ตอนที่ 317 ดิ้นมิหลุด
“คุณหนูเจียว เจ้ามีความแค้นอันใดกับคุณหนูเฉินอย่างนั้นหรือ เหตุใดเจ้าต้องทำร้ายนางเช่นนี้ ? ”
ซุนเมิ้งอวิ๋นก็เชื่อสายตาตนเองเช่นกัน ท่าทางของนางจึงเคร่งขรึมและไร้ท่าทียิ้มแย้มแจ่มใสเช่นในตอนแรก
หากมิใช่เพราะสาวใช้ของอันหลิงเกอลงไปช่วยเฉินเฉินได้ทันเวลา มิแน่วันนี้อาจมีคนเสียชีวิตในจวนของตนก็ได้
หรือต่อให้ช่วยเฉินเฉินเอาไว้ได้ จวนติ้งกั๋วกงของนางก็เกิดเรื่องขึ้นจริงอยู่ดี
หากท่านราชครูแห่งองค์รัชทายาททราบว่าหลานสาวคนโปรดเกือบเอาชีวิตมิรอด เขาจักยอมปล่อยเรื่องนี้โดยง่ายอย่างนั้นหรือ ?
ดังนั้นซุนเมิ้งอวิ๋นจึงชิงหาตัวคนที่ทำร้ายเฉินเฉินก่อน เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบของจวนติ้งกั๋วกง
“ไม่ ข้ามิได้ทำ”
สถานการณ์ของเจียวซูหมิ่นเริ่มมิดีเพราะมองจากท่าทางของซุนเมิ้งอวิ๋นแล้วเหมือนต้องการโยนเรื่องนี้ให้เป็นความผิดของนาง เจียวซูหมิ่นจึงหันไปหาอันผิงกงจู่อย่างต้องการความช่วยเหลือ
ทว่าอันผิงกงจู่ทำเหมือนมิรู้ว่าด้านนี้เกิดเรื่องขึ้น นางจึงมิหันมามองแม้แต่น้อย
เจียวซูหมิ่นจึงตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ที่จริงแล้วนางทำตามคำสั่งของอันผิงกงจู่ แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นจริงแล้วองค์หญิงทำราวมิใช่เรื่องของพระองค์ ส่วนนางก็มาโดนกล่าวหาว่าเป็นคนร้ายเสียเอง !
“เมิ้งอวิ๋น เจ้าต้องเชื่อข้า ข้ามิได้ผลักคุณหนูเฉินตกน้ำจริง ๆ ” เจียวซูหมิ่นกล่าวไปพลางก็พยายามนึกถึงตอนที่เกิดเรื่องไปด้วย เพื่อจักได้หาสิ่งที่มายืนยันความบริสุทธิ์ของตน
แต่มิว่านึกเท่าไรก็มิสามารถหาหลักฐานใดมายืนยันได้ มีเพียงทางเดียวคือต้องลากอันหลิงอีมาด้วยเท่านั้น “เมื่อครู่อันหลิงอีก็อยู่ตรงนี้ หากมิเชื่อพวกเจ้าก็ถามนางได้”
หนึ่งในนั้นพ่นเสียงหัวเราะออกมา ใบหน้าดูขำขันกับสิ่งที่ได้ยิน “คุณหนูเจียว เมื่อครู่เจ้ายังโยนความผิดให้อันหลิงอีอยู่เลย ตอนนี้จักให้อันหลิงอีเป็นพยานเสียแล้ว เจ้ามิอายบ้างหรืออย่างไร”
“นางกล้าผลักคุณหนูเฉินตกน้ำได้ คนใจดำอำมหิตเยี่ยงนี้ย่อมหน้าหนาอยู่แล้ว”
ทุกคนเริ่มส่งเสียงวิจารณ์เบา ๆ พูดไปก็มองหน้าเจียวซูหมิ่นไปด้วย สายตารังเกียจที่มองมาทำให้เจียวซูหมิ่นกล่าวอันใดมิออก นางจึงรู้สึกลำคอแห้งผากขึ้นมา
อันผิงกงจู่คิดแผนการนี้ ส่วนอันหลิงอีก็เป็นคนลงมือ เหตุใดนางจึงกลายเป็นคนผิดได้เล่า ?
