ตอนที่ 289 ผ้าปัก
เท่ากับว่ามู่จวินฮานคืนพระนัดดาของฮ่องเต้น่ะหรือ ?
ทันใดนั้นความตกตะลึงก็ปรากฏขึ้นในแววตาของอันหลิงเกอ เรื่องนี้ช่างน่าขันเสียจริง
ฮ่องเต้คิดแต่จักควบคุมเหล่าอ๋องที่มีอำนาจ แม้แต่พระนัดดาก็ยังมิเชื่อใจ มิรู้ว่านี่เรียกว่าเรื่องน่าเศร้าได้หรือไม่
ฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบมองท่าทีของอันหลิงเกอ แววตาของนางหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายตักเตือนอยู่ในที “ตอนนี้พวกเราและจวนอ๋องมู่มิได้เกี่ยวข้องกันแล้ว เจ้าอย่าทำเรื่องอันใดที่มิควรทำเด็ดขาด”
ในขณะนี้จวนโหวกำลังเรืองอำนาจ เป็นโอกาสดีที่จักทำให้ตระกูลกลับมาเฟื่องฟูอีกครา แต่หากไปมีเรื่องพัวพันกับจวนอ๋องมู่จนฮ่องเต้ทรงหวาดระแวงขึ้นมา สิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็เท่ากับสูญเปล่า
เมื่อได้ฟังคำตักเตือนของฮูหยินผู้เฒ่า อันหลิงเกอเพียงรับปากออกไปเท่านั้น หาได้นำคำของฮูหยินผู้เฒ่ามาใส่ใจแต่อย่างใด
เพราะมู่จวินฮานช่วยเหลือนางหลายต่อหลายครั้ง แม้แต่องครักษ์หญิงที่มีเพียงน้อยนิดก็ยังส่งมาอยู่ข้างกายให้คอยคุ้มครองนาง
แล้วนางจักทนมองมู่หวางเฟยโดนขังอยู่ในวังได้เยี่ยงไร ?
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน ทันใดนั้นก็เกิดเสียงของม่านลูกปัดดังขึ้น
จากนั้นหลี่ซื่อก็ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสอง ตามด้วยอันหลิงอีที่เดินเข้ามาอีกคน
“ไอหยา เกอเอ๋อก็อยู่ด้วยหรือนี่”
หลี่ซื่อกล่าวออกมาราวกับมิคาดคิดว่าอันหลิงเกออยู่ที่นี่ด้วย ท่าทีประหลาดใจมิได้แสดงพิรุธอันใดแม้แต่น้อย
ทว่าหากที่เรือนมิได้มีคนของหลี่ซื่อแฝงตัวอยู่มากมายเช่นนั้น บางทีอันหลิงเกออาจเชื่อการแสดงของอีกฝ่ายขึ้นมาก็เป็นได้
ฮูหยินผู้เฒ่าพอเห็นหลี่ซื่อสองแม่ลูกก้าวเข้ามายังเรือนของตน ใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มก็จางลงทันที
เรื่องที่นางมิชอบสองแม่ลูกคู่นี้คนทั้งจวนต่างก็รู้ดี
ซึ่งหลี่ซื่อก็ชิงชังฮูหยินผู้เฒ่ามาก แต่นางเป็นเพียงแค่อนุภรรยาจักให้แสดงท่าทีต่อหน้าผู้คนว่าตนเกลียดชังฮูหยินผู้เฒ่าได้เยี่ยงไร ?
มิเพียงเก็บความชิงชังที่มีต่อฮูหยินผู้เฒ่าไว้จนมิดแล้ว นางยังแสร้งทำเป็นยิ้มอย่างอ่อนโยน ขณะนำของสิ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่า
“นี่คือผ้าปักที่อีเอ๋อตั้งใจทำมาหลายวันแล้ว แต่ข้ามิค่อยเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้จึงอยากให้ท่านแม่ช่วยชี้แนะว่าอีเอ๋อควรปรับปรุงจุดไหนบ้างเจ้าค่ะ”
สิ่งที่หลี่ซื่อมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าคือผ้าปักลายปลาหลีฮื้อ ( ปลาคาร์พ ) กลายร่างเป็นมังกร
ส่วนอันหลิงเกอเห็นผ้าปักลายนั้นก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที
บนผ้าไหมสีขาวมีรูปปลาหลีฮื้อสีแดงตัวใหญ่ตัวหนึ่งกระโดดขึ้นจากผิวน้ำ ดูมีชีวิตชีวาโบกสะบัดน้ำออก หน้าผาด้านหน้ามีน้ำตกไหลลงมากระทบหินก้อนใหญ่ทำให้คนที่มองต่างรู้สึกได้ถึงความรุนแรงของสายน้ำกระแทกลงมาได้เป็นอย่างดี
แต่ที่ทำให้คนตกตะลึงที่สุดคือปลาหลีฮื้อตัวนั้น หางของปลาซ้อนกันเป็นชั้นบาง ๆ ส่วนครีบโดนปกคลุมด้วยเกล็ดชิ้นขนาดเล็ก ดวงตาเปล่งประกายน่าเกรงขามแสดงให้เห็นว่าปลาหลีฮื้อตัวนี้กำลังกลายร่างเป็นมังกร !
