ตอนที่ 312 อันผิงกงจู่ก่อเรื่อง
“แต่เหมือนว่าท่านแม่จักรู้แผนการของข้า นางจึงให้คนเอาตัวพวกเขาทั้งสองไปซ่อน มิว่าค้นหาเท่าไรก็หามิพบ”
ฮวนฮวนและเล่อเล่ออยู่ข้างกายซินเจียวเจียวมาหลายปี ต่อให้มิใช่แม่ลูกก็เหมือนแม่ลูกกันอยู่ดี
หากมิใช่เพราะฮูหยินหมิงจูที่เพิ่งได้พบลูกสาวจึงดูแลซินเจียวเจียวอย่างเข้มงวด ป่านนี้ซินเจียวเจียวคงออกไปตามหาเด็กทั้งสองด้วยตัวเองเป็นแน่ แต่ตอนนี้นางทำได้เพียงรอฟังข่าวอยู่ที่จวน สำหรับนางแล้วเรื่องนี้ถือเป็นความทรมานใจมากเหลือเกิน
อันหลิงเกอเข้าใจความรู้สึกของนางดีจึงจับมือของนางเอาไว้และบีบเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจ
ซินเจียวเจียวหันมายิ้มให้ แม้ภายในดวงตายังมีร่องรอยของความโดดเดี่ยวปรากฎให้เห็น ทว่าก็มีกำลังใจเพิ่มขึ้นมิน้อย
ทั้งสองสนทนาไปครู่เดียวก็เดินมาถึงสวนดอกไม้ แต่นึกมิถึงว่าจักมีอีกคนมาถึงก่อนพวกนางแล้ว
อันผิงกงจู่ยืนอยู่ในสวนดอกไม้ กำลังก้มมองดอกโบตั๋นและมือข้างหนึ่งก็สัมผัสลงบนดอกไม้พวกนั้น
ดอกโบตั๋นในฤดูร้อนกำลังเบ่งบานจับตา คนสวนของจวนติ้งกั๋วกงดูแลอย่างพิถีพิถัน มองไปทางไหนก็มีดอกไม้สวยสดงดงามเต็มไปหมดจนทำให้คนมองรู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดีขึ้นมิน้อย
นางได้ยินเสียงของเหล่าคุณหนูที่คุยกันจอแจจึงเงยหน้าขึ้น ทำราวกับเพิ่งเห็นว่าทุกคนมาถึงที่นี่แล้ว จากนั้นจึงหันไปยิ้มให้พวกซุนเมิ้งอวิ๋น
“อวิ๋นเอ๋อ เซียนเอ๋อ เหตุใดพวกเจ้ามาที่นี่ได้เล่า ? ”
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของอันผิงกงจู่ทำให้คุณหนูทั้งหลายตกใจอยู่มิน้อย
ทว่าฮองเฮาเป็นบุตรีของติ้งกั๋วกง ดังนั้นอันผิงกงจู่จึงนับว่าเป็นหลานสาวของติ้งกั๋วกงด้วย งานวันเกิดของท่านตาเช่นนี้หากบอกว่านางมาเพื่อเป็นตัวแทนฮองเฮาก็คงมิแปลกนัก
เมื่อทุกคนนึกถึงความสัมพันธ์ในจุดนี้จึงเข้าใจทันที
เพียงแต่เมื่อครู่ตอนอยู่ในห้องโถงมิเห็นอันผิงกงจู่ ทุกคนยังนึกอยู่ว่าวันนี้นางคงมิมาแล้ว ที่แท้ก็มาถึงตั้งนานแต่มิได้เข้าไปในโถงรับแขกกลับมาอยู่ที่สวนนี้แทน
เมื่อมิรู้ว่าเหตุใดอันผิงกงจู่จึงปรากฏตัวที่นี่ ทุกคนต่างก็เงียบเสียงโดยมีเพียงซุนเมิ้งเซียนและซุนเมิ้งอวิ๋นที่ยังยิ้มแย้มมิเปลี่ยน
“พี่หญิง เหตุใดพระองค์มิไปที่ห้องโถงแต่มาที่สวนนี้แทนเพคะ ? เมื่อครู่ท่านย่ายังถามถึงพระองค์อยู่เลย”
ซุนเมิ้งอวิ๋นยังมิทันได้กล่าวอันใด ซุนเมิ้งเซียนก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
แม้นางเด็กกว่าอันผิงกงจู่ถึง 2 ปี แต่ก็สนิทสนมกันเป็นอย่างมาก เมื่อฟังจากการสนทนาระหว่างทั้งสองจึงเห็นได้ว่าความสัมพันธ์นั้นดีมากทีเดียว
