ตอนที่ 302 กังวลใจ
“เป็นพวกนักต้มตุ๋นหรือไม่ ? ”
หลี่ซื่อส่ายหน้า อาวุโสผู้เชี่ยวชาญคนนั้นเก่งจริง ๆ มิเช่นนั้นนางคงมิมีทางรู้ว่าสามารถใช้เลือดของผู้ป่วยกามโรคมาแพร่เชื้อสู่อีกคนได้หรอก
“ท่านพี่ ข้าเคยพบผู้เชี่ยวชาญมาก่อนและเขาเชื่อถือได้เจ้าค่ะ”
เมื่อนางยืนยันเช่นนี้ อันอิงเฉิงก็เริ่มคล้อยตาม
อันหลิงอีเห็นเช่นนั้น ดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมา ใบหน้าซ่อนความยินดีไว้มิมิด “ท่านพ่อ ลูกมิต้องโดนส่งตัวไปอยู่ข้างนอกแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
ขอเพียงนางมิถูกส่งไปอยู่ข้างนอก นางก็จักมีโอกาสสังหารอันหลิงเกอตัวดีได้ !
แน่นอนว่าตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือให้ท่านแม่ตามหาผู้เชี่ยวชาญคนนั้นและรักษานางให้หายดีเสียก่อน
นางเพิ่งอายุเท่านี้ ยังมิอยากตายตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะกามโรคชั้นต่ำ
อันอิงเฉิงมองไปที่อันหลิงอีก็เห็นขอบตาแดง ๆ ของนางพร้อมท่าทางสะอึกสะอื้นเนื่องจากผ่านการร้องไห้อย่างหนัก ทั้งที่ภาพนี้ควรทำให้รู้สึกสงสาร แต่มิรู้เหตุใดเมื่อมองใบหน้าของอันหลิงอีแล้ว เขาถึงได้เกิดความรู้สึกรังเกียจขึ้นมาแทน
“ข้าจักส่งเจ้าไปอยู่ที่เรือนด้านข้าง รอเจ้ารักษาจนหายดีแล้วค่อยออกมา”
น้ำเสียงเรียบนิ่งและสีหน้าเย็นชาของเขาทำให้จิตใจที่กำลังมีความสุขของอันหลิงอีดิ่งลงทันที
“ท่านพ่อ ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร ? ”
อันหลิงอีตกตะลึงอย่างมาก เรือนด้านข้างเป็นเรือนร้างที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว นางจักไปอยู่ในที่เช่นนั้นได้อย่างไร !
แต่การที่อันอิงเฉิงมิส่งนางไปที่อื่นก็ถือว่าเขาได้ตัดสินใจดีแล้ว เมื่อเห็นว่าอันหลิงอีมิพอใจ ใบหน้าของเขาก็เข้มขึ้นทันที “ถ้าเจ้ามิอยากอยู่ก็ออกไปอยู่ที่หมู่บ้านด้านนอกเมืองหลวง หายดีเมื่อไรค่อยกลับมา”
“น้องหญิงสามโดนเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม ให้นางอยู่ที่จวนเถิดเจ้าค่ะ ในจวนมีสาวใช้มากมายจักได้ดูแลนางอย่างทั่วถึง”
ใบหน้าของอันหลิงเกอเผยรอยยิ้มบางออกมา ทำท่าทางราวกับเป็นห่วงอันหลิงอีนักหนา แต่ที่จริงแล้วในใจนึกถึงอีกเรื่องอยู่
หลี่อี๋เหนียงเป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตแต่ไร้ความรู้ด้านการแพทย์ เหตุใดจึงรู้วิธีในการใช้กามโรคมาทำร้ายคน ?
อีกอย่างโรคนี้ไร้ยารักษา ทว่าดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้วมิค่อยเป็นห่วงอันหลิงอีสักเท่าไร หรือว่าผู้เชี่ยวชาญที่นางกล่าวถึงจักรักษาโรคนี้ได้จริง ?
