ตอนที่ 304 ให้คำแนะนำ
สตรีนางนั้นหักกิ่งไผ่เล็ก ๆ ด้วยมือเพียงข้างเดียว จากนั้นก็เดินออกไปเผยให้เห็นใบหน้าที่มีชีวิตชีวา
สตรีที่เดินออกมาจากป่าไผ่สวมกระโปรงยาวสีแดงสดปักลายเมฆสีคราม ด้านบนเป็นลายนกยูงประดับด้วยดอกซีฟานเหลียน (เสาวรส) ด้านล่างสวมรองเท้าที่ปักรูปดอกบัวด้วยด้ายสีทองและดอกฝูหรง (พุตตาน) สลับสี นางเดินออกไปอย่างมิมั่นคงนัก
นางค่อย ๆ เดินออกมาจากป่าไผ่ ใบหน้าที่งดงามในที่สุดก็เผยออกมาให้เห็นภายใต้ดวงตะวัน นางก็คืออันผิงกงจู่นั่นเอง
อันผิงกงจู่จ้องไปยังคนสองคนที่ยืนสนทนากันอยู่ริมทะเลสาบ นางมองชายที่ตนแอบรักคุยกับอันหลิงเกออย่างเอาใจใส่ และรอยยิ้มที่อบอุ่นนั้นเป็นรอยยิ้มที่นางมิเคยได้รับมาก่อน
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนยามที่มองอันหลิงเกอคล้ายมีประกายความสุขฉายออกมา
แม้แต่นางยังมิเคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของลู่จ้านมาก่อน แล้วอันหลิงเกอมีสิทธิ์อันใดได้รับมันจากลู่จ้าน ?
นางกำหมัดแน่นจนเล็บยาวทิ่มลงในเนื้อ ความรู้สึกเจ็บที่ได้รับทำให้นางได้สติขึ้นมา
อันหลิงเกอมิได้รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวใดของอันผิงกงจู่แม้แต่น้อย หลังจากปฏิเสธลู่จ้านแล้ว นางก็หาข้ออ้างปลีกตัวออกมาทันที เพราะมิอยากให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความรู้สึกอึดอัดมากกว่านี้
โชคดีที่สำนักศึกษาจิงตูกำลังเลิกเรียนพอดี อันหลิงเกอจึงใช้อันหลิงจุนเป็นข้ออ้างในการบอกลาลู่จ้าน
ขณะที่นางเดินจากไปแล้วด้านหลังยังคงมีสายตาของลู่จ้านมองตามจนกระทั่งร่างของนางค่อย ๆ ลับไปจากสายตา
“พี่หญิง ท่านมาได้อย่างไรขอรับ ? ”
อันหลิงจุนที่ออกมาจากสำนักศึกษาจิงตูก็เห็นอันหลิงเกอยืนรอเขาอยู่ข้างรถม้า
ตอนนี้ส่วนสูงของเขายืดขึ้นมิน้อยและเขายังมีชีวิตชีวาอย่างที่เด็กอายุสิบสามควรมี
ดวงตาของอันหลิงเกอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางยิ้มขณะมองอันหลิงจุนที่กำลังเดินมาหา “สำนักศึกษาจิงตูใกล้มีการสอบแล้วใช่หรือไม่ ? ”
“ขอรับ” อันหลิงจุนพยักหน้าแรง ๆ หนึ่งที เกรงว่าอันหลิงเกอจักเป็นกังวลจึงรีบเอ่ย “แต่พี่หญิงมิต้องเป็นห่วง สิ่งที่พวกอาจารย์สอนข้าเข้าใจหมดแล้ว เรื่องการสอบมิมีปัญหาแน่นอนขอรับ”
มิเพียงแต่ไร้ปัญหา แต่เขายังตั้งใจคว้าที่หนึ่งในการสอบครั้งนี้มาให้ได้อีก เพียงแต่เรื่องนี้ยังมิสำเร็จ รอผลสอบออกมาก่อนค่อยเอาไปให้พี่หญิงดู นางต้องดีใจมากแน่
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาดูมิได้รู้สึกโดดเดี่ยวอีกแล้ว ดวงตาของอันหลิงเกอก็ยิ่งอ่อนโยนมากขึ้น
ครั้งก่อนนางได้เห็นเขาเตะลูกหนังกับเพื่อนในวัยเดียวกัน มาครั้งนี้ก็เห็นเขามีพลังและมีชีวิตชีวาอย่างที่เด็กวัยนี้ควรมี ดูแล้วเมื่ออยู่ที่สำนักศึกษาจิงตู เขาคงมีความสุขมิน้อย เรื่องที่โดนรังแกในวังก็ราวกับเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ชาติก่อนอย่างไรอย่างนั้น