ตอนนี้อันผิงกงจู่มิยอมออกหน้าให้ ก็มีเพียงอันหลิงอีเท่านั้นที่จักช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของนางได้
เจียวซูหมิ่นนึกได้ดังนั้นก็หันไปมองอันหลิงอี เสี้ยวเวลาที่ทั้งสองสบตากันนางก็ส่งสายตาข่มขู่ออกมาทันที
หากอันหลิงอีมิยอมช่วย นางก็จักเปิดโปงเรื่องราวทั้งหมด ถ้าจักตายก็ต้องตายด้วยกันทุกคน อย่างไรนางก็มิยอมโดนกล่าวหาคนเดียวเป็นแน่
อันหลิงอีเข้าใจความหมายในสายตาของเจียวซูหมิ่นดี นางยังนึกอยู่ว่าเจียวซูหมิ่นช่างโง่เง่า แค่ผลักอันหลิงเกอให้ตกน้ำยังทำมิสำเร็จ
ทำเรื่องนี้มิสำเร็จยังพอทน แต่ดันถูกอันหลิงเกอจับได้อีก
หากมิกลัวว่าจักถูกเจียวซูหมิ่นเปิดโปง อันหลิงอีก็อยากให้เจียวซูหมิ่นโดนเข้าใจผิดเช่นนี้ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ผู้ใดใช้ให้โง่ขนาดนี้กันเล่า
“เมื่อครู่ข้าก็อยู่ข้างคุณหนูเฉิน มิเห็นว่าคุณหนูเจียวผลักคุณหนูเฉินเลย นางเพิ่งยื่นมือออกมาหลังจากที่คุณหนูเฉินตกน้ำไปแล้วต่างหาก คล้ายว่ากำลังช่วยดึงคุณหนูเฉินไว้แต่ดึงมิทันมากกว่า”
สมองของอันหลิงอีประมวลผลอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวนางก็หาข้ออ้างจนได้
เจียวซูหมิ่นที่ร้อนรนจนสมองขาวโพลนคิดอันใดมิออก เมื่อได้ยินคำกล่าวของอันหลิงอีจึงได้สติขึ้นมา “ใช่แล้ว เมื่อครู่ข้าเห็นคุณหนูเฉินยืนอยู่ตรงนั้นท่าทางเหมือนกำลังตกลงไปจึงอยากยื่นมือไปดึงเอาไว้ แต่ผู้ใดจักนึกว่าในสายตาของคุณหนูใหญ่อันเห็นว่าข้าเป็นคนผลักคุณหนูเฉินเสียได้”
ตอนนี้นางได้เอาคำพูดเมื่อครู่ของซินเจียวเจียวมาโยนใส่อันหลิงเกอแทน ดังเช่นที่ซินเจียวเจียวบอกว่าคนมีจิตใจเช่นไรก็จักเห็นเป็นเช่นนั้น นางมีเจตนาดีอยากช่วยดึงเฉินเฉินเอาไว้มิให้ตกลงไป แต่อันหลิงเกอมองว่านางเป็นคนผลักเฉินเฉินตกน้ำ เหมือนต้องการสื่อว่าอันหลิงเกอมีจิตใจชั่วร้ายจึงมองคนอื่นในแง่ร้ายเช่นนี้
นางอยากพาตัวเองออกจากเรื่องนี้ แต่เฉินเฉินกลับขวางเอาไว้
ใบหน้าที่ซีดเซียวของเฉินเฉินฉายแววโมโหออกมาจนแก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ “เจ้ากล่าววาจาเหลวไหลเก่งเสียจริง เห็นข้าเป็นเด็กสามขวบที่เล่นอันใดมิรู้เรื่องรู้ราวจนตกน้ำเองได้หรือ ? ”
แม้นางยังมิแน่ใจว่าผู้ใดเป็นคนผลัก แต่ความรู้สึกโดนผลักก่อนตกน้ำจึงมั่นใจว่าต้องมีคนตั้งใจทำร้ายตนเป็นแน่
เจียวซูหมิ่นตอบราวกับเป็นผู้บริสุทธิ์ “ข้าจักรู้หรือว่าเหตุใดคุณหนูเฉินตกน้ำ ? ตอนนั้นเราสองคนมิได้ยืนใกล้กันมากนัก หากข้าผลักเจ้าจริงก็ต้องมีหลายคนเห็นแล้วสิ จักมีแค่คุณหนูใหญ่อันเห็นเพียงคนเดียวได้อย่างไร ? ”
