ตอนที่ 282 คนละเรื่องเดียวกัน
“ทูลฟู่หวง ลูกมิทราบว่านางกำนัลคนนั้นฆ่าตัวตายด้วยสาเหตุใดเพคะ เมื่อมิกี่วันก่อนนางไปกล่าวให้ร้ายคุณหนูใหญ่อันต่อหน้าพี่หญิงอันผิง คุณหนูใหญ่อันจึงพาพี่หญิงอันผิงมาตามตัวนางกำนัลคนนั้น แต่เมื่อเห็นว่านางตายไปแล้ว ทั้งสองกลับคิดว่าเป็นฝีมือของลูกเพคะ”
นางกล่าวออกมาดูเสียอกเสียใจเป็นอย่างมาก จากเดิมก็เสแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาอยู่แล้ว ยิ่งมีท่าทีเช่นนี้ก็ทำให้นางดูอ่อนแอและบอบบางไปอีก
ส่วนลู่จ้านในวันนี้แตกต่างจากวันวาน เขามิได้สวมชุดคลุมสีดำอย่างเช่นปกติเนื่องด้วยตอนนี้เขาได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการราชองครักษ์ในวังหลวงจึงสวมชุดที่เป็นทางการทว่าดูเรียบง่าย ช่วงบ่าและอกมีเกราะสีเงินหุ้มอยู่ ด้านล่างเป็นรองเท้าขุนนางสีดำปักลาย แค่มองปราดเดียวก็รู้สึกถึงความหล่อเหลาและสง่างามได้อย่างชัดเจน
อันผิงกงจู่เดิมทีก็รู้สึกชอบพอในตัวลู่จ้านอยู่แล้ว เวลานี้ในสายตาของนางยิ่งมีแต่ลู่จ้านเพียงคนเดียวเท่านั้น ไร้จิตใจไปสนเรื่องที่ฉางอันกงจู่กำลังกล่าวบิดเบือนความจริง
แววตาที่จับจ้องลู่จ้านช่างเร่าร้อนราวกับเปลวไฟ ลู่จ้านที่กำลังรู้สึกเหมือนมีคนจับจ้องอยู่จึงหันไปมองก็เห็นอันผิงกงจู่กำลังบิดชายเสื้อของนางด้วยความเขินอาย ใบหน้าที่ร่าเริงสดใสค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้น ทำให้คนที่พบเห็นอดชื่นชมถึงความน่ารักและมีเสน่ห์นี้มิได้
แต่ลู่จ้านก็ทำแค่เพียงมองผ่านอันผิงกงจู่ไป แววตาหาได้สนใจนางแม้แต่น้อย
เขากลับมองไปยังอันหลิงเกอที่ยืนอยู่ข้างกายอันผิงกงจู่ จากนั้นท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ลู่จ้านส่งยิ้มสดใสให้อันหลิงเกอเพื่อเป็นการทักทาย อันหลิงเกอจึงพยักหน้าเบา ๆ เป็นการตอบรับ
การทักทายนี้ตกอยู่ในสายตาของอันผิงตลอดเวลาและนางกลับตีความเป็นอย่างอื่นแทน
ทำให้นางนึกถึงเรื่องที่อาจูบอกว่าลู่จ้านชอบอันหลิงเกอ อันผิงพลันรู้สึกคล้ายมีกองไฟสุมอยู่ในทรวงและแผดเผาสติสัมปชัญญะของนางจนสิ้น
ใบหน้าของนางปรากฏความชิงชังขึ้นมา แววตามีแสงดำมืดพาดผ่าน
ในเมื่อฉางอันวางแผนให้นางกลั่นแกล้งอันหลิงเกอได้ แล้วเหตุใดนางจักทำให้ฉางอันกับอันหลิงเกอหันมาสู้กันมิได้ จากนั้นก็รอจนพวกนางสองคนพ่ายแพ้ ส่วนตนก็แค่เก็บผลประโยชน์ไปเพียงคนเดียว
เมื่อคิดได้เช่นนั้นมุมปากของนางก็ประดับด้วยรอยยิ้มร้ายกาจและพอดีกับที่ฮ่องเต้หันมาเห็นเข้าพอดี “อันผิง ที่ฉางอันพูดเป็นความจริงหรือไม่ ? ”
ในบรรดาองค์หญิงทั้งหมด ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานอันผิงที่สุด หลังสอบถามฉางอันแล้วก็ต้องสอบถามอันผิงอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าภายในหทัยของฮ่องเต้ลำเอียงไปทางอันผิงมากกว่า