“จุนเกอร์เอ๋อของเราเป็นเด็กฉลาด การสอบครั้งนี้เจ้าต้องทำได้อยู่แล้ว” อันหลิงเกอยกยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความพอใจ
นางมิได้กังวลเรื่องผลสอบของจุนเกอร์เอ๋อ เพราะการที่เขาได้มาเรียนที่สำนักศึกษาจิงตูเหมือนเด็กคนอื่น ได้เล่นกับเด็กในวัยเดียวกัน เพียงเท่านี้นางก็มีความสุขมากแล้ว
“พี่เพิ่งได้แท่นฝนหมึกมาใหม่ มันเป็นงานของถังต้าเจีย เมื่อกลับไปพี่จักให้ปี้จูนำไปให้เจ้า”
อันหลิงจุนดีใจจนปิดมิมิด “จริงหรือขอรับ ? แท่นฝนหมึกถังต้าเจียถือว่าหายาก พี่หญิงจักให้ข้าจริงหรือขอรับ ? ”
ชาวต้าโจวมิมีผู้ใดมิรู้จักชื่อเสียงของถังต้าเจีย เขาเป็นผู้ชำนาญเรื่องพู่กันและภาพวาดจนถึงขั้นหลงใหล ได้ยินว่าภาพวาดดอกไม้ของเขาเหมือนจริงจนขนาดที่ว่ามีผึ้งและผีเสื้อมาดอมดมและภาพวาดนกก็ยังอดมีแมวมาไล่จับมิได้
แต่สิ่งที่คนผู้นี้ชำนาญมากสุดคือเป็นการทำแท่นฝนหมึก
ตามที่ถังต้าเจียเคยกล่าวไว้ว่าหากอยากเขียนอักษรและวาดภาพได้ดี แท่นฝนหมึกที่ดีเป็นสิ่งที่จักขาดมิได้
อันหลิงเกอพยักหน้า ทำให้อันหลิงจุนยิ้มแฉ่งออกมาอย่างดีใจ
…
…
ยังมิทันถึงวันสอบที่ทางสำนักศึกษาจิงตูจัดขึ้นก็มีงานวันเกิดของติ้งกั๋วกงเสียก่อน
เว่ยซื่อเมื่อออกจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าก็มาส่งข่าวให้อันหลิงเกอทราบ
หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าโดนวางยาครั้งก่อนก็มิได้เมตตานางเหมือนเดิมอีก ทว่าเย็นชามากขึ้นยิ่งนัก
ฐานะนางในจวนเป็นเช่นไร เว่ยซื่อรู้แก่ใจดี หากนางขาดความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็เกรงว่ามินานคงโดนหลี่ซื่อกดจนต้องย้ายไปอยู่เรือนเพียนอีกเป็นแน่
ดูจากนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของหลี่ซื่อแล้ว มิแน่ชีวิตของนางอาจตกต่ำยิ่งกว่าการย้ายไปอยู่เรือนเพียนเสียอีก
ด้วยเหตุนี้หลายวันมานี้เว่ยซื่อจึงดูแลเอาใจใส่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างดี แม้กระทั่งเรื่องแจ้งข่าวให้อันหลิงเกอทราบ นางถึงขนาดมาแจ้งด้วยตนเองเพื่อจักได้มีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่านั่นเอง
อันหลิงเกอรู้ถึงความคิดของอีกฝ่ายแต่ก็มิได้เปิดโปง นางเพียงให้หมิงซินยกน้ำชาออกมาต้อนรับและนั่งสนทนากับเว่ยอี๋เหนียง
เว่ยอี๋เหนียงได้ลองจิบชาจึงรู้ทันทีว่าชานั้นเป็น*ชาอวิ๋นอู้ชั้นยอดที่ในจวนจักได้รับเพียงแค่สองถึงสามชั่งต่อปีเท่านั้น อันหลิงเกอกลับสามารถนำออกมาใช้ได้ตลอดเวลา แสดงให้เห็นว่าฐานะของนางตอนนี้สูงส่งเพียงใด
เมื่อนึกได้เช่นนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยอี๋เหนียงก็ยิ่งกว้างขึ้น “คุณหนูใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าคิดถึงท่านจึงให้ข้ามาแจ้งให้ทราบ เรือนอื่นล้วนเป็นสาวใช้เป็นคนไปแจ้งข่าว มีเพียงเรือนท่านเท่านั้นที่ฮูหยินผู้เฒ่าออกปากให้ข้ามาแจ้งด้วยตนเอง ดูก็รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าโปรดปรานท่านมากเพียงใด”
