ตอนที่ 294 ประมือ
“เพราะเหตุใดหรือ ? ”
คิ้วของอันหลิงเกอเลิกขึ้นเล็กน้อย ภายในดวงตาดำขลับคู่นั้นในที่สุดก็มีความวูบไหว
ไป๋หลี่เฉินเห็นว่าสุดท้ายแล้วนางเริ่มหวั่นไหว รอยยิ้มที่มุมปากของเขาจึงกดลึกขึ้น
เขากดเสียงต่ำแล้วยื่นหน้าเข้าใกล้ใบหูของอันหลิงเกอ
ความใกล้ชิดที่มากเกินพอดีทำให้อันหลิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย มิเข้าใจว่าคนผู้นี้เหตุใดต้องมาทำท่าทางราวกับสนิทสนมกับนางด้วย
ไป๋หลี่เฉินรู้สึกได้ว่านางมิชอบใจ ความคิดที่อยากล่วงเกินในใจก็จางหายทันที
พร้อมเปลี่ยนท่าทีให้ดูจริงจังขึ้น “เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้น่ะสิ”
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ?
พลันหัวใจของอันหลิงเกอเต้นเร็วขึ้น นางคิดว่าคนตรงหน้ากำลังล้อเล่นอยู่เป็นแน่ นางและไป๋หลี่เฉินมิเคยพบปะพูดคุยกันมาก่อน จักเกิดเรื่องอันใดขึ้นได้หรือ ?
แต่ไป๋หลี่เฉินราวกับมองเห็นโทสะที่กำลังลุกโชนภายในดวงตาของนางจึงมิรอให้นางได้เปิดปากก็รีบกล่าวออกมาทันที “อี๋เหนียงรองและน้องสาวต่างมารดาของเจ้าทำตัวแปลกไปถึงเพียงนั้น เจ้ามิรู้สึกสงสัยบ้างหรือไร ? ”
เหตุใดแม้แต่เรื่องนี้เขายังรู้ หรือว่าในจวนแห่งนี้ก็มีคนของเขาแฝงอยู่ด้วย ?
อันหลิงเกอรู้สึกตระหนกขึ้นมา แต่ใบหน้ายังนิ่งสงบเช่นเดิม
จากนั้นริมฝีปากของนางก็โค้งขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มบาง “แล้วอย่างไร ? ”
ต่อให้เขารู้ว่าหลี่ซื่อและอันหลิงอีคิดร้ายต่อนาง แต่หากมิมีหลักฐานที่แน่ชัดก็ไร้ประโยชน์
ไป๋หลี่เฉินที่ได้ฟังก็กะพริบตาปริบ ๆ แล้วส่งยิ้มยั่วยวนให้นาง “ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่าผ้าปักลายที่น้องสาวเจ้านำออกมามิใช่ของนางเอง”
“นางไปหาช่างปักผ้าคนหนึ่งที่เฉิงอีฝางเพื่อสั่งทำผ้าปักลาย จากนั้นก็ซื้อมันมาด้วยเงินจำนวนมิน้อยทีเดียว”
อันหลิงเกอยังมีสีหน้าเช่นเดิมพลางมองไป๋หลี่เฉินด้วยท่าทางนิ่งสงบ “หลังจากนั้นเล่า ? ”
ท่าทางใจเย็นของนางทำให้ไป๋หลี่เฉินรู้สึกอยากยอมแพ้ขึ้นมาเสียจริง ทั้งที่ได้ยินว่าคนอื่นคิดทำร้ายตน ทว่าปฏิกิริยาของนางนิ่งเฉยเกินไปหรือไม่ ?
