ตอนที่ 276 หว่านล้อม
มิแน่ว่าฮ่องเต้อาจล่วงรู้ความคิดของอันผิงกงจู่มาตั้งนานแล้วก็ได้ เพียงแต่มิได้สืบสาวราวเรื่องก็เท่านั้น
เมื่อได้ยินอันหลิงเกอกล่าวเช่นนี้ อันผิงกงจู่ก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้น
นางมิได้กลัวความฉลาดและเล่ห์เหลี่ยมของอันหลิงเกอ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มีฐานะต่ำต้อยกว่า หากนางอยากรังแกอันหลิงเกอย่อมมีโอกาสให้ลงมือมากมาย
แต่นางกลัวว่าภาพลักษณ์ที่ลำบากสร้างมาหลายปีจักถูกทำลายเพราะอันหลิงเกอ สิ่งที่ลงทุนลงแรงมาทั้งหมดก็จักไร้ความหมายและมิแน่อาจถูกฟู่หวงเกลียดเลยก็ได้ มิหนำซ้ำอาจกลายเป็นองค์หญิงที่โดนฝ่าบาทละเลยและถูกผู้คนหัวเราะเยาะ
กล่าวไปกล่าวมาก็คืออันผิงกงจู่ชอบลู่จ้าน แต่ก็กลัวสูญเสียความโปรดปรานจากฮ่องเต้และฮองเฮาด้วยเหตุนี้เช่นกัน
เนื่องจากนางเติบโตมาอย่างสุขสบาย มีความสุขมากเท่าไรก็ยิ่งวิตกกังวลว่าจักสูญเสียไปมากเท่านั้นจนมิกล้านึกถึงยามที่ไร้ซึ่งความโปรดปรานจากฟู่หวงและหมู่โฮ่วว่าจักเป็นเช่นไร
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าควรทำเยี่ยงไร ? ”
อันผิงกงจู่ถามพร้อมเชิดคางขึ้น แม้ยังมีท่าทีหยิ่งผยองและดูถูกอันหลิงเกออยู่ แต่น้ำเสียงกลับอ่อนลงโดยมิรู้ตัว
ท่าทางเช่นนี้ทำให้อันหลิงเกอยกยิ้ม ในที่สุดคนผู้นี้ก็เริ่มหวั่นไหวและนางจักได้ดำเนินแผนการต่อไปได้เสียที
“เรื่องนี้ง่ายนิดเดียวเพคะ” อันหลิงเกอมองไปทางอันผิงกงจู่ “มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า เรียนผูกต้องเรียนแก้ มิทราบว่าพระองค์เคยได้ยินหรือไม่เพคะ ? ”
อันผิงกงจู่เบะปากออกมา รู้สึกเหมือนโดนเหยียดหยามเล็กน้อย “แน่นอนว่าข้าต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว”
นางเป็นถึงองค์หญิงย่อมเคยอ่านตำราสอนสตรี เคยเรียนปรัชญาขงจื๊อและได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง แม้มิกล้ากล่าวว่าเป็นผู้รอบรู้แต่ย่อมเคยได้ยินสุภาษิตโบราณนี้มาก่อนแน่นอน
อันหลิงเกอส่งเสียง อืม ออกมา “เช่นนั้นก็ดีเพคะ เรื่องนี้เกิดเพราะหม่อมฉันย่อมต้องจบลงที่หม่อมฉันด้วย”
เมื่ออันหลิงเกอกล่าวจบ อันผิงกงจู่ก็มองอย่างเคลือบแคลง “หรือว่าเจ้าคิดช่วยข้า ? ”
ครั้งก่อนนางต้องการทำให้อันหลิงเกออับอาย สุดท้ายเหมือนเป็นการทำร้ายตนเองเพราะลูกธนูนั้นเปลี่ยนทิศทางเอาเสียดื้อ ๆ นางมิเชื่อหรอกว่ามิใช่ฝีมือของอันหลิงเกอ !
แต่นางไร้หลักฐาน องค์รัชทายาทก็ตำหนิว่านางไร้มารยาท นางย่อมมิสามารถเอาเรื่องอันหลิงเกอต่อได้จึงเก็บความแค้นไว้แล้วปล่อยอีกฝ่ายออกจากวังไป
ดังนั้นวันนี้นางจึงเลือกเวลาไปตำหนักซือหนิงเพื่อหาทางพาตัวอันหลิงเกอออกมาได้อย่างสะดวกแล้วลงมือแก้แค้นให้สาสม
มีเรื่องขัดแย้งครั้งก่อนเยี่ยงนี้ อันหลิงเกอจักยอมช่วยเหลือนางได้เยี่ยงไร ?
