ตอนที่ 315 ยุยงมิเป็นผล
เมื่อเห็นสีหน้าของอันหลิงอีดูแย่ลง ดวงตาของเจียวซูหมิ่นก็เป็นประกายขึ้น นางขยับเข้าไปข้างกายของอันหลิงอี “ข้ารู้ว่าเจ้ามิพอใจ ข้าเองก็มิสามารถทนมองท่าทางภาคภูมิใจเสียเต็มประดาของนางได้ นางทำราวกับว่าแค่รู้วิชาแพทย์เพียงผิวเผินก็เก่งกาจจนมิเห็นหัวผู้ใดแล้ว”
อันหลิงอีพยักหน้าเห็นด้วยทันที ในสายตาของนางคืออันหลิงเกอมิเห็นหัวผู้ใดจริง ตอนอยู่ในจวนก็บีบนางและมารดาจนแทบไร้ที่ยืน
“ข้ามีวิธีที่จักทำให้เจ้าได้ระบายความโกรธ มิทราบว่าเจ้าอยากฟังหรือไม่ ? ”
อันหลิงอีเผยท่าทีหวาดระแวงขึ้นมาพร้อมมองเจียวซูหมิ่นอย่างมิไว้ใจ “เหตุใดเจ้าต้องช่วยข้า ? ”
แม้นางเป็นคนมุทะลุ แต่ก็มิใช่คนไร้สมอง
เจียวซูหมิ่นมิได้สนิทกับนาง แต่มาคิดวิธีให้นางเอาคืนอันหลิงเกอ เรื่องนี้ช่างน่าสงสัยยิ่งนัก
เมื่อโดนสายตาของอันหลิงอีมองอย่างจับผิด เจียวซูหมิ่นก็ทำอันใดมิถูกเสียดื้อ ๆ แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของอันผิงกงจู่ก็เกิดความกล้าขึ้นมาอีกครั้ง จึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ “ข้าบอกแล้วว่าข้ามิชอบท่าทางเย่อหยิ่งมิเห็นหัวผู้ใดของอันหลิงเกอ ดังนั้นจึงอยากสั่งสอนนางบ้างก็เท่านั้น”
“ในเมื่อเจ้ามีวิธี เช่นนั้นเจ้าก็ไปทำเองสิ” อันหลิงอีมองเจียวซูหมิ่นด้วยสายตาเย็นชา
เจียวซูหมิ่นเห็นว่าเกลี้ยกล่อมมิสำเร็จจึงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “ครั้งก่อนที่ข้าไปร้านเฉิงอีฝางก็ถูกใจเสื้อตัวหนึ่ง เดิมข้าได้จ่ายมัดจำไปแล้ว แต่อันหลิงเกออาศัยที่ตนมีความดีความชอบจึงไปหาเจ้าของร้านและแย่งเสื้อตัวนั้นไป ข้าโกรธนางมาก ดังนั้นจึง…”
ใบหน้าของนางเผยความอัดอั้นตันใจทั้งยังแฝงไว้ด้วยความโกรธแค้น เพียงแต่ภายในแขนเสื้อที่อันหลิงอีมองมิเห็นคือนางกำลังกำหมัดแน่นเพื่อระงับความตื่นเต้นอยู่
เหตุผลเช่นนี้ต่างหากที่จักสามารถเกลี่ยกล่อมอันหลิงอีได้สำเร็จ เมื่อได้ฟังดังนั้้นอันหลิงอีจึงนิ่งไปชั่วครู่ “วิธีของเจ้าต้องทำอย่างไร ? ”
ขณะที่พวกนางกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่นั้น อันผิงกงจู่ก็สั่งหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างอีกคนหนึ่งล่ออันหลิงเกอไปที่ศาลาริมทะเลสาบ
อันหลิงเกอที่เพิ่งไปถึงศาลายังมิทันได้คุยอันใดกับซินเจียวเจียวก็เห็นอันหลิงอีเดินเข้ามาหา และข้างกายอีกฝ่ายยังมีหญิงสาวอีกคนเดินตามมาด้วย
สตรีนางนั้นมีใบหน้ารูปไข่ คิ้วเรียวยาวรับกับดวงตาสุกสกาว มีจมูกที่ค่อนข้างเล็ก ทว่าริมฝีปากแดงอวบอิ่ม เมื่อมองโดยรวมแล้วถือเป็นคนตัวเล็กที่ดูน่ารักมิเบา แต่มีท่าทางคล้ายคนร่างกายอ่อนแอเพราะขณะที่ค่อย ๆ เดินมานั้น ร่างอ้อนแอ้นดูราวกับสามารถปลิวไปตามลมจนคนที่พบเห็นอดคอยดูแลคุ้มครองมิได้