ดวงตาของอันหลิงเกอลึกล้ำ ภายในใจเกิดความรู้สึกกังวลขึ้นมา
แต่มิสบายใจเพราะอันใด นางเองก็บอกมิถูกเช่นกัน
นางจึงทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมอันอิงเฉิงเพื่อให้อันหลิงอีอยู่ที่นี่ต่อไป เพราะนางจักได้คอยจับตาดูสองแม่ลูกเอาไว้
หลังจากเรื่องโรคระบาดที่ฉู่โจว อันอิงเฉิงก็ชื่นชมอันหลิงเกอมาก เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้สีหน้าของเขาก็ผ่อนคลายขึ้น “เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ในจวนต่อไปแล้วกัน”
“หลี่ซื่อ เจ้าให้คนไปจัดห้องสำหรับอีเอ๋อ 1 ห้อง ส่วนเรื่องวันนี้…”
“นายท่านโปรดวางใจ คนรับใช้พวกนี้มิกล้ากล่าวเรื่องนี้แน่นอนเจ้าค่ะ” หลี่ซื่อหัวเราะออกมา นางปลอบอันอิงเฉิงเสร็จก็หันไปกวาดตามองเหล่าสาวใช้และทหารยามทั้งหมดที่ยืนอยู่
“ข้าจักบอกเอาไว้ตรงนี้ว่าอีเอ๋อโดนคนทำร้ายจนมิสบาย ทว่าอีกมินานก็จักหายดี หากใครกล้านำเรื่องนี้ไปนินทาให้อีเอ๋อเสื่อมเสียชื่อเสียงแล้วข้าจับได้ก็อย่าโทษว่าข้าว่าไร้ความปรานี ! ”
นางดูแลจวนโหวมาเป็นสิบปี ต่อหน้าคนรับใช้ นางก็ถือว่ายังมีอำนาจอยู่
ต่อให้ตอนนี้จักถูกฮูหยินผู้เฒ่ากดเอาไว้และถูกพวกหวังซื่อชิงอำนาจบางส่วนในการดูแลจวนไป แต่อำนาจที่เคยเป็นผู้ดูแลก็ยังมีอยู่ทำให้สาวใช้และทหารยามที่สบตากับนางพากันก้มหน้าหลบตาด้วยความหวาดกลัว
“บ่าวมิแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ออกไปเด็ดขาดเจ้าค่ะ ! ”
“บ่าวมิรู้เรื่องอันใดเลยขอรับ”
หลังจากได้ยินคำตอบของเหล่าสาวใช้และทหารยามแล้วหลี่ซื่อก็เผยรอยยิ้มออกมา
จากนั้นก็โบกมือให้ทุกคนออกไป แต่ขณะที่มองผ่านอันหลิงเกอนั้น สายตาของนางก็ฉายแววดำมืดทันที
ส่วนอันหลิงเกอที่โดนสายตานั้นจับจ้องก็ทำราวกับมิเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น บนใบหน้าของนางยังคงมีรอยยิ้มบาง ๆ อยู่ เพียงแต่ภายในดวงตาที่ดำขลับทอประกายบางอย่างออกมา
…
…
อันหลิงอีถูกส่งตัวไปยังเรือนด้านข้างและคนรับใช้ทั้งหมดก็ได้รับคำสั่งให้ปิดปากเงียบ
ณ เรือนฉีอู๋ อันหลิงเกอที่กำลังพลิกดูประวัติผู้ป่วยอยู่นั้น อยู่ ๆ นิ้วของนางก็หยุดลงมิยอมขยับอีก แม้แต่สายตาในตอนนี้ก็ดูเลื่อนลอย ประวัติผู้ป่วยที่กำลังดูมิเข้าหัวนางเลยแม้แต่น้อย
“คุณหนูเป็นอันใดไปเจ้าคะ เหมือนกับมีเรื่องหนักใจอยู่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่เจ้าคะ?”
