ตอนที่ 313 ใส่ร้าย
“พี่หญิง พวกเราอย่าทะเลาะกันเลยเพคะ”
ซุนเมิ้งเซียนเห็นบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ จึงกล่าวขึ้นมา พร้อมหัวเราะกลบเกลื่อนเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น
แม้นางสนิทสนมกับอันผิงกงจู่มากเพียงใด ทว่าอันหลิงเกอก็ถือเป็นแขกของจวน นางจึงมิสามารถเข้าข้างอันผิงกงจู่อย่างออกนอกหน้าได้
อีกทั้งทุกคนในที่นี้ต่างรู้ดีว่าอันผิงกงจู่เป็นคนเริ่มก่อน หากนางเข้าข้างอันผิงกงจู่ก็เท่ากับว่าช่วยคนของตนโดยไร้เหตุผล
จวนติ้งกั๋วกงของพวกนางมิได้มีกฎเช่นนี้ หากให้ท่านปู่กับท่านย่ารู้เข้าเป็นต้องโดนตำหนิจนหูชาแน่นอน
ซุนเมิ้งเซียนนึกได้ดังนั้นจึงพยายามเกลี้ยกล่อมอันผิงกงจู่ให้ใจเย็นเพื่อมิให้อีกฝ่ายก่อเรื่องอันใดอีก
แต่อันผิงกงจู่ตั้งใจมาหาเรื่องอันหลิงเกอโดยเฉพาะ ย่อมมิมีทางหยุดอยู่แค่นี้เป็นแน่
ซุนเมิ้งเซียนอุตส่าห์หาทางลงให้แล้วแท้ ๆ แต่นางมิแยแสแม้แต่น้อย แววตายังเต็มไปด้วยความยั่วยุ
“หรือข้าพูดผิด ? ข้าเห็นกับตาว่าเจ้าไปนั่งหัวร่อต่อกระซิกกับแม่ทัพน้อยลู่ที่ริมทะเลสาบ มิแปลกใจเลยที่มู่ซื่อจื่อถอนหมั้นเจ้า สตรีที่สนทนากับบุรุษไปทั่วเช่นเจ้า ผู้ใดจักรับได้ ! ”
กล่าวจบก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากบรรดาคุณหนูดังขึ้นทันที
หากสิ่งที่อันผิงกงจู่กล่าวเป็นความจริง เช่นนั้นอันหลิงเกอก็คง…
เดิมทีพวกนางก็มิได้สนิทกับอันหลิงเกออยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำของอันผิงกงจู่ต่างก็คิดว่าอันหลิงเกอเป็นสตรีพรรค์นั้นจริง ๆ
คุณหนูจากตระกูลใหญ่ทั้งหลายย่อมรังเกียจเรื่องเช่นนี้ที่สุด
แววตาของทุกคนมีประกายบางอย่างที่แฝงไว้ด้วยการดูถูกเหยียดหยาม
แววตาของอันหลิงเกอเย็นเฉียบขึ้นมาทันที ดวงตาดำขลับจ้องไปที่อันผิงกงจู่ ภายในดวงตามิบ่งบอกอารมณ์ใดทั้งนั้น ราวกับเหวลึกที่พร้อมดึงดูดผู้คนให้ตกลงไปและยากหาทางกลับขึ้นมาได้ อันผิงกงจู่เมื่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
นางเป็นถึงองค์หญิง แต่อันหลิงเกอบังอาจใช้สายตาเช่นนี้จ้องนาง !
เมื่อโดนแววตาของอันหลิงเกอจ้องมองเช่นนั้น อำนาจของอันผิงกงจู่ราวกับหายไปชั่วขณะ แต่มินานอำนาจนั้นก็กลับมาครอบงำอีกครั้ง
นางวางมาดขององค์หญิงเพื่อให้อันหลิงเกอเกรงกลัว แต่อันหลิงเกอมิรู้สึกรู้สาแม้แต่น้อย ขนตายาวเป็นแพคู่นั้นกะพริบขึ้นลงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงใสกังวานเหมือนกระดิ่งไหลอยู่ในสายน้ำเย็นจักเอ่ยขึ้น
“ความสามารถในการตรัสเหลวไหลของกงจู่พัฒนาขึ้นทุกวัน หากพระองค์ไร้ความสามารถอื่นก็นำความสามารถนี้มาแข่งขันกับคนอื่นได้เลยทีเดียวเพคะ”
ดวงตาสีดำที่เปล่งประกายของนางมิได้เกรงกลัวต่อสิ่งที่อันผิงกล่าวออกมาแม้แต่น้อย
“ระหว่างหม่อมฉันกับแม่ทัพน้อยลู่บริสุทธิ์ใจต่อกัน เหตุใดอันผิงกงจู่ถึงตรัสให้กลายเป็นเรื่องมิดีมิงามไปได้เพคะ?”