โปรดปรานนางมากหรือไม่ อันหลิงเกอหาได้สนใจ
ท่านย่าของนางเห็นจวนโหวสำคัญที่สุด ผู้ใดมีประโยชน์ต่อจวนก็จักดีกับผู้นั้น แต่หากผู้ใดทำเรื่องมิดีต่อจวน ต่อให้โปรดปรานคนผู้นั้นมากเพียงใดก็สามารถสั่งลงโทษได้เช่นกัน
ดูจากอันหลิงเฉว่ก็รู้แล้ว แต่เดิมฮูหยินผู้เฒ่าโปรดปรานนางมากเพียงใด สุดท้ายยังสั่งกักบริเวณได้ อีกทั้งยังเชิญแม่นมที่เข้มงวดมาคอยสั่งสอนอีกต่างหาก
อันหลิงเกอยกยิ้มเล็กน้อย ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมหาได้มีความเย่อหยิ่งแต่อย่างใด “เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว ลำบากเว่ยอี๋เหนียงที่ต้องมาถึงนี่ด้วยตนเอง”
“มิกล้า มิกล้า” เว่ยอี๋เหนียงโบกมือไปมาทันที แววตามีความลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เอ่ยออกมา “การเรียนของหยูเกอร์เอ๋อมิค่อยดีเท่าไรนัก แต่ข้าได้ยินว่าการเรียนของคุณชายรองถือว่าค่อนข้างดี มิทราบว่าพอจักรบกวนคุณชายรองช่วยแนะนำหยูเกอร์เอ๋อสักหน่อยจักได้หรือไม่ ? ”
สีหน้าของอันหลิงเกอเปลี่ยนไปเล็กน้อย เว่ยอี๋เหนียงที่สังเกตเห็นสีหน้าของนางก็รีบกล่าวขึ้นมาทันที “ข้ารู้ว่าการให้คุณชายรองช่วยแนะนำหยูเกอร์เอ๋อนั้นดูเกินไปเสียหน่อย แต่ตัวข้าเป็นเพียงอนุภรรยาจึงมิกล้าเชิญอาจารย์มาสอนเขา กลัวว่าเขาจักสอบมิผ่าน นึกไปนึกมาจึงทำได้เพียงมาขอร้องคุณหนูใหญ่เท่านั้น”
ให้บุตรของภรรยาเอกมาสอนน้องชายที่เป็นบุตรของอนุภรรยา นอกจากสนิทสนมกันจริง ๆ เรื่องเช่นนี้ย่อมมิมีผู้ใดกระทำ
เว่ยซื่อใจหนึ่งก็อยากให้อันหลิงหยูเรียนได้ดีขึ้น อีกใจหนึ่งก็จักได้ใช้เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าพวกนางสองแม่ลูกสนิทสนมกับอันหลิงเกอกับอันหลิงจุนเพียงใด
ฮูหยินผู้เฒ่าก็จักเห็นแก่อันหลิงเกอและทำดีต่อนางมากกว่าเมื่อก่อน
นางวางแผนมาอย่างดี แต่มินึกว่าเมื่อได้สบกับดวงตาดำขลับที่ยากคาดเดาคู่นั้น กลับรู้สึกว่าแผนการและความคิดของตนถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งเสียแล้ว
ต่อให้เว่ยซื่ออยู่มานานกว่าอันหลิงเกอเป็นสิบปีก็ยังมิอาจต้านทานดวงตาเฉียบคมเช่นนี้ได้
นางทำได้เพียงมองผ่านไป มิกล้าสบตาคู่นั้นตรง ๆ อีก จนได้ยินอันหลิงเกอตอบกลับมา “จุนเกอร์เอ๋อก็มีเรื่องยุ่งเช่นกัน หากหยูเกอร์เอ๋อเรียนมิทันแล้ว ข้าจักบอกท่านพ่อให้เชิญอาจารย์มาเอง อย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายของท่านพ่อ ท่านมิมีทางเมินเฉยเขาอยู่แล้ว”
คำที่กล่าวออกมาของอันหลิงเกอถือเป็นการปฏิเสธที่ชัดเจน ทั้งยังสัญญาว่าจักเชิญอาจารย์ให้อันหลิงหยูด้วย แม้เว่ยซื่อมิพอใจสุดท้ายก็ต้องยอมรับเอาไว้
…
* ชาอวิ๋นอู้ แห่งเขาหลุนซานเป็นหนึ่งในชาที่ได้รับคัดเลือกให้นำขึ้นถวายฮ่องเต้ในยุคโบราณ เป็นชาที่ปลูกบนภูเขาที่มีเมฆหมอกและน้ำค้างมากจึงเก็บกักความเย็นชื้นของบรรยากาศเอาไว้ทำให้มีสรรพคุณช่วยขับความร้อนได้ดี