ตอนที่ 33 ปกป้อง
หรือมู่จวินฮานปรากฏตัวที่นี่หรือเพื่อช่วยอันหลิงเกอ ?
ในขณะที่อี๋เฟยกำลังคิดเช่นนั้น ก็ได้ยินมู่จวินฮานกล่าวขึ้นเสียก่อนว่า “ในเมื่ออี๋เฟยมิทรงติดความอันใดแล้ว มิทราบว่าข้าน้อยสามารถพาตัวคุณหนูอันไปได้หรือไม่พะยะค่ะ ? ”
ท่าทางของเขาแสดงออกชัดเจนแล้วว่าต้องการปกป้องอันหลิงเกอ
อี๋เฟยที่กล้ากลั่นแกล้งอันหลิงเกอ เพราะเห็นว่าจวนโหวนั้นมิค่อยมีอำนาจมากนัก แต่หากเพิ่มจวนอ๋องมู่ที่มีกำลังทหารอยู่ในมือเข้าไปแล้วนั้น อี๋เฟยคงต้องไตร่ตรองใหม่เสียแล้ว
เมื่อเป็นไปอย่างที่นางคิดเอาไว้ ใบหน้าที่ตกแต่งอย่างปราณีตของอี๋เฟยฉายแววตะลึงงันขึ้นมา สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไป สุดท้ายกลับยกยิ้มขึ้นมา
“ในเมื่อมู่ซือจื่อกล่าวเยี่ยงนี้ ข้าก็ต้องให้เกียรติท่านอยู่แล้ว”
อี๋เฟยก็ทรงตรัสออกมาอย่างจำยอม ที่นางกลั่นแกล้งอันหลิงเกอ มิเพียงเพราะอันหลิงเกอมาตำหนิองค์ชายเก้า แต่ยังแค้นที่จวนโหวนั้นอาศัยความสัมพันธ์กับหลี่กุ้ยเฟยเพื่อได้รับการดูแลจากฝ่าบาทอีกด้วย
แม้แต่ครอบครัวของนางยังมิได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากฝ่าบาท แต่จวนโหวแค่เพียงแต่งงานกับตระกูลหลี่เท่านั้น กลับได้รับความใส่ใจจากฝ่าบาทอย่างมาก นี่ก็เป็นเพราะฝ่าบาททรงโปรดหลี่กุ้ยเฟยมิใช่หรือไร ?
เท่าที่อี๋เฟยรู้มา หลี่กุ้ยเฟยนั้นเป็นนางจิ้งจอกที่ถนัดเรื่องการยั่วยวนดี ๆ นี่เอง แต่คิดมิถึงว่าเรื่องที่ลูกชายนางแอบรังแกอันหลิงจุนมาหลายปี มาในวันนี้กลับถูกอันหลิงเกอพบเข้า ซ้ำยังถูกมู่จวินฮานมาพบขณะที่ตนกำลังลงโทษอังหลิงเกออยู่ อีกทั้งยังตั้งใจออกตัวปกป้องสองคนนี้อีกด้วย
แม้แต่ขุนนางฝ่ายบุ๋นในราชสำนักนางยังมิกล้าที่จะล่วงเกิน ยิ่งมิต้องพูดถึงจวนอ๋องที่ร้ายกาจอย่างจวนอ๋องมู่ ก็ยิ่งล่วงเกินมิได้เป็นอันขาด
มู่จวินฮานเมื่อเห็นท่าทางของอี๋เฟยจึงยกยิ้มขึ้น เป็นเหตุให้ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นไปอีก ราวกับปีศาจที่แปลงกายเป็นมนุษย์ยังไงอย่างนั้น
“ข้าน้อยขอบพระทัยอี๋เฟยพะยะค่ะ”
เขาคำนับเสียงดังแล้วเดินเข้าไปหาอันหลิงเกอ
“คุณหนูอัน ถ้าเยี่ยงนั้นออกจากวังไปพร้อมข้าเถิด ข้าจะได้ไปส่งเจ้าที่จวนโหวด้วยเลย”