หมิงซินเป็นคนละเอียดอ่อน แค่ปราดเดียวนางก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติของอันหลิงเกอ
เมื่อถูกเรียก อันหลิงเกอที่กำลังใจลอยจึงได้สติขึ้นมา
นางส่งยิ้มบาง ๆ ให้หมิงซิน แต่แววตาแฝงไว้ด้วยความเศร้า “มิรู้เหตุใดใจข้าจึงมิสงบ รู้สึกราวจักมีเรื่องที่มิดีเกิดขึ้น อีกทั้งหนังตาข้ายังกระตุกตลอดเวลาด้วย”
“ในจวนก็มิมีเรื่องอันใดนะเจ้าคะ” หมิงซินขมวดคิ้วเพราะช่วงนี้ภายในจวนปกติดี อันหลิงเฉว่หลังถูกกักบริเวณก็สงบเสงี่ยมเรียบร้อยขึ้นมาก ส่วนอันหลิงอีแม้มีแผนการอยู่ตลอดแต่ก็ถูกคุณหนูโต้กลับทุกครั้ง
ปี้จูที่กำลังฝนน้ำหมึกอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินก็วางที่ฝนหมึกลง “เพราะหลายวันมานี้คุณหนูมิค่อยได้พักผ่อนหรือไม่เจ้าคะ ? บ่าวเคยได้ยินท่านแม่บอกว่าถ้าพักผ่อนมิเพียงพอ หนังตาก็กระตุกได้เจ้าค่ะ”
อาจเป็นเช่นนั้นก็ได้
อันหลิงเกอส่งเสียงตอบรับ จากนั้นก็ทิ้งเรื่องนี้ไปโดยมิเก็บมานึกอีก
“จุนเกอร์เอ๋ออยู่ที่ใด มิเห็นหน้าเขามาหลายวันแล้ว”
หลายวันมานี้นางมัวแต่ยุ่งกับการดูประวัติผู้ป่วยของสำนักหมอหลวง หวังว่าสามารถหาเบาะแสการตายที่แท้จริงของมารดาได้บ้างจึงมิได้พบหน้าน้องชายเลย
ปี้จูยิ้มจนตาหยี ใบหน้ากลมป้อมของนางสว่างไสวราวกับมีความสุขเสียเต็มประดา “คุณชายรองกำลังเรียนที่สำนักศึกษาจิงตูเจ้าค่ะ ได้ยินว่าคุณชายรองเก่งมาก อาจารย์หลายท่านล้วนแต่ชอบคุณชายรองกันทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
เมื่อเอ่ยถึงอันหลิงจุน ปี้จูก็อดลุกขึ้นยืนแล้วตบหน้าอกอย่างภาคภูมิใจมิได้ ราวกับอันหลิงจุนคือน้องชายแท้ ๆ ของนางก็มิปาน
อันหลิงเกอขบขันกับท่าทางของนาง ความโศกเศร้าในดวงตาจึงค่อย ๆ จางลง
ตอนนี้นางยังไร้ความสามารถมากพอที่จักล้มหลี่อี๋เหนียงกับอันหลิงอีได้ จึงทำได้เพียงพยายามฉุดรั้งพวกนางเอาไว้ ให้พวกนางมุ่งความสนใจมาที่ตนแต่เพียงผู้เดียว จุนเกอร์เอ๋อถึงจักปลอดภัย
“เดือนหน้าก็มีการสอบที่สำนักศึกษาจิงตูแล้ว มิรู้ว่าผลสอบของคุณชายรองจักเป็นอย่างไรบ้าง อนาคตจักสอบเข้ารับราชการเหมือนคุณชายใหญ่ได้หรือไม่เจ้าค่ะ”
หมิงซินถอนหายใจออกมา แล้วหัวข้อการสนทนาของทุกคนก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องของอันหลิงจุนแทน
อันหลิงเกอเลิกคิ้วขึ้น นางมิได้ไปที่สำนักศึกษาจิงตูนานแล้วจนมิรู้ว่าเดือนหน้าก็จักถึงช่วงสอบ เวลาช่างผ่านไปเร็วเสียจริง
ทว่าจุนเกอร์เอ๋อมีพรสวรรค์เรื่องการเรียนอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นคนตั้งใจมาก ดังนั้นเรื่องการสอบคงมิมีปัญหาอันใด
ต่อให้นางนึกเช่นนี้ แต่สุดท้ายก็ยังมิวางใจ “น่าจักใกล้ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว พวกเจ้าไปรับจุนเกอร์เอ๋อเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
นางพาสาวใช้สองคนพร้อมชางเยว่ไปที่สำนักศึกษาจิงตู แต่มิคิดว่าจักได้พบคนผู้หนึ่งเข้าโดยบังเอิญ