ตอนที่ 290 เลือดไหล
มือของอันหลิงเกอที่กำลังจักหยิบผ้าปักลายก็ชะงักไปทันที ชางเยว่เห็นดังนั้นจึงรีบคุกเข่าลง “คุณหนูเจ้าคะ เรื่องนี้ให้บ่าวจัดการเองดีกว่าเจ้าค่ะ”
ชางเยว่รีบร้อนช่วยเก็บผ้าผืนนั้นขึ้นมาจนทำให้ชนเข้ากับอันหลิงอีที่อยู่ด้านข้าง
“ว้าย ! ”
ทำให้อันหลิงอีร้องเสียงหลงขึ้นมาและร่างของนางก็โอนเอนจนล้มลงกับพื้น
ซึ่งตรงที่นางล้มลงไปนั้นเป็นตำแหน่งเดียวกับที่ผ้าปักลายตกอยู่พอดี
พลันทำให้สีหน้าของอันหลิงอีซีดเผือด แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว มือทั้งสองข้างปัดป่ายไปมาในอากาศเหมือนต้องการไขว่คว้าอันใดบางอย่างไว้เพื่อมิให้ตนล้มลงไป
และตอนนี้ใบหน้าของหลี่ซื่อก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน ผ้าปักลายผืนนั้นพวกนางได้ทำบางอย่างกับมันเอาไว้ หากอีเอ๋อล้มไปทับ…
ทว่านางมิมีเวลามาคิดให้มากความจึงรีบยื่นมือไปคว้าอันหลิงอีไว้
ทางด้านอันหลิงอีที่ตื่นตกใจเกินไปจึงปัดมือของหลี่ซื่อออกโดยมิได้ตั้งใจแล้วไปคว้าเอาชายกระโปรงของหลี่ซื่อแทน
นางทำราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายที่สามารถช่วยชีวิตตนไว้ได้จึงใช้แรงทั้งหมดดึงชายกระโปรงเพื่อพยุงตนขึ้นมา แต่การที่นางใช้แรงมากเกินไปทำให้หลี่ซื่อที่กำลังโน้มตัวไปประคองเมื่อถูกดึงอย่างแรงก็ล้มไปด้วยอีกคน
หลี่ซื่อมิเพียงมิสามารถดึงบุตรสาวให้ลุกขึ้นมาได้ แต่ตนเองก็ถูกดึงจนล้มไปกองที่พื้นด้วย ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนทุกคนในที่นั้นทำได้เพียงมองสองแม่ลูกล้มลงกับพื้น
“รีบประคองพวกนางขึ้นมาเร็ว ! ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้สติก็รีบสั่งสาวใช้ที่อยู่ด้านข้างทันที
สาวใช้ที่กำลังตกตะลึงเมื่อได้ยินคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่าจึงลนลานเข้าไปประคองสองแม่ลูกให้ลุกขึ้น
ตอนนี้มิมีผู้ใดสนใจผ้าปักลายที่ตกอยู่บนพื้นอีกแล้ว เพียงแค่ผ้าปักลายผืนเดียวจักสำคัญเท่าเจ้านายถึงสองคนได้เยี่ยงไร ?
