ตอนที่ 314 ศัตรูคนเดียวกัน
มุมปากของอันผิงกงจู่เผยรอยยิ้มที่แฝงการเย้ยหยัน แววตาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
นางพยักหน้ารับราวกับเห็นด้วย จากนั้นจึงลากเสียงแล้วกล่าวต่อไปว่า “อ้อ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ข้านึกว่าพวกเจ้านัดพบกันที่ริมทะเลสาบเพื่อไปทำเรื่องมิควรทำเสียอีก”
จากนั้นนางก็มิรอให้อันหลิงเกอได้แก้ตัวก็กล่าวต่อทันที “แต่อันหลิงเกอ เจ้าเป็นคนฉลาดย่อมรู้ดีว่าเรื่องใดสมควรทำและเรื่องใดมิสมควรทำ”
นางทำเหมือนจักปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป ทว่าก็ข่มขู่อันหลิงเกออยู่ดี
จากนั้นซุนเมิ้งอวิ๋นจึงกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “แค่เรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น ตอนนี้ทุกคนเข้าใจกันได้ก็ดีแล้วเพคะ”
ซุนเมิ้งอวิ๋นและซุนเมิ้งเซียนในฐานะเป็นเจ้าบ้านย่อมปล่อยให้เกิดบรรยากาศชวนอึดอัดมิได้ นางรีบพูดไกล่เกลี่ยพร้อมหัวเราะกลบเกลื่อนออกมา
คุณหนูคนอื่นก็พลอยหัวเราะเพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น จากนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนาทันที มีเพียงอันหลิงอีและอันหลิงเฉว่เท่านั้นที่ฉายแววมิพอใจออกมา ทั้งสองคนสบตากันครู่หนึ่งจากนั้นจึงมองไปทางอันผิงกงจู่
อันผิงกงจู่มิยอมปล่อยอันหลิงเกอไปโดยง่ายเช่นนี้อยู่แล้ว แต่นางรู้ดีว่าถ้าสู้กันด้วยวาจา นางคงสู้ความเจ้าสำนวนของอันหลิงเกอมิได้ สุดท้ายก็คงมีแต่พ่ายแพ้
ถ้ามัวต่อปากต่อคำกับอันหลิงเกอเช่นนี้ย่อมไร้ทางชนะ สู้เอาเวลาไปคิดแผนการทำลายอันหลิงเกอให้ย่อยยับไปเลยจักดีกว่า !
ดวงตาของอันผิงกงจู่เปล่งประกายขึ้นมา พวกคุณหนูที่เป็นสหายกับนางต่างรีบเดินเข้ามาหาด้วยความกระตือรือร้น
เพื่อต้องการประจบเอาใจอันผิงกงจู่ เพียงมินานรอบกายขององค์หญิงก็รายล้อมไปด้วยเหล่าคุณหนู
อันผิงกงจู่แม้รู้เหตุผลที่พวกนางมาห้อมล้อมตนเช่นนี้ก็มิได้กล่าวสิ่งใด นางแค่กวักมือเรียกหนึ่งในคนเหล่านั้นมาแล้วกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของอีกฝ่าย
คนผู้นั้นเมื่อได้ยินสิ่งที่อันผิงกระซิบบอก แววตาก็ฉายความตื่นตระหนกขึ้นมาทันที สีหน้าดูลำบากใจมิน้อย
“เจ้ามิอยากทำเรื่องนี้หรือ ? ” เมื่ออันผิงกงจู่เห็นสีหน้าของนางก็ส่งเสียง หึ ออกมาทันที “หากเจ้ามิอยากทำ ข้าจักให้คนอื่นทำแทน”
“มิใช่ มิใช่เพคะ” คนผู้นั้นรีบโบกมือไปมาทันที นี่เป็นโอกาสสำคัญในการประจบเอาใจอันผิงกงจู่ จักปล่อยให้ผู้อื่นคว้าโอกาสนี้ได้อย่างไร?
