ตอนที่ 35 ทำอย่างลับ ๆ
ณ เรือนฉีอู๋
อันหลิงเกอมิรู้ว่าตัวเองกลับถึงจวนได้เยี่ยงไร จนนางเข้ามานั่งในห้องของตัวเองแล้ว ปี้จูเรียกซ้ำอยู่หลายครั้ง ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมาด้วยความงุนงง
“คุณหนู ท่านกำลังคิดอันใดอยู่เจ้าคะ ข้าน้อยเรียกตั้งหลายคราท่านก็ยังมิได้ยิน”
ปี้จูเดินเข้าไปใกล้ด้วยความสงสัย เมื่อเห็นหนังสือในมือของอันหลิงเกอ นางก็ยกมือปิดปากแล้วหัวเราะขึ้น
“ข้าน้อยก็แปลกใจว่าเหตุใดคุณหนูอ่านหนังสือเล่มนี้มาครึ่งค่อนวันถึงยังอ่านมิจบสักที ที่แท้ก็ถือหนังสือกลับหัวนี่เอง”
สายตาหยอกล้อของปี้จูแฝงความสนใจใคร่รู้เอาไว้ แล้วทำเสียงกระซิบกระซาบ
“คุณหนูกำลังคิดถึงท่านมู่ซือจื่ออยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
“พูดจาเหลวไหล”
อันหลิงเกอจ้องนางด้วยความโมโห ร้อนตัวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
ปี้จูมิได้ตกใจที่ถูกนางดุเลย อีกทั้งยังคงหัวเราะคิกคักออกมา แล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“ข้าน้อยเห็นท่านมู่ซือจื่อเป็นคนมาส่งคุณหนู ในเมื่อหลี่กุ้ยเฟยเป็นคนเรียกคุณหนูเข้าวังแท้ ๆ แล้วเหตุใดคุณหนูถึงได้กลับมาพร้อมท่านมู่ซือจื่อได้ล่ะเจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอตอบกลับด้วยท่าทางจริงจัง
“ข้ากับเขาบังเอิญเจอกันในวังก็เท่านั้น”
จากนั้นนางก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงให้ปี้จูฟัง
ปี้จูได้ยินว่าอันหลิงเกอถูกหลี่กุ้ยเฟยใส่ร้าย อีกทั้งยังถูกอี๋เฟยสั่งให้คนตบหน้าอีก ก็รู้สึกโกรธแค้นดวงตาราวกับจะมีไฟลุกขึ้นมาเสียให้ได้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโหออกมา
“เยี่ยงนี้มันรังแกกันเกินไปแล้วนะเจ้าคะ ! ”
“หลี่กุ้ยเฟยให้ร้ายคุณหนูก็เพราะฮูหยินรอง นางกลั่นแกล้งคุณหนูก็นับว่ามีเหตุผล แต่อี๋เฟยส่งเสริมให้องค์ชายเก้ารังแกซือจื่อยังมิพอ ยังสั่งให้คนมาตีคุณหนูอีก คนที่ยโสโอหังเช่นนี้ เหตุใดฝ่าบาทถึงมิทรงส่งนางไปตำหนักเย็นล่ะเจ้าคะ ? ”
ปี้จูยังขุ่นเคืองมิหาย ภายในใจของอันหลิงเกอเองก็รู้สึกมิสงบเช่นกัน เมื่อนึกถึงการกลั่นแกล้งและการดูถูกที่อันหลิงจุนน้องชายของตนได้รับในวังหลวง นางก็แทบอยากจะไปรับตัวเขาออกจากวังหลวงในทันที แล้วนำเขามาอยู่ข้างกายและคอยปกป้องเขาเสียเอง
“การจะทำให้พระสนมที่มีพระโอรสไปอยู่ตำหนักเย็นได้นั้น มิใช่เรื่องง่ายเลย”
อันหลิงเกอกล่าวตอบปี้จูออกไป แล้วหวนนึกถึงเรื่องราวภายในวังหลวงอันซับซ้อนขึ้น
ภายในวังหลวงนั้นมิเพียงมีการแย่งชิงความดีความชอบเพียงเท่านั้น ทั้งยังเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของหลายตระกูล การถ่ายโอนอำนาจมิใช่เรื่องที่จะตัดสินเพียงแค่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทเพียงอย่างเดียว ต่อให้ฝ่าบาทจะโปรดปรานหลี่กุ้ยเฟยมากเพียงใด ตำแหน่งฮองเฮาก็ยังต้องยกให้กับสตรีที่มาจากตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ เพื่อใช้ในการกุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของสตรีพวกนั้นมาไว้ในมือ
