ตอนที่ 279 ทำลายหลักฐาน
“เมื่อคุณหนูใหญ่อันอยากดู ข้าจักทำให้นางผิดหวังได้เยี่ยงไร ? ”
นกแก้วตัวนั้นถูกแม่นมไล่ไปนานแล้ว ตอนนี้ถ้าอยากตามหามันย่อมต้องถามนายของมันเสียก่อน
อันผิงกงจู่แม้ทำทีเป็นเอ่ยถาม แต่นางได้เตรียมแผนเอาไว้แล้ว หากฉางอันมิตกลงนางก็จักสั่งให้คนไปตามหานกแก้วตัวนั้นเอง และนางรู้ว่าอันหลิงเกอฉลาดเป็นกรดย่อมหาจุดอ่อนของฉางอันได้แน่นอน !
เมื่อถูกอันผิงกงจู่จับตามองเช่นนี้ รอยยิ้มอันไร้เดียงสาของฉางอันก็แทบฝืนยิ้มต่อไปมิไหว
นางกะพริบตาสองสามครั้งก็ตัดสินใจทันที “ในเมื่อคุณหนูใหญ่อันอยากเห็นนกแก้วของข้า แม่นมกุ้ยจงไปนำนกแก้วตัวนั้นมาที่นี่”
ฉางอันกงจู่มองอันหลิงเกอยิ้ม ๆ แต่ภายในแววตาฉายแววดำมืดบางอย่างออกมา “แต่ว่าคุณหนูใหญ่อัน ข้าขอเตือนเจ้าไว้สักหน่อย นกแก้วของข้าค่อนข้างดื้อรั้น จงระวังมันจิกเจ้าเอาได้”
อันหลิงเกอรู้สึกว่ารอยยิ้มของนางช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก เหมือนมีสิ่งใดแฝงอยู่ ทว่ามิได้คิดอันใดมากเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
แม่นมกุ้ยได้รับสัญญาณจากผู้เป็นนายจึงเดินเข้าไปภายในตำหนักทันที
ตั้งแต่ตอนที่แม่นมกุ้ยไล่นกแก้วตัวนั้นไปก็มีนางกำนัลไปนำตัวนกแก้วกลับมาแล้ว ตอนนี้เมื่อได้รับคำสั่งจากฉางอันกงจู่ นางจึงได้ปล่อยนกแก้วออกมาจากกรงอีกครั้ง
“คุณหนูใหญ่อันจงระวังเพราะนกแก้วตัวนี้จิกคนได้เก่งนัก” ฉางอันกงจู่รับนกแก้วมาจากนางกำนัลและนำมันมาไว้กลางฝ่ามือของตน จากนั้นก็ยกยิ้มแล้วส่งนกแก้วให้อันหลิงเกอ
อันหลิงเกอยกยิ้มเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้รู้ว่าจักระวัง จากนั้นก็ยื่นมือไปรับ
นางมิได้ใส่ใจคำเตือนของฉางอันกงจู่ คิดเพียงว่าที่อีกฝ่ายเตือนเพราะต้องการแกล้งให้นางขลาดกลัวเท่านั้น
นับแต่โบราณยังมิเคยได้ยินว่ามีนกแก้วตัวไหนจิกทึ้งคนมาก่อน
ขณะที่นางกำลังยื่นมือไปรับนกแก้วก็ได้ยินมันพูดขึ้นว่า “หญิงสารเลว” จากนั้นก็กระพือปีกเตรียมบินหนี
อันหลิงเกอเห็นครู่หนึ่งว่าที่ขาของนกแก้วผูกบางอย่างที่มีสีแดงเอาไว้ นางจึงตัดสินใจว่าต้องคว้าจับนกแก้วตัวนั้นทันที ฉางอันกงจู่ที่อยู่ด้านข้างกลับร้องเรียกอย่างตกใจ “นกแก้วของข้า ! ”
เสียงร้องตกใจของฉางอันดึงดูดสายตาของทุกคนไว้ อันผิงกงจู่ก็มองตามไปด้วย เห็นเพียงแค่นกแก้วที่แข็งแรงดีเมื่อสักครู่ ยามนี้กลับลงไปนอนกองที่พื้น บนตัวไร้บาดแผลอันใด มันนอนคอหักตายอยู่บนพื้น มองแล้วคล้ายกับโดนคนบีบคอจนตาย