นางยิ้มออกมาอย่างประจบสอพลอพลางเหลือบมองไปทางอันหลิงเกอแล้วกระซิบออกมาเบา ๆ “หม่อมฉันแค่นึกว่าอันหลิงเกอดูเป็นคนระมัดระวังตัว หากอยากกลั่นแกล้งนางก็เกรงว่ามิง่ายเพคะ”
“เรื่องนั้นเจ้ามิต้องสนใจ” อันผิงเริ่มรู้สึกรำคาญ “เจ้าแค่ทำหน้าที่ให้ดีก็พอ ส่วนเรื่องอื่นจักมีคนจัดการเอง เจ้ามิต้องยุ่ง”
ในขณะที่อันผิงกงจู่กำลังตรัสก็มองอันหลิงเกอไปด้วยและเมื่อเห็นว่ารอบกายของอีกฝ่ายก็มีคนคอยห้อมล้อมอยู่ ดวงตาจึงฉายแววร้ายกาจออกมาทันที
แม้บอกว่ามีแต่คนคอยประจบอันผิง ทว่าก็ยังมีเหล่าคุณหนูที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมิน้อย เมื่อได้เห็นท่าทางหยิ่งผยองของอันผิงเมื่อสักครู่ก็ทำให้หลายคนมิอยากเข้าใกล้อีก
แต่ไปสนใจในตัวของอันหลิงเกอแทน พวกนางต่างชวนคุยและถามไถ่เรื่องต่าง ๆ จากอันหลิงเกอจนดูวุ่นวายไปหมด
“คุณหนูใหญ่อัน ได้ยินว่าฝีมือการแพทย์ของท่านยอดเยี่ยมยิ่งนัก มิทราบว่าท่านไปเล่าเรียนมาจากที่ใดหรือ?”
“ใช่แล้ว ข้ายังได้ยินท่านแม่บอกว่ายาของท่านช่วยชีวิตราษฎรต้าโจวเอาไว้มากมายอีกด้วย”
“ท่านแม่ยังบอกอีกว่าวัน ๆ ข้าเรียนแต่เรื่องชงชาและเย็บปักถักร้อยล้วนมิมีประโยชน์ สู้ให้ข้าเรียนรู้จากท่านยังดีเสียกว่า”
เสียงที่นุ่มนวลของเหล่าคุณหนูทำให้รู้สึกได้ว่าพวกนางประสงค์ดี อันหลิงเกอจึงยกยิ้มขึ้นและค่อย ๆ ตอบคำถามของพวกนางทีละคน
ท่าทางของนางดูอ่อนโยน น้ำเสียงที่กล่าวออกมาแม้มิได้เป็นเสียงที่นุ่มนวลมากนักแต่ก็กล่าวอย่างใจเย็น ยิ่งทำให้เหล่าคุณหนูที่รายล้อมอยู่รู้สึกชมชอบและรู้สึกดีกับอันหลิงเกอมากขึ้น
ยิ่งพวกนางครึกครื้นกันมากเท่าไร ภายในใจของอันหลิงอีและอันหลิงเฉว่ก็รู้สึกมิพอใจมากเท่านั้น
โดยเฉพาะอันหลิงอี เมื่อก่อนตอนที่มารดาพานางมาออกงานเลี้ยงก็มักหาข้ออ้างต่าง ๆ เพื่อขัดขวางมิให้อันหลิงเกอได้ออกจากจวน ทำให้ฮูหยินและบรรดาคุณหนูพวกนั้นเข้าหานาง ชมว่านางน่ารักน่าเอ็นดูและฉลาดหลักแหลม
ตอนนี้กลับมิมีใครเหลียวแลนางเลย ในขณะที่อันหลิงเกอได้รับการต้อนรับอย่างดีจากทุกคน อันหลิงเกอแย่งความสนใจไปจากนาง !
ความเคียดแค้นในดวงตาของอันหลิงอีราวกับเปลวไฟที่ใกล้ปะทุออกมาเต็มทน มือที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่น ใบหน้าแสดงความมิพอใจออกมาอย่างชัดเจน
ขณะที่นางกำลังโมโหอยู่นั้น อยู่ ๆ ก็มีคุณหนูที่สวมชุดสีเหลืองอ่อนเดินมาหา
“เจ้าเป็นคุณหนูจวนโหวนี่นา เหตุใดจึงมาอยู่ตรงนี้ ? พี่สาวเจ้าอยู่ตรงนั้นแล้วเหตุใดเจ้ามิไปคุยกับนางเล่า ? ”
นางคือหนึ่งในคนที่ห้อมล้อมอันผิงกงจู่เมื่อสักครู่ หลังได้รับคำสั่งแล้วจึงตั้งใจเข้าหาอันหลิงอีทันที
อันหลิงอีมิทันสังเกตความเคลื่อนไหวทางฝั่งอันผิงกงจู่ แต่เมื่อมองไปยังคนที่อยู่เบื้องหน้าชัด ๆ แล้วนางก็จำผู้หญิงคนนี้ได้ทันที อีกฝ่ายเป็นบุตรสาวของเสนาบดีสำนักตรวจสอบพระราชโองการมีนามว่าเจียวซูหมิ่นนั่นเอง
ทว่าเจียวซูหมิ่นแต่ไหนแต่ไรมาก็ถือตัวว่าเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกและมักดูถูกบรรดาบุตรที่เกิดจากอนุภรรยา เหตุใดวันนี้ถึงเข้ามาคุยกับนางได้ ?