ภายในใจของอันผิงกงจู่เกิดความระแวงสงสัย แต่อันหลิงเกอยังมีใบหน้าเรียบเฉยมิบ่งบอกอารมณ์เช่นเดิม
“หม่อมฉันและพระองค์มิได้สนิทสนมกัน แน่นอนว่าหม่อมฉันมิได้คิดช่วยหรอกเพคะ” คำเช่นนี้ช่างแตกต่างจากการหว่านล้อมของคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง “แต่หม่อมฉันทำเพื่อตัวเองต่างหากเพคะ”
เพื่อตัวเองน่ะหรือ ?
อันผิงกงจู่เลิกคิ้วขึ้น “ลองกล่าวมาสิ เจ้าคิดทำเช่นไร ? ”
นางอยากรู้นักว่าอันหลิงเกอจักทำสิ่งใด
อันหลิงเกอหรี่ตาลง ดวงตาสีดำสนิทถูกซ่อนอยู่ภายใต้ขนตาดำยาวนั้น
“เกรงว่าต้องลำบากกงจู่ให้แสร้งทำตัวเป็นมิตรที่ดีกับหม่อมฉันเสียแล้วเพคะ”
หากอันผิงกงจู่และอันหลิงเกอเป็นสหายที่ดีต่อกัน เช่นนั้นสิ่งที่นางทำก่อนหน้านี้ก็จักถูกมองว่าเป็นการหยั่งเชิงของพวกสตรีเพื่อทดสอบว่าอันหลิงเกอเป็นคนเช่นไร เหมาะสมที่จักเป็นหมอหญิงหรือไม่
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดูเหมือนว่านางมิได้ตั้งใจกลั่นแกล้งอันหลิงเกอ แต่เป็นการทำเพื่อฮ่องเต้
แต่หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้น…
อันผิงกงจู่กัดริมฝีปาก สุดท้ายก็ยอมเปิดปากออกมา “เช่นนั้นข้าต้องให้เจ้ามาร่วมแสดงด้วยหรือไม่ ? ”
ในเมื่อแสดงว่าทั้งสองคนเป็นมิตรต่อกันก็ย่อมต้องร่วมมือกันมิใช่หรือ
แต่อันหลิงเกอทำตัวน่ารำคาญมาก หากนางต้องร่วมมือกับคนผู้นี้คงน่าหงุดหงิดมิน้อย !
อันผิงกงจู่รู้สึกหงุดหงิดอยู่ภายในใจ แต่เห็นอันหลิงเกอพยักหน้ารับ “ถูกต้องแล้วเพคะ กงจู่ต้องให้หม่อมฉันร่วมมือด้วย แน่นอนว่าพระองค์มิทำก็ได้ เพราะอย่างไรเรื่องนี้ก็มิได้ส่งผลร้ายต่อหม่อมฉันอยู่แล้วเพคะ”
ใช่แล้ว อันหลิงเกอแม้เป็นหมอหญิง แต่นางสามารถมีฐานะขึ้นมาเยี่ยงวันนี้ก็เพราะสามารถหายาวิเศษมาเพื่อรักษาราษฎรได้ นั่นเป็นผลงานที่ปรากฏชัดแจ้งมิใช่สิ่งที่สั่นคลอนได้ด้วยความชอบหรือมิชอบส่วนตัว
ฮ่องเต้จักโปรดหรือมิโปรดนาง ย่อมมิส่งผลอันใดอยู่แล้ว
เมื่อเห็นอันหลิงเกอหมุนตัวเตรียมจากไป อันผิงกงจู่จึงรีบยื่นมือไปคว้าแขนเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้
“รอเดี๋ยว ข้าตกลงทำตามคำแนะนำของเจ้า”
อันผิงกงจู่มีใบหน้าที่ร้อนรนเพราะถูกอันหลิงเกอหว่านล้อมทำให้ลืมความตั้งใจเดิมไปนานแล้ว
เมื่ออันผิงกงจู่กล่าวเยี่ยงนี้ อันหลิงเกอก็มองคนที่โดนนางชักจูงไปทีละขั้น เวลานั้นเองที่นางหัวเราะออกมา “กงจู่ พระองค์ตกลงทำตามที่หม่อมฉันแนะนำ แต่หม่อมฉันยังมิได้ตอบตกลงเลยนะเพคะ”
“เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร นี่เจ้ากวนโมโหข้าหรือ ? ” อันผิงกงจู่ได้ฟังแล้วความโกรธก็ปะทุขึ้นทันที ใบหน้าที่งดงามราวกับมีเปลวไฟลุกโชน
