ตอนที่ 309 ภาพวาดเด็กหรรษา
ทั้งที่เก้าอี้ของตนโดนแย่งไป ทว่าอันหลิงเกอยังทำเหมือนมิมีอันใดเกิดขึ้น หากเป็นซินเจียวเจียวคงสั่งสอนอันหลิงเฉว่ให้หลาบจำไปเลย จักได้รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียบ้าง
สายตามิพอใจของซินเจียวเจียวแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง อันหลิงเกอเห็นสีหน้าของนางเช่นนั้นจึงส่งยิ้มจริงใจไปให้
หลังได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง สหายที่ดีที่สุดของนางก็คือซินเจียวเจียว
แม้ทั้งคู่มิได้ไปมาหาสู่กันบ่อยนัก แต่พวกนางต่างก็ถูกชะตากันเป็นอย่างมาก
เรื่องบางเรื่องมิจำเป็นต้องพูดออกมา ทว่าทั้งคู่ก็รับรู้ได้ว่าต่างฝ่ายต่างถืออีกคนเป็นสหายที่ดีของตน
อันหลิงเกอส่งสายตาให้ซินเจียวเจียวเพื่อทำให้อีกฝ่ายวางใจ
วันนี้นางเตรียมตัวมาเพื่อแก้แค้นหลี่อี๋เหนียง ส่วนอันหลิงเฉว่ขอเพียงมิก่อเรื่องอันใดขึ้นอีก นางก็จักมองข้ามวิธีการแบบเด็ก ๆ ของอันหลิงเฉว่ไปก่อน
ซินเจียวเจียวเม้มปากแน่น นางรู้จักนิสัยของอันหลิงเกอดี ดังนั้นเรื่องที่อีกฝ่ายตัดสินใจไปแล้วต่อให้มีม้าเป็นสิบตัวก็ฉุดไว้มิได้
เมื่อเรื่องของอันหลิงเฉว่จบลง ตอนนี้ก็ถึงเวลามอบของขวัญ
คนในจวนติ้งกั๋วกงมีน้อยมาก นอกจากติ้งกั๋วกงและฮูหยินก็มีบุตรชายอีก 2 คน บุตรคนโตได้สืบทอดตำแหน่งซื่อจื่อ ส่วนบุตรคนรองเป็นพ่อค้าที่เดินทางไปทั่วและออกห่างจากเรื่องในราชสำนัก
บุตรชายทั้งสองต่างก็มีภรรยาเอกเพียงผู้เดียว แม้แต่อนุภรรยาก็มิมีดังนั้นจึงมิต้องกล่าวถึงพวกเมียบ่าวด้วยเช่นกัน
บุตรชายคนโตมีลูกชาย 2 คนและลูกสาว 1 คน ส่วนบุตรชายคนรองมีลูกชาย 1 คนและลูกสาว 1 คน นับแล้วทั้งครอบครัวติ้งกั๋วกงมีทั้งสิ้น 11 คน ช่างน้อยยิ่งนักแต่ทุกคนในจวนล้วนมีสายเลือดเดียวกันหมด
คนที่เติบโตมาในจวนติ้งกั๋วกงล้วนสมัครสมานสามัคคีกัน มิมีเรื่องบาดหมางและไร้การทะเลาะหรือแทงข้างหลังกันอีกด้วย
การมอบของขวัญจากคนในจวนนี้จึงเป็นการมอบอย่างจริงใจ มิเหมือนตอนงานวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าที่อันหลิงเกอและหลี่ซื่อใส่ร้ายกันไปตอบโต้กันมาโดยมิมีใครยอมใคร
ลูกหลานต่างรู้ดีถึงความชอบของติ้งกั๋วกง ของขวัญที่มอบให้ส่วนใหญ่จึงหนีมิพ้นพู่กัน กระดาษ แท่นฝนหมึกและภาพวาด หนึ่งในนั้นยังมีภาพวาดงานจริงของอาจารย์จางที่ทำให้ทุกคนในงานตกตะลึงมิน้อยและต่างก็ชื่นชมว่าติ้งกั๋วกงวาสนาดีมีลูกหลานกตัญญูรู้คุณทั้งนั้น
ติ่งกั๋วกงที่อยู่ฝั่งแขกบุรุษย่อมมิได้ยินคำชมเชยเหล่านี้ ทว่าทางฝั่งติ้งกั๋วกงฮูหยินได้ยินทั้งหมด เดิมทีนางก็มีความสุขมากอยู่แล้ว ตอนนี้แม้แต่แววตายังยิ้มตามไปด้วย