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ปี้จูมิเข้าใจ นางพยักหน้ารับอย่างผิดหวัง
“ก็ได้ แต่หน้าของคุณหนู…”
ปี้จูเอ่ยถามพร้อมทั้งชี้ไปยังใบหน้าของนาง พลันทำให้ตนนึกถึงยาที่มู่จวินฮานให้มาช่างดีเสียจริง รอยแดงที่น่ากลัวพวกนั้นจางลงไปเยอะมากแล้ว ถึงแม้จะยังเห็นชัดอยู่ แต่ก็มิได้ดูน่ากลัวแล้ว
อันหลิงเกอนำยาที่มู่จวินฮานให้ออกมา แล้วสั่งปี้จูว่า “เก็บยานี้ไว้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยทาให้ข้าอีกครั้งก็น่าจะหายแล้ว”
ปี้จูเคยเห็นอันหลิงเกอจัดสมุนไพร เมื่อเห็นยานี้จึงคิดว่าอันหลิงเกอเป็นคนทำขึ้นมาเอง จึงมิได้คิดอันใดมาก นางพยักหน้ารับแล้ว จู่ ๆ ก็ปรบมือขึ้นแล้วกล่าวออกมาว่า “ข้าน้อยเกือบจะลืมเรื่องสำคัญไปซะแล้วเจ้าค่ะ”
ก่อนหน้านี้นางมัวแต่สนใจเรื่องระหว่างอันหลิงเกอและมู่จวินฮาน ต่อมาก็โมโหเรื่องที่หลี่กุ้ยเฟยและอี๋เฟยทำ จนเกือบจะลืมจุดประสงค์ที่มาเรียกอันหลิงเกอเข้าให้แล้ว
อันหลิงเกอจึงหันมาฟังที่ปี้จูกล่าว
“ท่านโหวส่งคนมาบอกว่า พวกฮูหยินผู้เฒ่าและท่านอารอง ท่านอาสามใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ พวกเขาเร่งเดินทางมาหลายวัน แต่พรุ่งนี้ก็คงจะถึงแล้วเจ้าค่ะ”
พวกท่านย่าจะมาถึงเมืองหลวงแล้ว ?
อันหลิงเกอพยายามหวนนึกถึงความทรงจำในชาติก่อน ตอนนั้นท่านย่าก็เคยพาพวกท่านอารอง ท่านอาสาม มาเมืองหลวง นางแอบได้ยินหลี่ซื่อกล่าวเหมือนว่าลูกชายของพวกนางจะเข้าร่วมการสอบจอหงวน พวกเขาเลยถือโอกาสมาเมืองหลวง และอาศัยอยู่ที่เมืองหลวง ก็น่าจะช่วงเวลานี้นี่แหละ
อันหลิงเกอหลับตาคิดแล้วก็ส่งเสียง อืม ออกมาเบา ๆ
“ในเมื่อท่านย่าและท่านอารอง ท่านอาสาม จะมา ข้าก็คงต้องเตรียมของขวัญต้อนรับเอาไว้สักหน่อย”
จากนั้นอันหลิงเกอให้ปี้จูนำเงินออกมา แจ้งคนดูแลประตูเสร็จก็พาปี้จูออกจากจวนไป
อันหลิงเกอไปยังร้านทองที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงก่อน เจ้าของร้านนั้นเห็นอันหลิงเกอสวมเสื้อผ้าหรูหรา มีบุคลิกที่มิธรรมดาก็รู้ได้ในทันทีว่าต้องเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่อย่างแน่นอน จึงดูแลอย่างกระตือรือร้นเป็นพิเศษ เมื่อได้ฟังถึงสิ่งที่อันหลิงเกอต้องการ ใบหน้าของเจ้าของร้านก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นทันทีราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน
“คุณหนูลองดูกำไลทองเนื้อสลักหงส์ขาวมงคลคู่นี้สิ นี่เป็นแบบที่บรรดาฮูหยินในเมืองหลวงกำลังชื่นชอบกันอย่างมาก”
“แล้วก็ยังมีพระโพธิสัตว์กวนอิมทำจากหยกขาว เหมาะสำหรับมอบให้ผู้อาวุโสในครอบครัวอย่างยิ่ง”
“ปิ่นลายผีเสื้อชมบุปผาทางด้านนั้นก็เป็นที่ชื่นชอบของเหล่า…”
อันหลิงเกอฟังเจ้าของร้านคุยโวอย่างเงียบนิ่ง แล้วส่งสัญญาณให้ปี้จูซื้อเครื่องประดับ
นับแล้วได้ของขวัญคนละชิ้น จากนั้นก็ไปที่ร้านหนังสือเพื่อซื้อพวกกระดาษพู่กันมาและ สุดท้ายก็พาปี้จูเลี้ยวเข้าไปในซอยเปลี่ยวซอยหนึ่งหลังจากเคาะประตู
อันหลิงเกอยืนรออยู่ที่หน้าประตูเพียงชั่วครู่ จากนั้นด้านในมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงสตรีที่ตั้งใจดัดเสียงให้เข้มขึ้น
“ใครน่ะ ? ”