“คุณหนูใหญ่อัน เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าเป็นหมอหญิงแล้วคงมีจิตใจเมตตา ดังนั้นจึงได้วางใจมอบนกแก้วให้เจ้าดู คาดมิถึงว่าเจ้ามีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตถึงขนาดฆ่านกตัวหนึ่งได้ลงคอ มันทำอันใดผิดอย่างนั้นหรือ ? ”
อันหลิงเกอมองมือของตนนิ่ง ๆ นางยังมิทันแตะโดนนกแก้วเลยด้วยซ้ำ แต่อยู่ ๆ มันก็ตกไปนอนนิ่งอยู่ที่พื้นแล้ว
ฉางอันกงจู่ร้องไห้ฟูมฟาย ใบหน้าที่ดูไร้เดียงสาอยู่แล้วเมื่อร้องไห้ก็ยิ่งทำให้ดูเป็นเด็กน้อยไปอีก “นี่เป็นนกที่ท่านพี่มอบให้ ข้ารักมันมาก”
นางร้องห่มร้องไห้น้ำตารินไหลมิหยุดราวกับถูกรังแกจนตาย
ส่วนอันผิงกงจู่ฟังการคร่ำครวญจนรู้สึกปวดศีรษะ แววตาฉายชัดว่ากำลังใกล้หมดความอดทนเต็มที
เดิมทีพวกนางมาเพื่อคิดบัญชีกับฉางอัน แต่ตอนนี้เสียอาจูที่เป็นพยานคนสำคัญไป มิหนำซ้ำนกแก้วประหลาดตัวนี้ก็มาตายอีก กลายเป็นว่านางและอันหลิงเกอร่วมมือกันรังแกฉางอันเสียได้
สถานการณ์ผลิกผันเช่นนี้ได้อย่างไร ?
เรื่องที่อันผิงกงจู่มิเข้าใจ อันหลิงเกอกลับสามารถเข้าใจได้ทันที
นางทิ้งมือที่ว่างเปล่าลงข้างตัวพลางมองนกแก้วที่ฉางอันโอบอุ้มไว้แนบอก
นกแก้วตัวนั้นถูกฉางอันโอบไว้จนแน่นราวกับเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียของรักไป
“กงจู่ เรื่องนี้หม่อมฉันผิดเอง…”
“เจ้าหุบปาก ! ” ฉางอันกงจู่ถลึงตาใส่อันหลิงเกอ ภายในดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ต่อให้ถลึงตาใส่ก็มิได้ทำให้นางดูร้ายกาจมากนักเพราะทำให้ดูน่าสงสารไปอีก
นางมิยอมให้อันหลิงเกอได้เปิดปากพูด เอาแต่อุ้มนกแก้วไว้และร้องไห้มิหยุด
หากว่าอันหลิงเกอมิกล่าวอันใดออกไปแล้วปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป ความผิดในข้อหาที่เป็นคนใจคอโหดเหี้ยมกล้าบีบคอนกแก้วจนตายก็จักตกมาอยู่ที่นางจริง ๆ และอยากพิสูจน์ความบริสุทธิ์ก็ย่อมหมดหนทางทำได้แล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้นอันหลิงเกอจึงมิสนใจชื่อเสียง แต่จักมิยอมถูกคนใส่ร้ายโดยง่ายเหมือนกัน
นางเม้มริมฝีปากแน่น ภายในแววตาสีดำที่เปล่งประกายมีคลื่นบางอย่างแฝงอยู่ “ฉางอันกงจู่ หม่อมฉันจักบอกว่านกแก้วตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่เพคะ หากพระองค์ยังอุ้มมันมิปล่อยเช่นนี้ก็เกรงว่ามันต้องตายจริง ๆ ”
นกแก้วยังมิตายหรือ ?