ซินเจียวเจียวได้ทีจึงกล่าวสนับสนุนอันหลิงเกอ “หลิงเกอคงมิรู้อันใด อดีตเคยมีคนผู้หนึ่งถามสหายของเขาว่าเขาหน้าเหมือนอันใด สหายบอกว่าเขาเหมือนองค์พระพุทธเจ้า แต่เขาบอกว่าสหายหน้าเหมือนสิ่งปฏิกูล ซึ่งเขามิรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นเพราะสหายมีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ ดังนั้นเห็นอันใดก็เป็นพระพุทธเจ้าไปเสียหมด แต่จิตใจของเขาสกปรก เมื่อเห็นอันใดจึงสกปรกไปหมดนั่นเอง”
อันหลิงเกอที่โกรธเพราะถูกอันผิงพูดใส่ร้าย เมื่อได้ยินคำของซินเจียวเจียวก็อดเผยรอยยิ้มในแววตาออกมามิได้
คำกล่าวของซินเจียวเจียวที่ฟังเหมือนมิมีอันใด ทว่าเมื่อครู่อันหลิงเกอเพิ่งถามอันผิงกงจู่ว่าเหตุใดจึงคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับแม่ทัพน้อยลู่เป็นเรื่องมิดีมิงาม ทำให้ประโยคที่ซินเจียวเจียวกล่าวออกมาเหมือนเป็นการด่าอันผิงกงจู่ทางอ้อมว่ามีความคิดสกปรก
นางลากเสียง อ๋อ ขึ้นมา จากนั้นก็ก้มหน้าลงน้อย ๆ ทำราวกับรู้สึกผิด “ที่แท้เป็นหม่อมฉันเข้าใจกงจู่ผิดไป พระองค์มิได้ตั้งใจใส่ร้ายหม่อมฉัน เพียงแต่นิสัยของกงจู่เป็นเช่นนี้คงแก้มิหายนี่เองเพคะ”
อันผิงถลึงตาด้วยความโมโห ฟังอันหลิงเกอและซินเจียวเจียวที่รับส่งกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำให้นางกลายเป็นคนมีความคิดสกปรกไปเสียได้
นี่จักมากเกินไปแล้ว !
อันผิงรู้สึกคล้ายมีลมบางอย่างตีขึ้นมาจุกอยู่ที่อก เจ็บปวดยิ่งกว่าเวลามีก้างติดอยู่ในลำคอเสียอีก
“พี่หญิงใหญ่ ท่านพูดเยี่ยงนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ ? ”
เมื่อเห็นอันหลิงเกอและซินเจียวเจียวพูดเข้าขากันจนอันผิงกงจู่มิมีจังหวะตอบโต้ อันหลิงเฉว่ที่ยืนดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างจึงเอ่ยขึ้นมา
นางมองไปที่อันผิงกงจู่ครู่หนึ่ง ดวงตาเปล่งประกายพร้อมมีแผนการบางอย่างในใจ
หากวันนี้นางช่วยอันผิงกงจู่ต่อกรกับอันหลิงเกอ นอกจากได้แก้แค้นให้ตนเองแล้วยังถือว่าได้แสดงความมีน้ำใจต่ออันผิงกงจู่อีกด้วย
ดูจากฐานะของนางแล้วถ้ามิคว้าโอกาสนี้ไว้ ต่อไปถ้าอยากเข้าหาคนระดับอันผิงกงจู่ก็ยากยิ่ง
เมื่อคิดได้ดังนั้นอันหลิงเฉว่ก็แสร้งทำตัวไร้เดียงสา “อันผิงกงจู่คงมิได้กล่าวเรื่องของท่านและแม่ทัพน้อยลู่ขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ หากมิมีหลักฐานจักตรัสออกมาเช่นนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