พอหาข้ออ้างได้แล้วก็กล่าวได้อย่างไหลลื่น “ข้ารู้ดีว่าคุณหนูเฉินปกติเป็นคนทะนงตน ต่อให้ท่านมิยอมรับว่าเมื่อครู่ข้าอยากช่วยท่านเอาไว้ก็มิควรมาใส่ร้ายข้าเช่นนี้ ช่างทำให้ข้าปวดใจยิ่งนัก”
ปกติแล้วเฉินเฉินก็มิชอบคบค้าสมาคมกับใครอยู่แล้วจึงมิมีทางสู้ฝีปากของเจียวซูหมิ่นได้ แค่เจอคำพูดมิกี่ประโยคก็ไปมิเป็น ทำได้เพียงหายใจแรงด้วยความโกรธและมีสีหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าเดิมจนสาวใช้ต้องรีบพัดให้เพื่อจักได้ใจเย็น มิอย่างนั้นเกรงว่าอาจหมดสติไปได้
อันหลิงเกอบังเอิญเห็นสายตาราวกับดีใจของเจียวซูหมิ่นจึงเงยหน้าขึ้นถามว่า “ถ้าเช่นนั้นเมื่อครู่ตอนที่คุณหนูเฉินกำลังใกล้ตกน้ำ คุณหนูเจียวก็เห็นอยู่แล้วใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่” เจียวซูหมิ่นมิได้รู้สึกว่าคำถามของอันหลิงเกอมีอันใดผิดสังเกตจึงตอบรับทันที “แม้ข้าและคุณหนูเฉินมิได้สนิทกัน แต่เมื่อเห็นว่านางกำลังจักตกลงไป ข้าต้องดึงนางเอาไว้อยู่แล้ว”
คำกล่าวของนางเหมือนบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งยังเป็นคนมีน้ำใจเมื่อเห็นคนที่มิค่อยสนิทกำลังตกน้ำก็มีใจช่วยเหลือ
อันหลิงเกอได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาทันที ทว่าเป็นรอยยิ้มที่แฝงความหมายอื่นเอาไว้จนทำให้เจียวซูหมิ่นรู้สึกกลัว ลางสังหรณ์บางอย่างบอกนางว่ารอยยิ้มเช่นนี้ของอันหลิงเกอต้องมิดีต่อตัวนางแน่นอน
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง “ในเมื่อคุณหนูเจียวเห็นว่าคุณหนูเฉินใกล้ตกลงไป แล้วเหตุใดจึงมิร้องเตือนก่อนเล่า ? ”
ปกติเมื่อเห็นคนที่มิได้สนิทกำลังเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น แม้อยากช่วยแต่ก็มักทำแค่บอกกล่าวว่าต้องทำอย่างไรเสียมากกว่า มิเข้าไปช่วยด้วยตนเองเช่นนี้หรอก
เหมือนถ้าเราเห็นเด็กคนหนึ่งมีข้าวติดตรงมุมปาก คนที่มิสนิทกันย่อมบอกให้เขาเช็ดออกเท่านั้น แต่มิได้ยื่นมือเข้าไปเช็ดให้เองเหมือนที่พ่อแม่ทำให้
เจียวซูหมิ่นกล่าวเองว่านางกับเฉินเฉินมิได้สนิทกัน แต่ก็ยอมยื่นมือเข้าไปช่วย เรื่องนี้มิว่าอย่างไรก็แปลกอยู่ดี
มิรอให้เจียวซูหมิ่นได้แก้ตัว อันหลิงเกอก็กล่าวต่อ “อีกอย่างเมื่อครู่คุณหนูเฉินก็ยืนอยู่ดี ๆ แล้วจักตกไปเองได้อย่างไร มิทราบว่าคุณหนูเจียวมองอย่างไรจึงนึกว่านางกำลังจักตกน้ำ มิใช่ว่าเจ้าสร้างเรื่องขึ้นมาเองหรือ ? ”