แม้ที่ริมฝีปากของมู่จวินฮานจะยังคงมีรอยยิ้มอยู่ แต่สายตาของเขานั้นกับจ้องมองไปที่รอยแดงบนใบหน้าของอันหลิงเกอ พลันความรู้สึกโมโหก็ฉายชัดออกมาทางดวงตา แต่ต้องเก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้ดวงตาที่ดำสนิทและนุ่มลึกของเขา พร้อมกับกล่าวตำหนิอี๋เฟยอยู่ภายในใจ
อี๋เฟยกลั่นแกล้งผู้หญิงที่เขาถูกใจเยี่ยงนั้นหรือ ช่างกล้าเสียจริง นางคิดว่าหลังจากคลอดองค์ชายเก้าแล้ว ชีวิตในวังคงจะเพียบพร้อม จนหลงลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนตอนอยู่ในวังนี้ตัวเองนั้นต่ำต้อยเพียงใด
อันหลิงเกอเมื่อได้ฟังคำกล่าวของมู่จวินฮานแล้ว จึงหันไปมองยังอันหลิงจุนด้วยสายตาเป็นห่วง
“จุนเอ๋อ เจ้าอยู่ในวังต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ นะ”
กล่าวถึงตรงนี้ นางก็อดมิได้ที่จะรู้สึกปวดใจ ต้องทนเห็นน้องชายของตนถูกคนกลั่นแกล้งอยู่ในวังหลวง แต่ตัวเองกลับมิสามารถช่วยอันใดได้เลย ความรู้สึกของการเป็นคนอ่อนแอเยี่ยงนี้มันหนักกว่า เมื่อชาติก่อน ตอนที่นางถูกอันหลิงอีทำร้ายจนตายเสียด้วยซ้ำ แต่มิว่าเยี่ยงไรนางก็มิสามารถขัดราชโองการของฝ่าบาท พาอันหลิงจุนออกจากวังไปด้วยได้
เมื่อเห็นท่าทีที่กังวลใจของอันหลิงเกอ อันหลิงจุนนั้นรู้ความเป็นอย่างมาก เขาพยักหน้ารับทันที แล้วกล่าวตอบออกไปด้วยรอยยิ้ม เพื่อให้อันหลิงเกอนั้นคลายความกังวลลง
“พี่หญิง ท่านรีบกลับบ้านเถอะ ป่านนี้ท่านพ่อคงเป็นห่วงท่านแย่แล้ว วางใจเถอะ จุนเอ๋อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จุนเอ๋อดูแลตัวเองได้ขอรับ”
เมื่อน้องชายเอ่ยตอบกลับมา ภายในใจของอันหลิงเกอนั้นรู้สึกสงสารน้องชายตนเองเป็นอย่างมาก
โถ จุนเอ๋อของนางยังเด็กขนาดนั้น ทั้งยังรู้ความถึงเพียงนี้
เป็นเหตุให้อันหลิงเกอนั้นต้องพยายามเก็บซ่อนความเศร้าเอาไว้ เพื่อให้น้องชายของตนเองนั้นสบายใจเช่นกัน
“อืม พี่จะออกจากวังไปพร้อมกับมู่ซือจื่อเดี๋ยวนี้แหละ หากเจ้าอยู่ในวังแล้วมิมีความสุข…”
นางชะงักไป มิรู้ว่าตนเองควรจะกล่าวเยี่ยงไรออกไปดี ถ้าหากว่าจุนเอ๋ออยู่ในวังแล้วมิมีความสุข นางจะทำเยี่ยงไรได้ล่ะ ?
ถ้าหากวันนี้มิใช่เพราะหลี่กุ้ยเฟยเรียกนางเข้าวัง นางก็มิสามารถที่จะเข้ามาในวังหลวงได้ด้วยซ้ำ ยิ่งมิต้องกล่าวถึงว่าตนจะได้พบกับจุนเอ๋อได้อีกเมื่อไหร่
ตนมิสามารถรับรู้ได้แม้แต่ข่าวสารภายในวัง แล้วจะช่วยจุนเอ๋อได้เยี่ยงไรกัน ?
