให้เสด็จย่าไปชมอยู่เพคะ ”
“ไปวันนี้เลยหรือ ? ” ไทเฮาขมวดพระขนงเล็กน้อย “วันนี้ยังมิได้ มู่หวางเฟยมิสบาย ข้าจักไปกับเจ้าได้เยี่ยงไร ? ”
ก็เพราะได้ยินว่ามู่หวางเฟยป่วย นางจึงเลือกมาเวลานี้อย่างไรเล่า
อันผิงกงจู่แอบหัวเราะในใจ แต่ภายนอกกุมพระหัตถ์ของไทเฮาเอาไว้ เผยเสน่ห์ของสาวน้อยและแสดงอาการดื้อรั้นมิฟังเหตุผลเหมือนเด็ก “หลานมิสน เสด็จย่ารับปากเอาไว้แล้วจักเปลี่ยนพระทัยได้เยี่ยงไรเพคะ ? ”
ไทเฮาขยับพระหัตถ์ไปมา อยากสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แต่ถูกอันผิงกงจู่กุมแน่นขึ้นไปอีก
“เด็กคนนี้ช่างไร้มารยาทเสียจริง” ไทเฮาทำพระพักตร์นิ่งแล้วตำหนิออกไป น้ำเสียงมีความจำยอมแต่แฝงไว้ด้วยความโปรดปรานอยู่มิน้อย
เดิมทีไทเฮามีนิสัยรักความสงบ พวกเด็ก ๆ ต่างมิมีใครแวะเวียนมาที่ตำหนักมากนัก มีเพียงอันผิงกงจู่ที่โดนต่อว่าไปครั้งสองครั้งแต่ก็ยังมาที่ตำหนักไทเฮาอยู่มิขาด
บางครั้งก็มาส่งเสียงคอยเล่าเรื่องราวเล็กน้อยที่เกิดขึ้นภายในวังให้ฟัง เช่น นกแก้วที่นางเลี้ยงเอาไว้ถูกแมวขโมยกินทำให้นางเสียใจจนร้องไห้ทั้งคืน หรือเป็นนางกำนัลในฝ่ายซักล้างทำเสื้อของนางขาด
แต่นางมิได้มาบ่นเพียงอย่างเดียวเพราะบางครั้งเจอเรื่องราวดี ๆ ก็จักรีบมาบอกกล่าวอย่างหน้าชื่นตาบาน เข้ามาถึงก็ร้องตะโกนว่า “เสด็จย่า เสด็จย่า เมื่อครู่หมู่โฮ่วชมหลานด้วยเพคะ” จากนั้นก็เริ่มพูดจ้อตามประสาต่อไป
แรกเริ่มไทเฮายังให้แม่นมเชิญนางออกไป แต่อีกฝ่ายก็ยิ่งมาบ่อยขึ้น ทำให้แม่นมในตำหนักของไทเฮาบังเกิดความชินชา
ผ่านไปปีแล้วปีเล่า องค์ไทเฮามิใช่ก้อนหิน จิตใจจักมิหวั่นไหวได้เยี่ยงไร ?
จนสุดท้ายไทเฮามิได้ให้คนไล่นางอีก มิหนำซ้ำบางครั้งยังให้คนไปเชิญนางมาที่ตำหนักเพื่อชิมขนมที่ห้องเครื่องลองทำสูตรใหม่ หรือพระราชทานของแปลก ๆ ที่ทางตะวันตกถวายมาให้อันผิงกงจู่ต่อด้วยซ้ำ
เป็นเหตุให้องค์หญิงและองค์ชายทั้งหลายภายในวังต่างก็อิจฉาริษยานาง แต่ผู้ใดใช้ให้พวกเขามิเป็นที่โปรดปรานของไทเฮาเองเล่า ?