“เซียนเอ๋อ” ซุนเมิ้งอวิ๋นถลึงตาใส่น้องสาวแต่มิได้เอ่ยตำหนิสิ่งใดออกมา
ซุนเมิ้งอวิ๋นดูเป็นคนเคร่งครัดเรื่องมารยาทมากกว่าซุนเมิ้งเซียน นางคำนับอันผิงกงจู่เสร็จก็ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ท่านย่ากำลังบ่นถึงกงจู่อยู่เลยเพคะ พระองค์ควรเข้าไปหาท่านย่าสักหน่อย มิเช่นนั้นหากท่านย่ารู้ว่าพระองค์มาแต่มิไปหาจักต้องมาตำหนิหม่อมฉันแน่เพคะ”
อันผิงกงจู่ได้ฟังก็ยิ้มตอบ ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความสดใสร่าเริง เวลาที่อยู่ต่อหน้าพวกนางสองคน อันผิงกงจู่หาได้ถือตัวว่าเป็นองค์หญิงไม่ “ก็ข้ามาช้าเลยต้องแอบย่องเข้ามา อีกประเดี๋ยวหากข้าเข้าไปขอโทษท่านย่า พวกเจ้าสองคนต้องช่วยข้าด้วย”
ซุนเมิ้งเซียนรีบตอบรับทันที “พี่หญิงวางใจเถิด ท่านย่ารักพี่ออกปานนั้น นางมิกล้าโกรธพระองค์หรอกเพคะ”
อันผิงกงจู่จึงส่งเสียงรับคำเบา ๆ จากนั้นก็หันมามองอันหลิงเกอด้วยแววตาแฝงประกายแปลกประหลาดบางอย่างเอาไว้
“คุณหนูใหญ่อัน พวกเราเจอกันอีกแล้ว มิทราบว่าช่วงนี้เจ้าสบายดีหรือไม่ ? ”
แม้ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจ แต่อันหลิงเกอสังเกตเห็นความเย็นชาที่แฝงอยู่ในแววตานั้นได้ทันที รู้สึกว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายมิค่อยจริงใจสักเท่าไร
ครั้งก่อนตอนอยู่ในวังหลวง อันผิงใช้ฐานะของตนมาข่มขู่นางให้ไปฝึกธนูด้วย ต้องการให้นางอับอาย สุดท้ายตนกลับขายหน้าต่อหน้าองค์รัชทายาทเสียเอง
ต่อมานางเกลี้ยกล่อมอันผิงให้ไปถามฉางอันอย่างกระจ่างชัด อีกฝ่ายตอนแรกเหมือนจักคล้อยตามและดีกับนางมากขึ้น แต่อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนท่าที เอาแต่ยืนมองนางกับฉางอันสู้กันเอง ทำราวกับตนเป็นคนนอกอย่างไรอย่างนั้น
แสดงให้เห็นว่าอันผิงถือตนเป็นใหญ่และมิเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ตอนนี้กลับมายิ้มแย้มให้นางเช่นนี้ ช่างแปลกเสียจริง
นางรู้สึกแปลกใจยิ่งนักแต่ก็มิได้แสดงสีหน้าใดออกไปและตอบอันผิงกงจู่ไปว่าสบายดีเท่านั้น
อันผิงกงจู่ส่งเสียงร้อง อ๋อ แต่ลากเสียงยาวผิดปกติ “ที่ข้าถามเช่นนี้เพราะได้ยินว่าช่วงนี้แม่ทัพน้อยลู่มักไปหาคุณหนูใหญ่อันบ่อย ๆ แล้วเจ้าจักมิสบายดีได้อย่างไร”
สตรีนางนี้ประหลาดคนเสียจริง เหตุใดถึงได้กล่าววาจาเสียดสีผู้อื่นเช่นนี้
สีหน้าของอันหลิงเกอเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้ใบหน้ายังมีรอยยิ้มแต้มอยู่ แต่แววตาทอประกายเย็นชาออกมา
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็เข้าใจในคำกล่าวของอันผิงกงจู่และรู้ว่าจงใจหาเรื่องอันหลิงเกอ ดังนั้นทุกคนจึงเฝ้าดูท่าทีของอันหลิงเกอด้วยสีหน้ามิปกติ