“ข้าเอง”
อันหลิงเกอพูดจบ ประตูที่ปิดอยู่ก็มีเสียงเปิดออกทันที
“คุณหนูเชิญเข้ามาเร็วเจ้าค่ะ”
หลังจากเอ่ยชวนเข้าไปในจวนแล้ว ไป๋อวี๋มองไปโดยรอบ ๆ อย่างระมัดระวังแล้วปิดประตูจวนลง เมื่อเชิญทั้งสองคนเข้าไปด้านในแล้ว ก็รีบรินน้ำชาให้แก่อันหลิงเกอ จากนั้นจึงได้ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้าง
อันหลิงเกอนำกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากด้านในเสื้อ
“จิงอวี่สร้างตัวตนใหม่ให้เจ้าแล้ว จากนี้เป็นต้นไป เจ้ามิมีความเกี่ยวข้องอันใดกับไป๋อวี่คนรับใช้ของจวนโหวอีก แต่เป็นฉู่หยูลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลฉู่จากเฉิงตง”
เมื่อได้ฟังไป๋อวี่ มิใช่สิ ฉู่หยู มีแววตาตกตะลึงอย่างมิได้เสแสร้ง สายตามองไปยังกระดาษใบนั้น ริมฝีปากทั้งสองขมุบขมิบอยู่สักครู่ แต่กลับมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาเดิมทีนางต้องการที่จะล้างแค้น จึงได้เปลี่ยนฝ่ายมาใส่ร้ายอันหลิงอี ที่จริงนางต้องถูกสังหารอย่างลับ ๆ แต่คุณหนูใหญ่มิเพียงให้คนไปช่วย ตอนนี้ยังให้ตัวตนใหม่แก่นาง ทำให้นางสามารถอยู่ได้อย่างเปิดเผย มิใช่แค่คนรับใช้ที่หลบหนีของจวนโหวอีกแล้ว บุญคุณนี้…
ดวงตาของฉู่หยูคลอไปด้วยน้ำตาแล้วไหลรินออกมา จากนั้นก็คุกเข่าลงน้ำเสียงหนักแน่นอย่างมิเคยเป็นมาก่อน แล้วกล่าวขอบคุณออกมา
“คุณหนูใหญ่มีบุญคุณต่อข้าน้อยยิ่งนัก ข้าน้อยยอมใช้ทั้งชีวิตนี้เพื่อทดแทนบุญคุณของคุณหนูเจ้าค่ะ”
“ข้ามิต้องการชีวิตเจ้า”
อันหลิงเกอยิ้มออกมา แล้วพยุงฉู่หยูลุกขึ้น
“แต่ข้าต้องการให้เจ้าทำงานให้ข้า”
นางบอกแผนการออกมาด้วยเสียงที่เบาลง จากนั้นปี้จูก็นำตั๋วเงินจำนวนหนึ่งออกมา
“ข้าและปี้จูมิสะดวกออกจากจวนให้เจ้าหาโรงเตี้ยมใกล้ ๆ นี้ แล้วซื้อเอาไว้ ทำเงินได้หรือไม่มิสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือต้องส่งข่าวให้ข้าได้ ข่าวของขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง ข่าวขององค์ชาย ท่านอ๋องและชนชั้นสูง มิว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ต้องส่งข่าวให้ข้ารู้ทันที”
เมื่อกล่าวจบ อันหลิงเกอก็ได้นึกถึงสาเหตุที่ตนต้องทำเยี่ยงนี้ ก็เพราะนางจะโค่นหลี่ซื่อ ในเมื่อจะแก้แค้น ตัวเองก็ต้องแข็งแกร่งมากพอ แล้วก็ต้องมีแหล่งข่าวของตัวเองนี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ฉู่หยูกัดที่ริมฝีปาก เพื่อกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้
“คุณหนูใหญ่โปรดวางใจ ข้าน้อยจะมิทำให้คุณหนูใหญ่ผิดหวังอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
จากนั้นอันหลิงเกอพยักหน้าแล้วมองไปทางปี้จู
ปี้จูจึงรีบนำยาขวดหนึ่งออกมาทันที แล้วกล่าวออกไปว่า “นี่เป็นยาที่ข้าทำขึ้นเอง ให้เจ้าทามันลงบนใบหน้าเป็นเวลา 10 วัน หน้าตาของเจ้าจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป หน้าตาจะเหมือนเดิมเพียงหกถึงเจ็ดส่วนเท่านั้น”
อันหลิงเกอนำยาวางลงบนมือของฉู่หยูแล้วเดินออกไป ฉู่หยูกุมขวดลายครามไว้ในมือจนแน่น แล้วรู้สึกว่าร่างที่ค่อย ๆ เดินห่างออกไปนั้นคล้ายกับเทพธิดาที่น่าเคารพยำเกรง