ลูกหลานของพวกตนแสนกตัญญูนี่ถือเป็นโชคดีที่สุดแล้ว
เมื่อคนในจวนติ้งกั๋วกงมอบของขวัญเสร็จ ต่อไปก็ถึงคราวที่แขกจักเริ่มทยอยมอบของขวัญให้บ้าง
เดิมทีมิจำเป็นต้องนำของขวัญออกมาแสดงให้ดู แต่ติ้งกั๋วกงฮูหยินที่อารมณ์ดีเป็นพิเศษได้สั่งให้สาวใช้ไปนำของขวัญออกมา
แค่เพียงมินานภายในโถงก็มีสาวใช้มากกว่าสิบคนเข้ามายืนเรียงหน้ากระดาน ในมือแต่ละคนถือกล่องของขวัญเอาไว้ เล็กบ้างใหญ่บ้างรูปร่างแตกต่างกันไป แต่เหมือนกันคือสิ่งที่อยู่ภายในกล่องล้วนเป็นของล้ำค่าทั้งสิ้น
อันหลิงเกอมองไปยังกล่องพวกนั้น แววตาจึงบังเกิดความดำมืดขึ้นมาครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลับมานิ่งสงบเป็นปกติ
หลี่ซื่อยังมิทันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอันใด นางแค่ดึงมือของอันหลิงอีที่นั่งอยู่ด้านข้างไว้และเอียงหน้าไปกระซิบบางอย่าง หากอ่านปากแล้วเหมือนกำลังวิจารณ์ของขวัญแต่ละชิ้นอยู่นั่นเอง
รอจนของขวัญทั้งหมดโดนเปิดออกมาแล้ว หลี่ซื่อจึงกล่าวขึ้น “คุณหนูใหญ่ เหตุใดมิเห็นของขวัญจากเจ้าเล่า ? ”
นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจจนทำให้ทุกคนจ้องมองมาที่นาง จากนั้นก็แสร้งทำเป็นรู้สึกว่าตนกล่าวผิดไปจึงรีบยกมือขึ้นปิดปากทันที
ทว่าคำกล่าวเมื่อครู่ของนาง ทุกคนต่างก็ได้ยินชัดเจนจึงหันไปมองอันหลิงเกอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยหลากหลายความหมาย
ติ้งกั๋วกงฮูหยินก็สังเกตเห็นว่าเมื่อครู่ตอนเปิดของขวัญมิเห็นของจากอันหลิงเกออยู่จริง
เพียงแค่ตอนนี้นางมิอยากทำให้อันหลิงเกอตกที่นั่งลำบาก
มิเช่นนั้นคนอื่นจักคิดว่าจวนติ้งกั๋วกงเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อยและจักทำให้เสียภาพลักษณ์ได้
ติ้งกั๋วกงฮูหยินยังคงยิ้มแย้มแม้รอยยิ้มจางลงไปมิน้อยก็ตาม “คุณหนูใหญ่อันคงลืมกระมัง แต่หาใช่เรื่องใหญ่อันใดไม่ ฮูหยินรองหลี่จักทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปใย ? ”
เมื่อครู่ที่โดนอันหลิงเฉว่แย่งที่นั่ง อันหลิงเกอยังปล่อยผ่านไปอย่างง่ายดาย แสดงให้เห็นว่านางมิต้องการทำให้เป็นเรื่องวุ่นวาย ติ้งกั๋วกงฮูหยินก็หวังให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่นเช่นกัน
อันหลิงเกอมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย รู้สึกผิดกับคนบริสุทธิ์ที่นางจักต้องหลอกใช้
นางหลุบตาลง ภายในใจเกิดความลังเลชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าให้คนส่งของขวัญไปทางท่านติ้งกั๋วกงแล้ว เพราะอยากให้ท่านช่วยวิจารณ์เจ้าค่ะ”