แม้ดวงตาที่อีกฝ่ายค่อย ๆ กวาดมองมาทางอันหลิงเกอจักทอประกายขัดเคืองอยู่เล็กน้อย แต่ก็มิได้ทำให้ความงามลดลงไปเลย
ต่อให้มายืนอยู่ข้างสตรีที่งดงามเยี่ยงอันหลิงเกอก็มิรู้สึกว่าด้อยกว่าแต่อย่างใด ท่าทางแสนเฉพาะตัวนี้ทำให้คนมิอาจมองข้ามนางไปได้จริง ๆ
“คุณหนูเฉิน ท่านนี้คือพี่หญิงใหญ่ของข้าเอง” อันหลิงอีแนะนำอันหลิงเกอให้รู้จักกับหญิงสาวคนนั้นพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงพูดอย่างรู้สึกเสียดายว่า “พี่หญิงใหญ่เก่งมาก เคยแสดงที่งานเลี้ยงในวังจนเป็นที่เลื่องลือมาแล้ว ทั้งยังได้รับคำชมจากฝ่าบาทอีกด้วย น่าเสียดายที่ตอนนั้นท่านมิสบายจึงมิได้ไปร่วมงาน มิเช่นนั้นต้องตะลึงในความสามารถของพี่หญิงใหญ่เป็นแน่”
อันหลิงอีที่อยู่ ๆ ก็เอ่ยชื่นชมอันหลิงเกอขึ้นมา ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกประหลาดใจทันที มิรู้เหตุใดเวลาเห็นท่าทางเช่นนี้ของอันหลิงอีแล้วจึงอยากหัวเราะออกมา
นางฝืนเก็บรอยยิ้มไว้เพื่อรอดูว่าอันหลิงอีต้องการทำอันใดต่อ
หญิงสาวที่ดูท่าทางอ่อนแอคนนั้นทำแค่ส่งเสียงตอบรับ จากนั้นก็มองมาทางอันหลิงเกอครู่หนึ่ง
แม้นางหันมามองอันหลิงเกอแค่ปราดเดียว แต่อันหลิงเกอก็ยังสังเกตเห็นความเหยียดหยามที่อยู่ในดวงตาของนางได้
อันหลิงอียังกล่าวต่อไปราวกับมิได้รู้สึกในสิ่งใด “แล้วพี่หญิงใหญ่ยังวาดภาพเลียนแบบภาพเด็กหรรษาของอาจารย์จางได้ด้วย ติ้งกั๋วกงยังตกตะลึงกับภาพวาดของนางอยู่เลย คุณหนูเฉินก็ชอบในตัวอักษรและภาพวาดเช่นกัน หากคารวะพี่หญิงใหญ่เป็นอาจารย์แล้ว ภาพวาดของท่านต้องพัฒนาไปมากแน่ ๆ ”
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มคล้ายกำลังชื่นชมอันหลิงเกออยู่ แต่คำกล่าวเช่นนี้ใครฟังแล้วก็คงดีใจมิออกทั้งนั้น นี่มิใช่คำชมทั่วไปทว่าเป็นการสร้างศัตรูให้อันหลิงเกอต่างหาก
อันหลิงเกอที่เพิ่งขมวดคิ้วเมื่อเห็นคุณหนูเฉินมองอย่างดูถูกเมื่อสักครู่ พอหันมามองคุณหนูเฉินตรง ๆ อีกครั้ง สายตาที่มองมาในครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยความรังเกียจราวกับเห็นคนมีชื่อเสียงจอมปลอมอย่างไรอย่างนั้น
“ที่แท้ก็คือเจ้านี่เอง” ในที่สุดคุณหนูเฉินผู้อ่อนแอก็เปิดปากพูดออกมา เสียงที่เปล่งเบาราวกับเมฆล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า เพียงแต่ในน้ำเสียงช่างมิเป็นมิตรเอาเสียเลย
เมื่อครู่นางออกจากงานไปพักหนึ่ง พอกลับเข้ามาจึงรู้แค่ว่ามีคนวาดเลียนแบบภาพของอาจารย์จางทำให้ติ้งกั๋วกงหลบแขกฝั่งบุรุษเพื่อมาดูหน้าคนที่วาดภาพ ที่แท้คืออันหลิงเกอเอง