ชางเยว่อาศัยช่วงที่ทุกคนกำลังชุลมุน ลากเท้าขยับมาทางอันหลิงเกอ อันหลิงเกอเห็นท่าทางของอีกฝ่ายแปลกไปจึงมองตามสายตาของนาง
เห็นเพียงผ้าปักลายที่ตกอยู่บนพื้นและบัดนี้ถูกเหล่าสาวใช้เหยียบย่ำจนเต็มไปด้วยรอยเท้า ปลาหลีฮื้อที่มีชีวิตชีวาตัวนั้นโดยรอยเท้ามากมายกดทับจนเลอะไปหมด มีเพียงน้ำตกที่สะท้อนกับแสงตะวันยังคงมีประกายให้เห็นอยู่บ้างในตอนนี้
พอนึกถึงตรงนี้แววตาของอันหลิงเกอก็กระตุกขึ้นมาทันที จากนั้นก็เห็นชางเยว่ย่อตัวลงใช้ปลายเท้าเตะผ้าปักไปข้างกายของอันหลิงอีอย่างฉับไว
การเคลื่อนไหวของนางทั้งแผ่วเบาและรวดเร็ว ภายในห้องที่วุ่นวายจึงมิมีผู้ใดทันสังเกตเห็นการกระทำนางแม้แต่คนเดียว
อันหลิงอีที่ถูกเหล่าสาวใช้ประคองและกำลังลุกขึ้นยืนกลับรู้สึกเจ็บขึ้นมาที่ฝ่ามือ เมื่อหงายมือขึ้นจึงพบว่าบนฝ่ามือของนางมีรอยแดงขนาดเล็กเท่าเข็มตำปรากฏตั้งแต่เมื่อใดมิทราบ
“เลือด เลือดไหล ! ”
ดวงตาของนางเบิกกว้าง ริมฝีปากสั่นเทาคล้ายหวาดกลัวอย่างที่สุดและรู้สึกคล้ายจักหมดสติ
สีหน้าของหลี่ซื่อก็มิสู้ดีและรีบเดินเข้าไปหาอันหลิงอีทันที
นางพลิกมือของอันหลิงอี รอยเข็มนั้นทำให้ดวงตาของนางเบิกโพลง ใบหน้าขาวซีดยิ่งกว่าอันหลิงอีหลายเท่า
นี่มันเกิดอันใดขึ้น ?
เมื่อครู่อีเอ๋อหลบผ้าปักลายพ้นแล้วเหตุใดจึงโดนเข็มทิ่มได้อีก ?
การที่โดนเข็มทิ่มยังมิเท่าไร แต่สิ่งที่น่ากลัวคือบนเข็มมีบางสิ่งป้ายเอาไว้ บางสิ่งที่ว่าก็คือเลือดที่สามารถทำให้ติดกามโรคได้ !
นี่เป็นวิธีที่นางไปขอความรู้มาจากชาวบ้านผู้รอบรู้คนหนึ่งมา อีกฝ่ายได้บอกว่าขอเพียงหาคนที่เป็นกามโรคให้เจอ จากนั้นนำโลหิตของคนผู้นั้นเข้าสู่ร่างกายของอีกคนได้ เพียงเท่านี้ก็สามารถแพร่เชื้อได้แล้ว
นางวางแผนเอาไว้อย่างดีว่าจักอาศัยข้ออ้างนำผ้าปักลายไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าดู จากนั้นก็นำเข็มขนาดเล็กซ่อนไว้ในภาพ อย่างไรเสียผ้าปักลายก็มีการใช้เข็มขนาดเล็กจำนวนมากอยู่แล้ว หากซ่อนเอาไว้ตรงน้ำตกที่มีแสงตะวันตกกระทบอยู่ อันหลิงเกอต้องมิมีทางสังเกตเห็นอย่างแน่นอน
จากนั้นก็วางแผนให้อันหลิงเกอสัมผัสผ้าปักลาย ขอเพียงนางโดนเข็มเล่มนั้นทิ่มจนเป็นแผล อันหลิงเกอก็จักติดกามโรคโดยมิรู้ตัว
ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยากสืบหาความจริงก็มิเจอหลักฐานอันใดทั้งสิ้น
ต่อให้รู้ว่าผ้าปักลายมีเข็มฝังอยู่ก็แค่บอกว่าอีเอ๋อมิทันระวังจึงลืมไว้บนผ้า เท่านี้ก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใดแล้ว
ทว่าตอนนี้เข็มกลับทิ่มเข้าที่มือของอีเอ๋อ !
หลี่ซื่อจึงรู้สึกคล้ายเกิดแผ่นดินไหว ภาพตรงหน้าพร่ามัว หูทั้งสองข้างอื้ออึงไปหมดคล้ายสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้าไปในชั่วพริบตา
“เสียงดังโวยวายไร้มารยาท ! ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นอันหลิงอีแค่มีเลือดออกที่ฝ่ามือเล็กน้อยก็ถึงขั้นร้องเสียงดังออกมา ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จนนางอดขมวดคิ้วมิได้ แววตาที่มองไปยังอันหลิงอีเต็มไปด้วยความเย็นชา
“ท่านย่า มือของหลาน…”
อันหลิงอียื่นมือออกมา อยากให้ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นฝ่ามือของตนที่มีรอยเข็มเล็ก ๆ… คำพูดติดอยู่ในลำคออย่างไรก็พูดมิออก
นางจักบอกฮูหยินผู้เฒ่าได้เยี่ยงไรว่าตนและหลี่ซื่อวางแผนเอาไว้ จงใจทำให้อันหลิงเกอติดกามโรค แต่สุดท้ายตนกลับถูกเข็มตำเสียเอง ?