แม้แอบบ่นอยู่ในใจ แต่ปากของไป๋หลี่เฉินก็กล่าวมิหยุด “หลังจากนั้นอี๋เหนียงของเจ้าก็ส่งคนไปที่หอนางโลมเพื่อตามหาผู้ป่วยติดเชื้อกามโรคแล้วนำเลือดของนางมาเล็กน้อย”
คำพูดที่เหลือเขามิได้กล่าวออกมาอีก อันหลิงเกอเป็นคนฉลาด ดังนั้นเรื่องบางเรื่องมิต้องกล่าวให้ชัดเจนนางย่อมเข้าใจความหมายที่เขาต้องการสื่อได้เอง
อีกอย่างอันหลิงเกอก็ศึกษาการแพทย์ เรื่องที่เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บเช่นนี้ นางย่อมรู้ดีกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว
พลันในสมองของนางก็นึกถึงเข็มที่ซ่อนอยู่ในผ้าปักลายขึ้นมา อันหลิงเกอก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ในทันที
หมายความว่าหลี่ซื่อและอันหลิงอีนำโลหิตของผู้ป่วยกามโรคมาป้ายไว้บนเข็ม จากนั้นก็นำเข็มไปซ่อนไว้ในผ้าปักลายเพื่อให้นางโดนเข็มทิ่มตอนสัมผัสกับผ้าผืนนั้น
หากเป็นเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่นางจักติดกามโรค
แต่สองคนแม่ลูกคาดมิถึงว่าสาวใช้คนใหม่ของนางเยี่ยงชางเยว่จักมีประสาทสัมผัสที่ไวต่อกลิ่นคาวโลหิต ต่อให้มันถูกป้ายไว้บนเข็มก็ยังได้กลิ่น
ดังนั้นชางเยว่จึงระวังสองแม่ลูกนี้ตั้งแต่ต้น เมื่อรู้ว่าผ้าปักลายผืนนั้นมีบางอย่างผิดปกติ นอกจากมิติดกับดักแล้วยังทำให้อันหลิงอีได้รับผลกรรมที่ก่ออีกด้วย
ที่แท้อันหลิงอีร้องโวยวายเสียงดังและหน้าซีดตอนโดนเข็มทิ่มก็เพราะเหตุผลนี้เอง !
เมื่อคิดได้เช่นนั้นแววตาของอันหลิงเกอก็เย็นชาทันที โชคดีที่ครั้งนี้นางมีชางเยว่อยู่ข้างกาย มิเช่นนั้นหากนางสัมผัสผ้าปักลายผืนนั้น มิแน่อาจโดนเข็มทิ่มเอาก็ได้
สองแม่ลูกช่างมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตมิเปลี่ยน !
หากมิใช่เพราะต้องการหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าท่านแม่โดนพวกนางฆ่าตายและเพื่อกระชากหน้ากากให้คนทั้งแผ่นดินเห็นโฉมหน้าแท้จริงของพวกนางแล้ว อันหลิงเกออยากไปเอาคืนพวกนางเสียตอนนี้เลย
ทว่ายังทำเช่นนั้นมิได้
อันหลิงเกอจึงทำได้เพียงกำหมัดแน่น หากยังมิได้เปิดโปงความชั่วร้ายของพวกนางและคืนความยุติธรรมให้มารดา นางจักมิยอมแพ้เด็ดขาด!
ดวงตาของนางฉายชัดถึงความเกลียดชังรุนแรงราวกับคลื่นยักษ์ซัดสาด
ไป๋หลี่เฉินที่มองสีหน้าของนางอยู่ตลอดก็รู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดนางจึงมีความเกลียดชังรุนแรงถึงเพียงนี้ แต่เมื่ออันหลิงเกอกลับมามีสีหน้าเป็นปกติอีกครั้ง ความเกลียดชังในดวงตาคู่นั้นก็หายไปจนสิ้น
น่าสนใจเสียจริง เด็กสาวคนนี้ต้องมีความลับบางอย่างแอบซ่อนไว้เป็นแน่
“ขอบคุณคุณชายไป๋หลี่ที่แจ้งข่าวนี้ให้ทราบ”
อันหลิงเกอระงับความเกลียดชังภายในใจได้ก็เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง
มิว่าอย่างไรการที่ไป๋หลี่เฉินแจ้งข่าวนี้ให้นางทราบก็ถือว่าช่วยได้มากทีเดียว ทำให้นางเข้าใจในสิ่งที่สองแม่ลูกแสดงวันนี้ได้เป็นอย่างดี เมื่อรู้เป้าหมายของศัตรูแล้วก็สามารถรับมือง่ายขึ้น