เฉินเฉินได้รู้เช่นนี้ก็เกิดความรู้สึกมิพอใจขึ้นมาทันที
นางร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็กจึงชำนาญแค่ด้านอักษรและภาพวาด โดยเฉพาะในด้านการวาดภาพนับเป็นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในชีวิต นางและจางหว่านหยียังถูกชมว่าเป็นคู่ยอดหญิงงามเพราะการเขียนอักษรของจางหว่านหยีไร้ผู้เทียบเทียม ส่วนภาพวาดของนางก็มิเป็นรองใคร
แต่บัดนี้อันหลิงอีกล่าวว่าภาพวาดเลียนแบบอาจารย์จางของอันหลิงเกอถึงขนาดทำให้ผู้หลงใหลในภาพวาดเยี่ยงติ้งกั๋วกงตกตะลึงได้ แม้แต่นางเองก็ยังมิเคยทำให้ติ้งกั๋วกงมีอาการเช่นนั้นมาก่อน อันหลิงเกอเก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
คิ้วที่เรียวยาวของเฉินเฉินขมวดขึ้นทันที ความขัดเคืองที่อยู่ภายในดวงตาเข้มขึ้น นางประเมินอันหลิงเกออย่างเงียบ ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูมิใช่คนที่สนใจในตำราก็ยิ่งมั่นใจว่าอันหลิงเกอไร้ความรู้เรื่องภาพวาดลึกซึ้งเท่าตนอย่างแน่นอน
“คุณหนูใหญ่อัน ข้าได้ยินว่าเจ้าชำนาญทั้งด้านอักษรและภาพวาด มิทราบว่าข้าพอจักแลกเปลี่ยนความรู้กับเจ้าได้หรือไม่ ? ”
อันหลิงเกอยังมิทันกล่าวสิ่งใด อันหลิงอีที่อยู่ข้าง ๆ ก็รีบกล่าวขึ้นมา “พี่หญิงใหญ่มิได้เก่งแค่เรื่องอักษรและภาพวาดเท่านั้น ฝีมือการยิงธนูของนางก็มิเลว”
เฉินเฉินเหลือบมองอันหลิงอีอีกครั้งแต่มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา นางเพียงหันกลับมาจ้องอันหลิงเกอต่อ
อันหลิงเกอมองออกว่าอันหลิงอีต้องการยุยงพวกนาง แต่นางก็มิได้ตอบโต้เพียงยิ้มให้เท่านั้น “ข้าแค่มีทักษะการวาดภาพขั้นพื้นฐานเท่านั้น นับว่าชำนาญมิได้หรอก ส่วนที่ทำให้ติ้งกั๋วกงตกตะลึงก็เพราะข้าวาดเลียนแบบภาพของอาจารย์จาง ท่านติ้งกั๋วกงเห็นดังนั้นคงอยากยืมภาพของจริงจากข้าไปดูเท่านั้นเอง”
นางแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนออกมา พร้อมแอบคาดเดาฐานะของเฉินเฉินอยู่ในใจ
ชาติก่อนนางโดนหลี่อี๋เหนียงเป่าหูไปวัน ๆ จึงอยู่แต่ภายในจวน งานเลี้ยงต่าง ๆ ล้วนมิเคยได้เข้าร่วมเหมือนคนอื่น คนที่รู้จักจึงมีมิมาก แต่นางก็เคยได้ยินชื่อเสียงของคู่ยอดหญิงงามมาบ้าง เมื่อรวมกับคำที่อันหลิงอีใช้เรียกผู้หญิงคนนี้ว่าคุณหนูเฉิน อันหลิงเกอก็เดาได้ทันทีว่าเป็นใคร คงหนีมิพ้นหลานสาวของราชครูในองค์รัชทายาทนั่นเอง
“อีกทั้งชื่อเสียงของคุณหนูเฉินยังเป็นที่เลื่องลือ เห็นได้ชัดว่ามีฝีมือยอดเยี่ยมเพียงใด ถึงขั้นทำให้ทุกคนยอมรับด้วยใจจริงเช่นนี้ได้ หลิงเกอมิกล้าโอ้อวดต่อหน้าคุณหนูเฉินหรอก”