หากนางกล่าวเช่นนี้ออกไปก็มิต้องรออันอิงเฉิงกลับมาหรอก ฮูหยินผู้เฒ่าต้องส่งนางไปยังโถงบรรพบุรุษหรือขับไล่นางออกจากจวนแล้วส่งไปอยู่ที่วัดอันแสนโดดเดี่ยวชั่วชีวิต
นางมิมีทางยอมใช้ชีวิตเยี่ยงนั้น !
อีกอย่างชีวิตเยี่ยงนั้นนางคงต้องตายอย่างแน่นอน
ในเวลานี้แววตาของอันหลิงอีเต็มไปด้วยความสับสน นางจึงหันไปมองหลี่ซื่อที่อยู่ด้านข้างอย่างหมดหนทาง “ท่านแม่ ท่านแม่ช่วยลูกด้วย ! ”
อาการตื่นตระหนกเกินเหตุของนางทำให้ผู้อื่นมองแล้วรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ก็เห็นกันอยู่ว่าเป็นเพียงแผลจากการโดนเข็มทิ่ม มีรอยเลือดซึมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหตุใดจึงทำราวกับป่วยหนักจนเกินเยียวยา ?
ส่วนหลี่ซื่อใกล้เป็นหมดสติเต็มที แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกให้ช่วยจากอันหลิงอี นางจึงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง
บุตรสาวของนาง !
นางมีบุตรสาวคนนี้เพียงคนเดียว ตั้งแต่เล็กก็เลี้ยงดูประคบประหงมเป็นอย่างดี ต่อให้ดื้อรั้นและเอาแต่ใจไปบ้าง สำหรับนางแล้ว บุตรีคนนี้ก็เป็นสิ่งดีที่สุด
เมื่อเป็นเช่นนี้หลี่ซื่อจึงบังคับตนให้สงบใจเอาไว้ สายตามองไปยังรอยเข็มขนาดเล็กนั้น
“อีเอ๋อมิต้องกลัว” หลี่ซื่อสูดลมหายใจเข้าลึกและสีหน้าก็ค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ เพียงแต่นัยน์ตายังแฝงเอาไว้ด้วยความตระหนก
นางบีบมือแล้วปล่อยอยู่หลายครั้ง แสดงให้เห็นว่าภายในใจมิสงบนัก “แค่โดนเข็มทิ่มเท่านั้น มิเป็นอันใดมากหรอก”
ใช่ อีเอ๋อของนางแค่มิระวังจนโดนเข็มทิ่มเท่านั้น มิมีทางติดกามโรคได้โดยง่าย !
หลี่ซื่อคิดอย่างสับสน มิรู้ว่ากำลังปลอบใจตนเองหรือควรทำอันใดต่อกันแน่
นางรีบเดินเข้าไปใกล้อันหลิงอีพร้อมปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วหันไปกล่าวลาฮูหยินผู้เฒ่า
“ท่านแม่ อีเอ๋อแค่ตกใจเท่านั้น ข้าขอพานางกลับเรือนก่อนเจ้าค่ะ”
เรื่องที่พวกนางป้ายเลือดไว้บนเข็ม ห้ามให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้โดยเด็ดขาด แต่อีเอ๋อถูกเข็มทิ่มที่มือ มิแน่อาจติดโรคเข้าก็ได้ เรื่องนี้จักชักช้ามิได้เพราะต้องรีบพาอีเอ๋อกลับเรือนเพื่อเชิญหมอมาดูอาการอย่างเร่งด่วน
ฮูหยินผู้เฒ่าที่อารมณ์ดีอยู่ก่อนหน้านี้กลับโดนสองแม่ลูกทำลายจนสิ้น เมื่อเห็นท่าทางโวยวายใหญ่โตของอันหลิงอีก็ยิ่งมิพอใจ
พอได้ยินหลี่ซื่อบอกว่าจักพาอันหลิงอีกลับเรือน นางจึงตอบรับด้วยท่าทีเย็นชา “รีบพานางกลับไป”
เห็นคนบอบบางมาก็มาก ทว่ามิเคยเห็นผู้ใดมารยาเท่านี้มาก่อน!