อันหลิงอีและอันหลิงเฉว่มีท่าทีราวกับได้ดูเรื่องสนุก แววตาเต็มไปด้วยความดีใจที่ได้เห็นสิ่งนี้ อีกทั้งขยับออกห่างจากอันหลิงเกอเล็กน้อย เพื่อที่ตนจักได้มิพลอยรับเคราะห์ไปด้วย
แต่ซินเจียวเจียวที่ยืนอยู่ข้างอันหลิงเกอกลับถลึงตาใส่อันผิงกงจู่โดยไร้ความเกรงกลัวแม้แต่น้อย
“เจ้าพูดเหลวไหลอันใด ? อันหลิงเกอยังบริสุทธิ์และระหว่างนางกับแม่ทัพน้อยลู่ก็บริสุทธิ์ใจต่อกัน เจ้ากล่าวเช่นนี้ออกมาได้เยี่ยงไร ? ”
ฮูหยินหมิงจูเป็นท่านป้าของฝ่าบาท ซินเจียวเจียวถือว่ามีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ของอันผิงกงจู่ แม้อายุของพวกนางไล่เลี่ยกัน แต่ซินเจียวเจียวถือว่าอาวุโสกว่าหนึ่งรุ่น
แม้บรรดาศักดิ์ของนางมิสูงส่งเทียบเท่าอันผิงกงจู่ก็ตาม ทว่าด้วยความที่มีศักดิ์อาวุโสกว่าจึงกล้ากล่าวเช่นนี้กับอีกฝ่ายโดยหาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย
ทว่าอันผิงกงจู่หยิ่งผยองจนเคยตัว นอกจากฮ่องเต้ ฮองเฮา ไทเฮาและองค์รัชทายาทแล้วมิว่าใครก็มิกลัวทั้งนั้น
“เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาตำหนิข้า ? ”
อันผิงกงจู่กล่าวออกมาพร้อมสายตาดูถูกเหยียดหยาม “แค่เด็กกำพร้าที่มิรู้โผล่มาจากที่ใด โชคดีที่ท่านย่าหมิงจูเมตตาจึงรับมาเป็นบุตร นึกว่าตนมีศักดิ์สูงกว่าข้าจริงหรือ ? ”
แม้แต่ท่านตากับท่านยายแห่งจวนติ้งกั๋วกงยังต้องเอาอกเอาใจนาง ซินเจียวเจียวเป็นแค่คนที่โผล่มาจากไหนมิรู้ กล้ามาวางมาดใส่นางช่างน่าขันนัก !
อันหลิงอีจึงอดหัวเราะออกมามิได้ ซินเจียวเจียวอยากปกป้องอันหลิงเกอแต่ตอนนี้โดนอันผิงกงจู่ฉีกหน้าเสียเอง ดูสิว่าต่อไปนางยังกล้าจองหองอีกหรือไม่
เสียงหัวเราะที่อยู่ ๆ ก็ดังขึ้นของนางทำให้ตอนนี้นางกลายเป็นจุดสนใจของเหล่าคุณหนูหลายคน
แววตาของอันหลิงเกอยามมองไปที่อันผิงกงจู่นั้นแสนเย็นชา “จวิ้นจู่เมื่อยังเด็กนั้นโชคร้ายหายตัวไปจนต้องพลัดพลากจากฮูหยินหมิงจูเป็นสิบปี ในที่สุดก็ตามหากันจนพบ อันผิงกงจู่มิดีพระทัยกับฮูหยินหมิงจูก็แล้วไป แต่มากล่าววาจาดูถูกว่าจวิ้นจู่เป็นเด็กกำพร้าได้อย่างไรเพคะ”
“เดิมหม่อมฉันคิดว่าอันผิงกงจู่เป็นถึงราชนิกุล อย่างน้อยคงได้รับการอบรมเลี้ยงดูที่ดี แต่เท่าที่ดูแล้วหม่อมฉันก็คิดผิดไปเอง”
แม้นางมิกล่าวออกมาตรง ๆ ว่าอันผิงไร้มารยาท แต่การที่บอกว่ามองอันผิงผิดไปก็คล้ายเป็นการตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรงแล้ว อีกทั้งคำที่กล่าวออกมาล้วนมิมีคำหยาบคายแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้อันผิงโกรธจนหน้าดำหน้าแดงที่เอาผิดอันใดมิได้