นี่ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่งกว่าการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเสียอีก
อันหลิงอีรู้สึกแปลกใจและมิชอบในสิ่งที่เจียวซูหมิ่นกล่าวจึงตอบกลับทันที “รอบตัวพี่หญิงใหญ่มีคนห้อมล้อมเยอะถึงเพียงนั้น ข้าจักเข้าไปวุ่นวายเพื่อเหตุใด”
แม้กล่าวเช่นนี้ แต่เจียวซูหมิ่นกลับเห็นถึงความรังเกียจที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของอันหลิงอีได้อย่างชัดเจน
มุมปากของเจียวซูหมิ่นโค้งขึ้นทันที แต่เกรงว่าอันหลิงอีจักเห็นจึงรีบเม้มริมฝีปากซ่อนรอยยิ้มเอาไว้
มองแล้วที่อันผิงกงจู่ตรัสไว้มิผิดนัก น้องสาวต่างมารดากับอันหลิงเกอมีความสัมพันธ์ที่มิดีต่อกันสักเท่าไร
คิดแล้วก็จริงตามนั้น เพราะนับแต่โบราณก็มักเกิดความขัดแย้งระหว่างบุตรของภรรยาเอกและบุตรของอนุมาโดยตลอด อันหลิงเกอเป็นบุตรภรรยาเอก ส่วนอันหลิงอีเป็นบุตรที่เกิดจากอนุภรรยา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางย่อมมิลงรอยกันอยู่แล้ว
มิเช่นนั้นอันหลิงเกอที่ตอนนี้อายุปาเข้าไป 15 ปีแล้วคงมิเพิ่งมามีชื่อเสียงในเมืองหลวงแค่ช่วงมิกี่เดือนนี้หรอก ต้องโดนหลี่ซื่อคอยกดข่มไว้ในจวนตลอดเวลาแน่นอน
เพียงแต่บัดนี้อันหลิงเกอเป็นที่ยอมรับและโดดเด่นมากขึ้น ทำให้ซื่อกดไว้มิได้อีกจึงทำให้อันหลิงเกอได้แสดงความสามารถต่อหน้าผู้คนครั้งแล้วครั้งเล่า
เจียวซูหมิ่นนึกได้ดังนั้นก็แสร้งทำเป็นกล่าวโดยมิได้คิดอันใด “คุณหนูใหญ่อันเก่งจริง อายุเพียงเท่านี้ก็ได้เป็นหมอหญิงเพียงคนเดียวของสำนักหมอหลวง แม้ดูมิค่อยเหมาะสม แต่สตรีหลายคนก็อิจฉาที่นางได้รับเกียรตินี้ทั้งนั้น แต่คุณหนูใหญ่โดดเด่นถึงเพียงนี้ก็น่าสงสารน้องสาวเยี่ยงพวกเจ้าเพราะถูกแสงของนางบดบังเสียหมด ต่อไปผู้ใดยังจดจำได้อีกว่าเจ้าก็เป็นยอดหญิงที่มีความสามารถเช่นกัน ? ”
คำพูดนี้แทงใจดำของอันหลิงอีเข้าอย่างจัง เพราะมีหลายต่อหลายคนพากันกล่าวเช่นนี้จึงทำให้อันหลิงอีคล้อยตามเจียวซูหมิ่นและมิคิดระวังอีกฝ่ายอีก
ใช่แล้ว ตอนนี้ใครต่างก็พากันกล่าวว่าอันหลิงเกอฉลาดหลักแหลมและมีความสามารถมากเพียงใด จนลืมไปหมดแล้วว่าพวกตนก็เคยชื่นชมอันหลิงอีคนนี้เช่นกัน