ทว่าอันหลิงเกอกลับส่ายหน้าเล็กน้อย “หม่อมฉันจักแกล้งกงจู่ได้อย่างไรเพคะ ? เพียงแต่ถ้าให้หม่อมฉันร่วมมือเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของกงจู่ในสายตาของฝ่าบาท หม่อมฉันควรได้บางสิ่งเป็นการตอบแทนมิใช่หรือเพคะ ? ”
ที่แท้ก็ต้องการสิ่งตอบแทน
อันผิงกงจู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ใบหน้ากลับมามีท่าทีเย่อหยิ่งดังเดิม “เจ้าต้องการสิ่งใด ? ข้าจักให้คนไปหามาให้เดี๋ยวนี้”
“หม่อมฉันต้องการเพียงคำตอบจากกงจู่เท่านั้นเพคะ” อันหลิงเกอหยุดไปชั่วครู่แล้วเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีดำเป็นประกายคู่นั้นจ้องมองไปที่อันผิงกงจู่ “ผู้ใดคอยยุยงให้พระองค์มากลั่นแกล้งหม่อมฉันเพคะ ? ”
อันผิงกงจู่โดนนัยน์ตาสีดำสะกดไว้ รู้สึกราวกับมีแรงกดดันมหาศาล
สมองของนางขาวโพลน ยังมิทันได้คิดให้ถี่ถ้วน คำพูดก็หลุดออกจากปากเสียแล้ว “คือฉางอัน ! ”
ฉางอันกงจู่
อันหลิงเกอยกยิ้มมุมปาก นางคิดเอาไว้มิมีผิดว่าคนที่สามารถส่งคนไปยุแยงข้างกายอันผิงกงจู่ได้โดยมิโดนคนของมู่จวินฮานจับตัวต้องเป็นคนในวังหลวง
มีแค่คนในวังหลวงจึงสามารถเข้าใกล้อันผิงกงจู่ได้โดยง่าย แล้วก็มีแค่คนในวังหลวงเท่านั้นที่มีเวลามากพอในการเก็บกวาดโดยมิทิ้งร่องรอยเอาไว้
ท่าทางเข้าใจในทันทีของอันหลิงเกอทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าได้เผลอกล่าวในสิ่งที่มิควรออกไป จากนั้นนางก็ถลึงตาใส่อันหลิงเกอและแสดงท่าทีดุร้ายออกมา
ทว่าด้วยหน้าตาที่น่ารักสดใสจึงทำให้ท่าทางดุร้ายกลายเป็นเรื่องน่าขันราวกับเด็กน้อยที่ทำท่าอ้าปากแล้วกางกรงเล็บเสียมากกว่า “เมื่อครู่ข้าโกหกเจ้า ฉางอันมิได้เป็นคนกล่าวเรื่องพวกนี้”
เมื่อโดนอันหลิงเกอจับจ้องอยู่ อันผิงกงจู่จึงหลุดพูดความลับออกมา นางจึงอดรู้สึกอารมณ์เสียมิได้
ในตอนนั้นฉางอันกำชับหนักหนาว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับผู้อื่นเด็ดขาด แต่นางก็เผลอกล่าวออกไปอย่างง่ายดาย
อันหลิงเกอมองท่าทีอารมณ์เสียของอีกฝ่ายแล้วหัวเราะออกมาราวกับดอกไม้ที่ผลิบานกลางฤดูใบไม้ผลิจนทำให้อันผิงกงจู่ตาพร่าไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้างดงามเกินกว่าจักเป็นมนุษย์ธรรมดา “หม่อมฉันรู้อยู่แล้วว่าพระองค์ถูกหลอกใช้มาเพคะ”
“ฉางอันกงจู่บอกพระองค์ว่าแม่ทัพน้อยลู่ชื่นชอบหม่อมฉัน ยุยงพระองค์ให้มากลั่นแกล้งหม่อมฉันแล้วมิเคยสงสัยความคิดของฉางอันกงจู่บ้างหรือเพคะ ? เหตุใดนางจึงทำเช่นนี้ ? ”