“ใช่ อันหลิงเกอ ข้าเห็นกับตาว่าเจ้าและแม่ทัพน้อยลู่นั่งคุยกันที่ริมทะเลสาบ นึกมิถึงว่าใบหน้าของเจ้าหนาถึงเพียงนี้ โดนข้าเปิดโปงแล้วยังกล้าปฏิเสธอีก ! ”
เมื่ออันหลิงเฉว่แก้สถานการณ์และเปิดโอกาสให้ อันผิงกงจู่จึงรีบพูดในสิ่งที่นางเห็นออกมาทันที
น่าเสียดายที่วันนั้นนางได้แต่ยืนหลบอยู่ในป่าไผ่ของสำนักศึกษาจิงตูจึงเห็นเพียงท่าทางของคนทั้งคู่แต่มิรู้ว่าพวกเขากล่าวอันใดกันบ้าง
อันหลิงเกอคาดมิถึงว่าวันที่ลู่จ้านมาสารภาพรักกับนาง ภาพนั้นจักถูกอันผิงกงจู่เห็นเข้า
แต่นั่นมิใช่เรื่องต้องปิดบังอันใด ระหว่างนางและลู่จ้านมิได้มีอันใดเกินเลยจริง ๆ และมิได้ทำเรื่องอันใดที่ผิดประเพณี
นางยกมุมปากขึ้น รอยยิ้มที่มุมปากแฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ย “อันผิงกงจู่เห็นเพียงหม่อมฉันและแม่ทัพน้อยลู่พบกันที่ริมทะเลสาบ แล้วเหตุใดมิลองตรัสมาว่าวันนั้นพวกเราสนทนาอันใดกันบ้างเพคะ ? ”
จักกล่าวอันใดได้อีกเพราะคงมีแต่คำรักหวานหู !
เพียงแค่นึกถึง อันผิงกงจู่ก็รู้สึกอิจฉาจนแทบคลั่ง ภายในใจของนางร้อนรุ่มจนแทบทนมิไหว
อันหลิงเกอมิได้สนใจว่าตอนนี้นางจักอิจฉาริษยาเพียงใด แต่กล่าวออกไปตามตรงว่า “วันนั้นหม่อมฉันไปรับจุนเกอร์เอ๋อและบังเอิญได้พบเข้ากับแม่ทัพน้อยลู่ อีกอย่างตอนนั้นสำนักศึกษาจิงตูก็ยังมิเลิกเรียน พวกเราจึงได้สนทนากันเล็กน้อย หรือว่าอันผิงกงจู่เห็นหม่อมฉันกับแม่ทัพน้อยลู่ทำสิ่งที่มิควรทำเพคะ ? ”
ลู่จ้านถือเป็นผู้มีพระคุณของอันหลิงเกอ หากทั้งสองคนเจอหน้าแล้วคุยกันมิกี่ประโยคก็ถือเป็นเรื่องปกติ
อันผิงกงจู่จ้องอันหลิงเกอด้วยแววตาเคียดแค้นจนแทบอยากฆ่าให้ตายไปเสียตอนนี้
ทั้งสองคนมิได้ทำสิ่งที่มิควรทำจริง ๆ แต่แววตาอบอุ่นและลึกซึ้งที่ลู่จ้านมองอันหลิงเกอนั้นเห็นได้ชัดว่าเขาชอบอันหลิงเกอมากเพียงใด !
นางอุตส่าห์ไล่ตามลู่จ้านอย่างยากลำบาก ลู่จ้านกลับไปชอบอันหลิงเกอง่าย ๆ ต้องเป็นเพราะอันหลิงเกอยั่วยวนเขาอย่างแน่นอน !
แต่เรื่องเช่นนี้นางจักกล่าวออกไปได้อย่างไร ?
เมื่อนึกเช่นนั้น อันผิงกงจู่ก็รู้สึกรับมิได้และอันหลิงเกอต้องรู้แน่ว่านางคิดอย่างไรกับลู่จ้านจึงตั้งใจยั่วยวนเขาเพื่อมาแก้แค้นนางเช่นนี้