อันหลิงอีมีฝีมือด้านการเย็บปักดีถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร ?
มิเพียงแต่อันหลิงเกอเท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าที่ชำนาญการเย็บปักถักร้อยเมื่อเห็นผ้าปักลายผืนนี้ยังอดตกตะลึงมิได้
“เจ้าเป็นคนปักเองหรือ ? ”
แววตาเคลือบแคลงของฮูหยินผู้เฒ่ามองไปยังอันหลิงอี แม้ความรู้สึกที่มีต่อหลี่ซื่อยังมิเปลี่ยนไป แต่เพราะผ้าปักลายผืนนี้ทำให้นางมิได้มองสองแม่ลูกด้วยใบหน้าบึ้งตึงอย่างเคย
อันหลิงอีที่ถูกฮูหยินผู้เฒ่ามองด้วยสายตาเคลือบแคลง ใบหน้าที่มีเสน่ห์กลับไร้ท่าทีร้อนรน
นางบีบมือเข้าหากันคล้ายตื่นเต้นเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้ามองฮูหยินผู้เฒ่า “เรียนท่านย่า หลานปักตรงไหนผิดไปหรือเจ้าคะ ? ช่างปักผ้าที่ร้านเฉิงอีฟางสอนให้หลานปักเช่นนี้เจ้าค่ะ”
เมื่ออันหลิงอีอ้างถึงชื่อของช่างปักที่ร้านเฉิงอีฟางขึ้นมา แววตาเคลือบแคลงของฮูหยินผู้เฒ่าก็จางลงทันที
ฝีมือการเย็บปักผ้าดีที่สุดหากมินับในวังหลวงแล้ว ช่างปักที่ร้านเฉิงอีฟางนับว่ามิเป็นสองรองใคร
หากหลี่ซื่อเชิญช่างปักจากเฉิงอีฟางมาสอนงานเย็บปักให้อันหลิงอีก็มิใช่เรื่องแปลกอันใดที่ฝีมือของนางจักพัฒนาอย่างมากในเวลาอันรวดเร็ว
ฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อคิดแล้วก็เชื่อตามคำกล่าวอ้างของอันหลิงอีจนเผยรอยยิ้มที่ยากจักได้รับออกมา “มิมีหรอก เจ้าทำได้ดีมาก ฝีมือการเย็บปักนี้แทบเทียบเคียงกับฝีมือของเฉว่เอ๋อได้แล้ว”
แต่เดิมฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนคอยสั่งสอนอันหลิงเฉว่ด้วยตนเอง เดิมทีคิดว่าอันหลิงเฉว่จักกลายเป็นสตรีที่มีความสามารถจนเลื่องลือได้ ผู้ใดจักคิดว่าเมื่อมาถึงเมืองหลวงนิสัยของนางจักเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้
หวังว่าการกักบริเวณครั้งนี้คงทำให้นางกลับตัวกลับใจได้เสียที
หลังจากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ละความคิดนั้นออกไปแล้วหันมาสนใจผ้าปักลายในมืออีกครั้ง จากนั้นก็วางไว้ข้างกาย แต่เมื่อเห็นอันหลิงเกอมองด้วยความสนใจจึงอดถามขึ้นมามิได้ “เกอเอ๋อ เจ้าเองก็คิดว่าผ้าผืนนี้ปักได้ดีใช่หรือไม่ ? ”
เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่ามิเคยเห็นฝีมือเย็บปักถักร้อยของอันหลิงเกอมาก่อนจึงมิรู้ว่าเก่งกาจเหมือนฝีมือทางการแพทย์หรือไม่
เมื่อโดนถาม อันหลิงเกอก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย แพขนตาดำยาวบดบังแววตาของนางเอาไว้ “เรียนท่านย่า หลานรู้เพียงวิชาดนตรี หมากล้อม ตำราและโคลงกลอนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องพวกนี้หลานมิถนัดหรอกเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าร้อง “อ้อ” ขึ้นมาเบา ๆ ต่อความถ่อมตนของอันหลิงเกอ การดีดฉินของอันหลิงเกอที่งานเลี้ยงในวังครั้งนั้นเป็นที่ประทับใจของทุกคนแล้วจักเรียกว่ารู้เพียงเล็กน้อยได้เยี่ยงไร ?