มู่จวินฮานราวกับมองเห็นความเศร้าใจของอันหลิงเกอที่ส่งออกมาผ่านทางสายตา จึงได้กล่าวต่อนางไปว่า “หากมีเรื่องอันใดให้ไปหาฝู๋เชวียน เขาจะช่วยเจ้าเอง”
ฝู๋เชวียนคือหัวหน้าขันที มู่จวินฮานมีบุญคุณต่อเขา หากอันหลิงจุนไปขอให้เขาช่วย ฝู๋เชวียนมิมีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน
อี๋เฟยที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าลำบากใจ มู่ซือจื่อกำลังเตือนนางอยู่มิใช่หรือ หากให้ฝู๋เชวียนรู้ว่านางรู้เห็นเป็นใจให้องค์ชายเก้ารังแกอันหลิงจุน ก็เท่ากับฝ่าบาทก็จะทรงทราบเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ถ้าฝ่าบาททรงทราบว่ามีพระสนมที่ใจดําอํามหิต ฝ่าบาทจะทรงโปรดได้เยี่ยงไร ?
รอยยิ้มของนางใกล้จะฝืนเอาไว้มิอยู่เต็มที ขณะเดียวกันก็หันไปตวัดสายตาใส่อันหลิงจุน
หากอันหลิงจุนกล้าไปฟ้องล่ะก็ นางมิปล่อยเขาเอาไว้แน่ !
อันหลิงเกอที่กำลังซาบซึ้งกับความใส่ใจของมู่จวินฮาน จึงมิทันเห็นสายตาของอี๋เฟย
นางพยักหน้ารับ ภายในใจราวกับมีพายุที่โหมกระหน่ำ
สำหรับนางแล้ว มู่จวินฮานนั้นเป็นเพียงต้นเหตุของความหายนะในชาติที่แล้วก็เท่านั้น เป็นว่าที่สามีที่ได้มาอย่างผิดพลาดในชีวิตนี้ ควรที่จะตัดความสัมพันธ์นี้มิช้าก็เร็ว คิดมิถึงว่าเขาจะยอมเป็นศัตรูกับอี๋เฟยเพื่อนาง ถึงขนาดนำเส้นสายของเขามาช่วยเหลือตนและน้องชาย
อันหลิงเกอรู้สึกสับสนวุ่นวายภายในใจไปหมด คล้ายประทับใจ แต่ก็มีความขื่นขมปนอยู่ด้วย จนแยกมิออกว่าตอนนี้ตนเองรู้สึกเช่นไรกันแน่
รอจนถึงนอกประตูวัง อันหลิงเกอที่กำลังจะขึ้นรถม้า ก็ถูกมู่จวินฮานดึงมือเอาไว้เสียก่อน ความอบอุ่นจากมือของเขาส่งไปถึงมือของอันหลิงเกอ เป็นเหตุให้นางอดใจเต้นเร็วขึ้นมิได้ จากนั้นจึงรีบมองไปโดยรอบอย่างตกใจ องครักษ์หน้าประตูวังกำลังเตรียมพร้อมป้องกันวังหลวง จึงมิทันสังเกตเห็นเรื่องที่เกิดขึ้น ถนนด้านหน้าประตูวังมีคนสัญจรค่อนข้างน้อย จะมีคนผ่านมาเป็นครั้งคราวทีละคนสองคนเท่านั้น นางถึงได้โล่งใจ แต่ก็อดถลึงตามองมู่จวินฮานมิได้ จากนั้นจึงกดเสียงต่ำลงคล้ายกระซิบแล้วกล่าวออกไปว่า “คนลามก”
แต่ในตอนนี้มู่จวินฮานมิมีอารมณ์มาหยอกล้อกับอันหลิงเกอ แต่เขากลับใช้นิ้วมือสัมผัสลงบนใบหน้าของนาง ทำเอานางแทบลืมหายใจในทันที เมื่อบาดแผลถูกสัมผัส ความเจ็บจากการโดนไม้ไผ่ฟาดลงบนใบหน้านั้น ก็รู้สึกเจ็บและแสบร้อนขึ้นมา เพียงแค่แตะโดนนิดเดียว ซึ่งเป็นความรู้สึกที่นางได้สัมผัสเป็นคราแรก