จึงทำได้เพียงมองอันผิงกงจู่ซึ่งเป็นหลานเพียงคนเดียวที่ได้รับความรักจากไทเฮามากที่สุด
ในตอนนี้พอได้ยินไทเฮาตรัสออกมา อันผิงกงจู่ก็แลบลิ้นโดยมิตั้งใจ มิได้ระวังสำรวมเลยว่ามีคนนอกอยู่ด้วย ถ้ามองในแง่ของมารยาทอาจดูหยาบคาย มิใช่สิ่งที่องค์หญิงผู้สูงศักดิ์ควรกระทำ แต่อันผิงกงจู่กลับทำออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่านี่มิใช่ครั้งแรกที่ทำต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา
“เป็นเสด็จย่าเองที่ผิดสัญญา เหตุใดมาว่าหลานไร้มารยาทเล่าเพคะ ? ต่อให้พระองค์ผิดสัญญาก็มิควรโยนความผิดให้หลานเพคะ”
ไทเฮาส่ายพระพักตร์อย่างเหนื่อยหน่าย “เจ้าก็เห็นแล้วว่ามู่หวางเฟยร่างกายมิแข็งแรง เมื่อครู่คุณหนูใหญ่อันเพิ่งดูอาการให้นางเสร็จจึงดีขึ้นมาบ้าง”
มู่หวางเฟยที่นั่งอยู่ด้านข้างมีใบหน้าอึดอัดเล็กน้อย
นางเข้าวังมาอยู่กับไทเฮาก็นับว่ามิเหมาะสมแล้ว มาตอนนี้อันผิงกงจู่กล่าวเช่นนี้อีก ยิ่งทำให้นางอึดอัดไปกันใหญ่ รู้สึกราวกับว่าการที่นางร่างกายมิแข็งแรงจักเป็นภาระของไทเฮาทำให้มิสามารถเสด็จไปไหนได้อย่างสะดวก
ดวงตากลมโตของอันผิงกงจู่กลอกไปมาแล้วถอนหายใจด้วยความผิดหวัง “เช่นนั้นถ้าเสด็จย่าไปมิได้ก็ให้คุณหนูใหญ่อันไปเป็นเพื่อนหลาน มู่หวางเฟยมีพระองค์คอยดูแลแล้วทั้งยังมีนางกำนัลมากมาย มิมีทางเป็นอันใดหรอกเพคะ”
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นไทเฮาก็หันไปมองมู่หวางเฟยจึงเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้ “หม่อมฉันรู้สึกดีมากแล้วเพคะ ไทเฮามิต้องเป็นห่วง”
จักมิเป็นห่วงได้อย่างไรเพราะนี่คือคนที่พระนางเชิญมาเอง ให้ทิ้งไว้แล้วไปชมดอกเสาเย่ากับอันผิงได้เยี่ยงไร ?
“คุณหนูใหญ่กับอันผิงอายุใกล้เคียงกัน ยามปกติมิค่อยได้พูดคุยกันมากนัก มิสู้ถือโอกาสนี้ให้เจ้าไปชมดอกไม้เป็นเพื่อนนางก็แล้วกัน จักได้พูดคุยตามประสาหญิงสาวและคงเข้ากันได้ดี”
ในเมื่อไทเฮาตรัสออกมาเช่นนี้ อันหลิงเกอจึงเงยหน้ามองรอยยิ้มได้ใจที่แฝงอยู่ในแววตาของอันผิงกงจู่ ภายในใจก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาทันที
อันผิงกงจู่มาหาไทเฮาวันนี้ก็เพื่อหาเรื่องนางดั่งที่คาดเอาไว้
เพียงแต่มิรู้ว่าคนผู้นี้มาหาเรื่องกลั่นแกล้งนางต่อจากครั้งที่แล้ว หรือเพราะรู้ว่านางเป็นคนซัดเข็มเงินใส่ธนูจึงมาคิดบัญชีกันแน่
ดวงตาสีดำสนิทของอันหลิงเกอทอประกายขึ้น เก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้ภายใต้ท่าทางเรียบเฉยแต่ใบหน้ายังคงอ่อนโยนและว่าง่าย ริมฝีปากสีแดงยกยิ้มขึ้น รอยยิ้มที่เปล่งประกายราวกับดวงตะวันปรากฏขึ้นมา “ขอเพียงอันผิงกงจู่มิรังเกียจ หม่อมฉันก็ยินยอมไปชมดอกไม้ด้วยเพคะ”
“มิรังเกียจหรอก ข้าต้องการคนไปชมดอกเสาเย่าเป็นเพื่อนก็เท่านั้น” หลังกล่าวจบ มุมปากของอันผิงกงจู่ก็ยกขึ้นมา แต่กลัวไทเฮาจักสังเกตเห็นความผิดปกติจึงรีบเม้มริมฝีปากมิเผยพิรุธอันใดแม้แต่น้อย