ทำให้ฉางอันกงจู่แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง แต่ภายนอกก็ยังต้องเก็บอาการและเสแสร้งสวมบทเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาเอาไว้ มิกล้าเผยพิรุธต่อหน้าฮ่องเต้
อันผิงกงจู่แม้เป็นธิดาที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน แต่ขณะนี้ก็มิได้รู้สึกดีมากนัก เมื่อนึกถึงรอยยิ้มร้ายกาจที่แสดงออกมาเมื่อครู่ของตนแล้ว มิรู้ว่าฟู่หวงทรงเห็นหรือไม่ หากมิเห็นย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่หากเห็นเข้าแล้วเกิดความสงสัยขึ้นมา ความพยายามของนางที่ผ่านมาหลายปีกว่าจักได้เป็นที่โปรดปรานของพระองค์ มิแน่ว่านับจากนี้อาจหมดสิ้นแล้วก็ได้
มิได้ เรื่องวันนี้นางต้องกำจัดฉางอันเสียก่อนจึงสามารถปกป้องตำแหน่งของตนภายในวังหลวงแห่งนี้ไว้ได้
ส่วนอันหลิงเกอที่กล้ายั่วยวนลู่จ้าน นางก็มิมีวันปล่อยไปเด็ดขาด !
ทันใดนั้นความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวของอันผิงกงจู่ นางจึงตัดสินใจเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรกับฮ่องเต้ เผยใบหน้าที่สดใสน่ารักแฝงไปด้วยเสน่ห์
“ทูลฟู่หวง นางกำนัลในตำหนักของฉางอันได้พูดให้ร้ายคุณหนูใหญ่อันกับลูกจริงเพคะ ด้วยเหตุนี้ลูกจึงเข้าใจนางผิดไป แต่หลังจากถูกองค์รัชทายาทตำหนิไปครั้งก่อน ลูกก็ได้ขอโทษคุณหนูใหญ่อันเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดแล้วเพคะ”
เมื่อนางเอ่ยถึงองค์รัชทายาท ฮ่องเต้ก็ตระหนักได้ทันทีว่าครั้งก่อนที่อันผิงแกล้งป่วยแล้วเชิญอันหลิงเกอเข้าวังและบอกว่าต้องการทดสอบฝีมือของอันหลิงเกอ แท้จริงแค่ต้องการหาข้ออ้างเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าวังและกลั่นแกล้งได้อย่างสะดวก
ฮ่องเต้ที่ได้ยินเรื่องนี้จากองค์รัชทายาทมาแล้ว ตอนนั้นพระองค์รู้สึกว่าพระธิดาที่น่ารักมิได้สดใสร่าเริงและมีเมตตาเยี่ยงในอดีต แต่พระองค์ก็มิได้ตรัสสิ่งใดออกมา แม้ภายในหทัยราวกับมีเข็มคอยทิ่มแทงอยู่
ทว่าตอนนี้ได้ยินอันผิงกล่าวออกมาอย่างเปิดเผย ในสายพระเนตรของฝ่าบาทกลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น
อันผิงยังคงเป็นอันผิงที่สดใสร่าเริงและมีเมตตาเหมือนเดิม
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ดูดีขึ้น จากนั้นจึงตรัสถามอีก “แล้ววันนี้เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ ? ”
เดิมทีแล้วในหทัยคิดว่าการตายของนางกำนัลเล็ก ๆ คนหนึ่งเป็นเรื่องธรรมดา หากเรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องกับองค์หญิงถึงสองพระองค์จนถึงขั้นให้คนไปตามลู่จ้านมา ฮ่องเต้ก็คงมิตามลู่จ้านมาที่นี่เช่นนี้
อันผิงกงจู่หลุบตาลง มองไปสองฝั่งซ้ายขวาตรงจุดที่อันหลิงเกอและฉางอันยืนอยู่ด้วยท่าทีลังเล