แม้รอยยิ้มนั้นมิได้เป็นธรรมชาติมากนัก แต่ก็ทำให้ไป๋หลี่เฉินยิ้มอย่างยินดี
เดิมเขาเองก็มีใบหน้าหล่อเหลาอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้แต้มไปด้วยรอยยิ้มยิ่งทำให้คนที่พบเห็นตกหลุมรักได้โดยง่าย
น่าเสียดายที่อันหลิงเกอมิใช่หนึ่งในคนเหล่านั้นเพราะนางมีเจ้าของหัวใจอยู่แล้ว
อันหลิงเกอยังเผยรอยยิ้มบางราวกับมองมิเห็นความหล่อเหลาอันใดของเขา
ไป๋หลี่เฉินจึงรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นภายในใจและระหว่างที่เขากำลังยื่นมือไปจับที่ศีรษะของอันหลิงเกอหมายลูบผมนุ่มสลวยนั้น ในหูของเขากลับได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น
“โจรชั่ว กล้าแตะต้องคุณหนูของข้าหรือ ! ”
ชางเยว่ร้องเสียงมิดังมาก จากนั้นทั้งร่างก็พุ่งทะยานเข้าจู่โจมไป๋หลี่เฉินทันที
ไป๋หลี่เฉินยังมิทันเคลื่อนไหว แต่เมื่อหันไปก็เห็นหมัดคู่หนึ่งลอยมาอยู่ตรงหน้าของตนเสียแล้ว
เขาเป็นถึงประมุขหอสดับพิรุณ วรยุทธย่อมมิธรรมดา
ต่อให้มีหมัดพุ่งเข้าหาแต่สีหน้ายังมิสะทกสะท้าน เขาเพียงยื่นมือออกไปรับหมัดที่ปะทะเข้ามาเท่านั้น
การเคลื่อนไหวของเขาแม้ดูเชื่องช้า ทว่าแฝงไว้ด้วยกำลังภายในมหาศาล เพียงฝ่ามือที่ปล่อยออกมาเบา ๆ ก็ทำให้ชางเยว่รู้สึกชาที่มือทั้งสองข้างทันทีและมีอาการเจ็บบริเวณระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งอีกด้วย
เมื่อเห็นชายแปลกหน้ายังยืนอยู่ข้างอันหลิงเกอ ชางเยว่ก็มิสนใจอาการเจ็บที่มืออีก นางรีบซัดฝ่ามือไปทางคนแปลกหน้าอย่างรวดเร็ว
ไป๋หลี่เฉินมิสนใจการโจมตีของนางแต่อย่างใด ในสายตาเขา แม้วรยุทธของชางเยว่ถือว่ามิเลวแต่ก็ยังทำอันใดเขามิได้อยู่ดี ต้องมีฝีมือเยี่ยงมู่จวินฮานเท่านั้นจึงสามารถทำร้ายเขาได้
เมื่อเห็นชางเยว่โจมตีอีกครั้ง เขาเพียงสะบัดแขนทว่าคล้ายมีลมพัดจนแขนเสื้อปลิวขึ้น จากนั้นก็มีพลังบางอย่างพุ่งเข้าหาร่างของชางเยว่
ชางเยว่มองอย่างตกตะลึงและรีบหลบไปอีกทางทันที ท่าทางที่กำลังโจมตีเมื่อครู่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
มิเพียงเท่านั้นนางยังถูกพลังปะทะจนร่วงลงไปที่พื้นพร้อมมีโลหิตไหลออกมาตรงมุมปาก
“ชางเยว่ ! ”
อันหลิงเกอร้องออกมาอย่างตกใจแล้วรีบพุ่งตัวเข้าไปหาทันที
นางรู้เพียงว่าไป๋หลี่เฉินมีวรยุทธสูงส่ง แต่มิเคยรู้มาก่อนว่าวรยุทธของเขาจักร้ายกาจถึงเพียงนี้
ชางเยว่ถือว่าเก่งกาจมากคนหนึ่งในบรรดาองครักษ์เงา แต่คนที่เก่งกาจเช่นนี้กลับรับมือไป๋หลี่เฉินได้มิถึงสองกระบวนท่าด้วยซ้ำ ไป๋หลี่เฉินช่างน่ากลัวยิ่งนัก
ส่วนไป๋หลี่เฉินก็มิได้คิดทำร้ายชางเยว่ เขาแค่ตอบโต้ไปตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นว่าอันหลิงเกอป้อนยาเม็ดหนึ่งให้ชางเยว่ด้วยความเป็นห่วง เขาจึงชักมือกลับ
ชางเยว่ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “คุณหนู บ่าวมิเป็นไรเจ้าค่ะ”