ฮูหยินผู้เฒ่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงผลักผ้าปักลายไปทางอันหลิงเกอ “เจ้าก็มาดูผ้าปักลายนี้ด้วยกันสิ ดูว่ามีจุดบกพร่องตรงไหนบ้าง”
ในขณะเดียวกันอันหลิงอีก็ประสานมือเข้าหากันจนแน่น ใบหน้าแฝงด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
คนอื่นอาจคิดว่านางกำลังกังวลว่าผ้าปักลายมีจุดบกพร่องจึงมิได้ใส่ใจท่าทีของนางสักเท่าไร
ซึ่งอันหลิงเกอก็มิได้สังเกตเห็นความยินดีที่ฉายอยู่ในแววตาของอันหลิงอีเช่นกัน ขณะที่นางกำลังยื่นมือไปรับผ้าผืนนั้นก็ถูกชางเยว่ที่อยู่ข้างกายชนจนผ้าที่เพิ่งหยิบขึ้นมาตกพื้นทันที
“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู เมื่อครู่บ่าวยืนมิมั่นคงจึงชนคุณหนูและทำให้ผ้าในมือหล่นเช่นนี้”
ชางเยว่คุกเข่าลงพื้นทันที ใบหน้าฉายแววรู้สึกผิดและตำหนิตนเองในคราวเดียวกัน ราวกับว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นเพียงอุบัติเหตุ
“ช่างเถิด เจ้าลุกขึ้นมาและขอโทษน้องหญิงสามด้วย” ดวงตาของอันหลิงเกอเป็นประกายแล้วสั่งให้ชางเยว่ลุกขึ้น
เมื่อเห็นว่าแผนของตนโดนสาวใช้คนหนึ่งเข้ามาขัดขวาง สีหน้าของอันหลิงอีจึงเปลี่ยนไปทันที ใบหน้าที่งดงามเต็มไปด้วยความโกรธ
“ประมาทเสียจริง เจ้ากล้ามาดูแลข้างกายพี่หญิงใหญ่ได้เยี่ยงไร ? ” อันหลิงอีถลึงตามองชางเยว่ด้วยความโมโหแล้วตำหนิออกมาด้วยเสียงดังลั่นจนหลี่ซื่อต้องดึงนางให้หยุดความเกรี้ยวกราดลง
“ตอนนี้อยู่ต่อหน้าท่านย่าของเจ้า” หลี่ซื่อกระซิบเตือนอันหลิงอีเบา ๆ
“อีกอย่างสาวใช้คนนี้ก็มิได้ตั้งใจ เจ้าอย่าได้หงุดหงิดนักเลย”
อันหลิงอีที่ทำหน้าบึ้งตึงมีท่าทางเศร้าสร้อยทันที “แต่นางทำผ้าลายปักของลูกเปื้อนเจ้าคะ ลูกอุตส่าห์นั่งทำตั้งนาน”
เสียงของนางคล้ายกำลังร้องไห้ ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วแต่ยังมิทันกล่าวอันใดออกมา อันหลิงเกอก็เอ่ยเสียก่อน “ผ้าผืนนี้เสียหายแล้ว เช่นนั้นข้าจักปักให้เจ้าใหม่ดีหรือไม่ ? ”
“มิต้อง” อันหลิงอีตอบด้วยความโมโห “พี่หญิงใหญ่ให้คนนำผ้าปักลายนี้ไปซักจนสะอาดก็พอเจ้าค่ะ”
เรื่องนี้ช่างง่ายดายยิ่งนัก อันหลิงเกอกำลังยื่นมือไปเก็บผ้าที่อยู่บนพื้นขึ้นมา แต่หางตาพลันเหลือบไปเห็นรอยยิ้มที่อยู่มุมปากของหลี่ซื่อพอดี