น้ำตาที่กำลังไหลรินของฉางอันหยุดลงทันที อันหลิงเกอจึงอาศัยจังหวะนั้นย่อตัวลงแล้วนำนกแก้วออกจากการกอบกุมของอีกฝ่าย
“กงจู่ดูสิเพคะ นกแก้วตัวนี้ยังขยับได้” อันหลิงเกอจับนกแก้วขึ้นมาด้วยมือเพียงข้างเดียวเพื่อให้มันได้ขยับต่อหน้าฉางอัน
นกแก้วตัวนั้นมิได้ส่งเสียงออกมา แต่ขาทั้งสองข้างยังขยับได้ทำให้หลายคนตกตะลึงไปตามตามกัน
สำหรับฉางอันแล้วช่างน่าตกใจเป็นอย่างมาก
เพราะนางสั่งให้แม่นมกุ้ยวางยานกแก้วตัวนี้ไปแล้วแท้ ๆ เมื่อครู่เห็นอยู่ว่ามันตาย แต่เหตุใดยังขยับได้อีก ?
หากปล่อยให้นกแก้วกล่าวอันใดออกมา…
เมื่อเป็นเช่นนี้ฉางอันกงจู่ก็หันไปมองทางแม่นมกุ้ยแล้วได้ยินอันหลิงเกอกล่าวว่า “กงจู่ โปรดรอหม่อมฉันช่วยชีวิตนกแก้วให้ฟื้นขึ้นมาเสียก่อน มิแน่เราอาจรู้ความจริงเรื่องการตายของอาจูเพคะ ”
เสียงของอันหลิงเกอสดใสกังวาน แต่เมื่อฉางอันได้ฟังกลับรู้สึกว่ามันช่างเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
อันหลิงเกอกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าต้องรู้อันใดบางอย่าง !
เมื่อความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมา ฉางอันกงจู่ก็กัดริมฝีปากเอาไว้พลางจ้องแม่นมกุ้ยด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย ส่วนแม่นมกุ้ยที่อยู่อีกด้านเห็นดังนั้นจึงพุ่งตัวไปด้านหน้า ทำเป็นชนอันหลิงเกอเข้าโดยบังเอิญ
“ตายแล้ว ผู้ใดผลักข้าจากด้านหลัง ? ” อันหลิงเกอยังมิทันกล่าวอันใด แม่นมกุ้ยก็ชิงเอื้อมมือไปจับที่เอวตนเองแล้วร้องตะโกนออกมาเสียก่อน สายตาของแม่นมเหลือบมองนกแก้วที่ร่วงตกไปอยู่บนพื้น จากนั้นจึงทำทีเดินไปข้างหน้าราวกับมิได้ตั้งใจจนเหยียบนกแก้วพอดี
อันหลิงเกอเห็นเช่นนั้นแววตาก็สั่นไหว รีบเลียนแบบท่าทางของฉางอันเมื่อครู่แล้วร้องออกมาอย่างตกใจ “แม่นมกุ้ย รีบยกเท้าของเจ้าขึ้นเดี๋ยวนี้ เจ้าเหยียบนกแก้วของฉางอันกงจู่อยู่นะ ! ”
แม่นมกุ้ยจงใจหยุดเท้าไว้บนตัวนกแก้วอีกครู่ใหญ่ จากนั้นจึงยกขาขึ้นเมื่อแน่ใจแล้วว่านกแก้วที่อยู่ใต้เท้าจักมิฟื้นขึ้นมาอีก นางปรับสีหน้าราวกับตกใจมาก “กงจู่เพคะ หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ มีคนผลักหม่อมฉันจริง ๆ ทำให้ยืนมิมั่นคงจนเกิดเรื่องเช่นนี้เพคะ”
พลันดวงตาของฉางอันก็โศกเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง แต่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ท่าทางราวกับจักร้องไห้ก็ร้องมิออกมา “แม่นมกุ้ย เจ้าเป็นคนเก่าแก่ข้างกายข้า ข้ารู้ว่าเจ้ามิได้ตั้งใจ เพียงแต่นกแก้วที่น่าสงสารตัวนี้คงไร้วาสนาต่อข้าแล้วจริง ๆ ”
เดิมทีนางต้องการอาศัยนกตัวนี้ลากอันหลิงเกอให้มีความผิดไปด้วย แต่นกแก้วกลับมิตายจึงทำให้นางใส่ร้ายอันหลิงเกอมิสำเร็จและต้องรีบเปลี่ยนแผนก่อนมีคนจับได้
จากนั้นฉางอันกงจู่ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา สักพักก็สูดลมหายใจเข้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงต่ำ “พวกเจ้านำนกแก้วตัวนี้ไปฝังเถิด”