“เหตุใดเจ้า ถึงมิหลบล่ะ ? ”
มู่จวินฮานเอ่ยถาม พร้อมกับนำขวดขนาดเล็ก ขวดหนึ่งมาจากไหนมิทราบได้ ด้านในเป็นครีมสีเขียวเข้มที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ
จากนั้นเขาก็ป้ายยาทาลงบนใบหน้าของอันหลิงเกออย่างเบามือ ความเย็นของยาที่ทาลงบนบาดแผล พริบตาเดียวความเจ็บที่แสบร้อนนั้นก็ค่อย ๆ จางหายไป
ในขณะที่มู่จวินฮานก้มหน้าลงทายาให้อันหลิงเกออย่างตั้งใจ และริมฝีปากเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ด้วยท่าทีเคร่งขรึมอย่างที่มิเคยเห็นได้บ่อยนัก
อันหลิงเกอเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นเพียงริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันของบุรุษ จมูกที่โด่งได้รูป เข้ากันดีกับดวงตาเฉียบคมสีดำสนิทที่ลุ่มลึกคู่นั้น นางยืนอยู่ที่เดิมมิได้ขยับไปไหน ยอมให้มู่จวินฮานทายาให้ตนเอง ปลายจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความเย็น ของบุรุษ มันช่างหอมยิ่งกว่ากลิ่นยานั้นหลายเท่า
เมื่อได้ยินคำเอ่ยถามของมู่จวินฮาน อันหลิงเกอจึงได้สติขึ้นมา เมื่อเขาเอ่ยถามว่าตอนอยู่ในวัง ที่อี๋เฟยสั่งลูกน้องให้ตีตนนั้นเหตุใดจึงมิหลบ ดวงตาของอันหลิงเกอเกิดประกายของความอับอายขึ้นมาชั่วครู่ แล้วกล่าวตอบออกไปด้วยเสียงอ่อย ๆ ว่า “นางกำนัลผู้นั่นว่องไวมาก ข้าจึงหลบมิทัน”
ที่จริงนางเองก็มีปฏิกิริยาที่รวดเร็ว แต่ทว่านางกำนัลผู้นั้นอยู่ในวังมาหลายปีเป็นคนที่คอยทำหน้าที่ลงโทษมานานแล้ว จึงทำให้อันหลิงเกอมิสามารถหลบได้ทันในครั้งนี้
เมื่อได้รับฟังคำตอบมู่จวินฮานก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน
“หากวันนี้ข้ามิอยู่ที่นั่น เจ้าจะทำเยี่ยงไร ? ”
หากวันนี้มู่จวินฮานมิได้ปรากฏตัวขึ้น ?
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันหลิงเกอต้องข่มอารมณ์ของตนเองเอาไว้ ถ้าวันนี้มู่จวินฮานมิอยู่ที่นั่น นางอาจจะโดนตีจากนั้นรอจนอี๋เฟยอารมณ์เย็นลง แล้วค่อยไปหาฮองเฮาให้ช่วย แต่เมื่อถึงเวลานั้นฮองเฮาเองก็คงจะช่วยอันใดตนได้มิมากนัก เพียงแค่ตำหนิอี๋เฟยมิกี่คำโดยที่นางมิได้รู้สึกรู้สาอันใด
หลังจากนั้นอี๋เฟยก็จะยิ่งหยิ่งผยอง แล้วก็จะยิ่งกลั่นแกล้งจุนเอ๋อมากยิ่งขึ้นไปอีก