ท่าทีที่แปลกไปจากยามปกติของนางทำให้หางตาของอันหลิงเกอกระตุกขึ้น รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกมิถูก จากนั้นก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของอันผิงกงจู่ “ทูลฟู่หวง ที่จริงแล้วก็มิได้มีอันใดมากเพคะ เดิมทีเรื่องที่ลูกและคุณหนูใหญ่อันเข้าใจผิดก็ได้รับการแก้ไขแล้ว แต่คุณหนูใหญ่อันยืนกรานที่จักหาตัวนางกำนัลต้นเรื่องให้ได้ แต่นางกำนัลคนนั้นเป็นคนของฉางอัน ลูกฝืนนางมิไหวจึงยอมพามาที่นี่ แต่ผู้ใดจักคาดคิดว่านางกำนัลคนนั้นฆ่าตัวตายไปเสียแล้วเพคะ”
คำกล่าวนี้ของนางเท่ากับปัดความผิดออกจากตัวจนหมดสิ้น ต่อให้ก่อนหน้านี้นางใช้กลอุบายใดนำตัวอันหลิงเกอออกมาจากตำหนักซือหนิงของไทเฮาเพื่อกลั่นแกล้งก็จักมิมีผู้ใดรับรู้
มิหนำซ้ำยังทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเพียงความขัดแย้งระหว่างอันหลิงเกอและฉางอันกงจู่ ส่วนนางก็เป็นเพียงคนกลางที่ถูกบีบให้ลำบากใจเท่านั้น
ทั้งนี้อันหลิงเกอยังถูกมองว่าเป็นคนมิยอมใคร แม้แต่องค์หญิงก็มิไว้หน้า กล้าบังคับให้ฉางอันกงจู่อธิบายเรื่องต่าง ๆ ออกมา แล้วยังบีบให้นางกำนัลของฉางอันกงจู่ฆ่าตัวตาย เท่านี้ก็พอจักทำให้เห็นแล้วว่าอันหลิงเกอเป็นคนที่ยากรับมือ
ขณะเดียวกันฉางอันกงจู่ก็ยังมีความผิดอยู่ นางกำนัลในตำหนักของนางไปพูดจาใส่ร้ายผู้อื่นต่อหน้าอันผิงกงจู่ ย่อมต้องได้รับคำสั่งมาจากเจ้านายอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นนางกำนัลเล็ก ๆ คนหนึ่งจักกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ?
หากมิใช่เพราะได้รับคำสั่งจากฉางอันกงจู่
เมื่ออันผิงกงจู่กล่าวโทษเช่นนี้ ฉางอันก็ยิ่งขบกรามแน่น อยากกระโดดเข้าไปกัดอีกฝ่ายให้จมเขี้ยวแล้วฉีกเนื้อออกเป็นชิ้นถึงจักสาสม
อันหลิงเกอก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยในตอนแรก ทว่าเพียงครู่เดียวก็กลับมามีท่าทีอ่อนโยนและสงบนิ่งเช่นเดิม
“ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้หม่อมฉันเป็นคนผิดเองเพคะ”
มิรอให้ฝ่าบาทได้ตำหนิ อันหลิงเกอก็คุกเข่าลงทันที แม้นางก้มหน้าลงแต่แผ่นหลังยังคงตั้งตรงราวกับต้นไผ่ที่มิมีทางโค้งงอ แสดงถึงความซื่อตรงของตนออกมา
“หม่อมฉันควรอยู่แต่ในตำหนักซือหนิง หากหม่อมฉันมิตามอันผิงกงจู่ออกจากตำหนักไทเฮาก็คงมิเกิดเรื่องราวมากมายเช่นนี้เพคะ” นางหลุบตามองพื้น ใบหน้าฉายแววแห่งความเสียใจและสำนึกผิด “อีกทั้งนางกำนัลคนนั้นตายเพราะฆ่าตัวตายหรือเพราะอันใดก็ล้วนเป็นเพราะหม่อมฉัน นางจึงต้องจบชีวิตลงเช่นนี้เพคะ”
อันหลิงเกอกล่าวราวกับตำหนิตนเอง แต่ถือเป็นการตอบโต้อันผิงกงจู่และฉางอันกงจู่ได้อย่างดี
ด้านหนึ่งนางบอกว่าเดิมทีอยู่ที่ตำหนักซือหนิง แต่เป็นเพราะอันผิงกงจู่บังคับให้นางออกมา ทำให้ตอนนี้อันผิงกงจู่มีแผนการใดย่อมอยู่ที่มุมมองของแต่ละคนแล้ว อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็เป็นคนชอบหวาดระแวง ดังนั้นจักสงสัยอันผิงกงจู่หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าในพระหทัยให้ความสำคัญต่ออีกฝ่ายมากเพียงใด