ให้ติ้งกั๋วกงวิจารณ์ได้ จักต้องเป็นผลงานที่โดดเด่นมากแน่นอน
ติ่งกั๋วกงฮูหยินพยักหน้าน้อย ๆ รู้สึกพอใจในน้ำใจของอันหลิงเกอ รอยยิ้มที่จางลงเมื่อครู่จึงกลับมาสดใสอีกครั้ง “มิทราบว่าเจ้ามอบอันใดให้อย่างนั้นหรือ เป็นอักษรหรือภาพวาดกันเล่า ? ”
“เป็นภาพวาดเลียนแบบภาพของอาจารย์จางเจ้าค่ะ มิรู้ว่าวาดได้ดีหรือไม่ ดังนั้นจึงอยากให้ท่านติ้งกั๋วกงช่วยวิจารณ์เจ้าค่ะ”
ขณะที่พวกนางกำลังสนทนากันอยู่นั้น พลันก็ได้ยินเสียงดังกึกก้องขึ้นพร้อมเสียงฝีเท้ามากมายเดินตามมา “ผู้ใดเป็นคนมอบภาพเด็กหรรษานี้ให้ข้า ? ”
ติ้งกั๋วกงแม้ปีนี้อายุ 70 ปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง เดินเหินได้อย่างสง่าผ่าเผยมิเปลี่ยนแปลงและดูแข็งแรงกว่าหนุ่มสาวบางคนด้วยซ้ำ
คนที่อยู่ภายในงานเอ่ยคารวะติ้งกั๋วกง แต่เขาหาได้สนใจ เพียงพยักหน้าเป็นการตอบรับเท่านั้น
จากนั้นก็กวาดสายตาไปทั่วพลางถามอีกครั้ง “ผู้ใดเป็นคนมอบภาพเด็กหรรษานี้ให้ข้า ? ข้าอยากคุยด้วยสักหน่อย”
เขาหลงใหลภาพวาดเป็นอย่างมาก เพื่อภาพหนึ่งภาพแล้วแม้แต่งานวันเกิดพร้อมแขกฝั่งบุรุษของตนก็เลิกสนใจอย่างง่ายดาย
ติ้งกั๋วกงฮูหยินทั้งโกรธทั้งนึกขำ แต่ก็คาดเดาบางอย่างเอาไว้ในใจ จากนั้นจึงยื่นมือชี้ไปที่อันหลิงเกอ
“โอ้ น่าจักเป็นภาพที่คุณหนูใหญ่อันมอบให้ท่านเจ้าค่ะ”
สายตาของติ้งกั๋วกงมองตามทันที เขากวาดตามองอันหลิงเกอครู่ใหญ่ จากนั้นคิ้วก็ค่อย ๆ ขมวดขึ้น
มิถูก หญิงสาวอายุน้อยเช่นนี้สามารถเลียนแบบภาพวาดของอาจารย์จางได้ ทั้งยังวาดได้ดีขนาดที่ว่าแทบมองมิออกด้วยซ้ำว่าเป็นของจริงหรือของปลอม
“เจ้ามอบภาพเด็กหรรษาให้ข้าอย่างนั้นหรือ ? ”
หลังจากประเมินด้วยสายตาอยู่ครู่หนึ่ง ติ้งกั๋วกงที่แม้ในใจยังมิค่อยเชื่อถือเท่าไรนักก็ยังเอ่ยปากถาม
อันหลิงเกอเผยรอยยิ้มออกมา มิได้หลบเลี่ยงการประเมินของเขาแต่อย่างใด นางลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสง่างามยิ่งนัก
ใบหน้าที่งดงามราวกับดวงอาทิตย์ส่องสว่างช่างสมบูรณ์ไร้ที่ติและใบหน้าที่เรียบเนียนก็เปล่งประกายมากกว่าเดิม
รูปโฉมและกิริยาช่างงดงาม แม้ปีนี้นางมีอายุเพียง 15 ปี แต่ทำให้ผู้คนตกตะลึงในความสามารถจนมองข้ามอายุไปได้
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ภาพนี้ข้าน้อยวาดเอง ท่านติ้งกั๋วกงชำนาญในเรื่องภาพวาดและที่ข้าน้อยมอบภาพนี้เป็นของขวัญให้ท่านก็เพื่ออยากให้ช่วยวิจารณ์ภาพสักเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงสดใสดังขึ้นในห้องโถงทำให้สายตาของติ้งกั๋วกงเป็นประกายขึ้นมา