ตอนที่ 41 แอบออกคำสั่ง
เมื่อหลี่ซื่อปลอบโยนอันหลิงอีให้หยุดร้องไห้ จากนั้นก็หันหน้ามาเรียกสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกให้เข้ามา เพื่อเริ่มแผนการกำจัดหวังซื่อขึ้น
“ข้าจำได้ว่าเจ้ามีพี่ชายที่ทำงานรับใช้อยู่ข้างกายท่านโหวมิใช่หรือ ? ”
หลี่ซื่อเอ่ยถามทั้งยังถือถ้วยชาในมือของตนเองเอาไว้ ไอร้อนที่ระเหยลอยขึ้นมาบดบังความชั่วร้ายและเหี้ยมโหดในดวงตาของนาง
เมื่อสาวใช้คนสนิทได้ฟังผู้เป็นนายเอ่ยถามก็รีบพยักหน้า
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ พี่ชายของบ่าวเป็นคนรับใช้ที่อยู่ข้างกายท่านโหวเจ้าค่ะ”
เมื่อหลี่ซื่อได้ฟังคำตอบก็ยกยิ้มอย่างพึงพอใจ
“งั้นก็ดี เจ้ามานี่สิ…”
นางกวักมือเรียกให้สาวใช้ให้เข้ามาใกล้ จากนั้นก็โน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูสาวใช้อยู่ครู่หนึ่ง ทางด้านสาวใช้ก็ก้มหน้าลงอย่างเคารพยำเกรง ส่งเสียงขานรับเป็นครั้งคราว
รอจนหลี่ซื่อสั่งการแล้วเสร็จ สาวใช้ก็ยกยิ้มขึ้นและรินชาให้หลี่ซื่อใหม่ พร้อมกล่าวตอบกลับไปอย่างเอาใจว่า “นายหญิงโปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ แม้คนของบ้านนายท่านรองและนายท่านสามจะกลับมาอยู่ในจวนแล้วก็ตาม แต่ก็มิสามารถสั่นคลอนอำนาจของท่านได้หรอกเจ้าค่ะ”
หลังจากสาวใช้รินชาแล้ว ก็ประสานมือด้วยความเคารพแล้วกล่าวออกมาอย่างเอาใจอีกว่า “ บ่าวนึก ๆ ดูแล้ว ที่นี่คือจวนโหว มีท่านคอยดูแลรับผิดชอบหลังบ้านมาโดยตลอด ฮูหยินใหญ่ของนายท่านรองอยากแย่งชิงอำนาจไปจากมือท่าน ทำเยี่ยงนี้มันเป็นการล่วงเกินท่านชัด ๆ บ่าวจะแบ่งเบาความกังวลนี้ของนายหญิงเองเจ้าค่ะ”
หลังจากนางกล่าวจบก็หันไปสบตากับหลี่ซื่อด้วยสีหน้าท่าทีที่รู้กันดี หลี่ซื่อจึงจิบชาด้วยท่าทีสบายอกสบายใจมาก จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “หึ ! หวังซื่อ นางคิดจะยืมมือของท่านแม่มาดูถูกเหยียดหยามข้าเยี่ยงนั้นหรือ มันมิง่ายนักหรอก ! ”
“เจ้ารีบไปจัดการเรื่องนี้เสีย หากเจ้าทำสำเร็จข้าจักต้องตบรางวัลให้เจ้าเป็นแน่”
หลี่ซื่อออกคำสั่งพร้อมโบกมือให้สาวใช้ผู้นั้นออกไปทำตามแผนที่วางเอาไว้
เมื่อสาวใช้ผู้นั้นออกไปนอกเรือน ภายในห้องที่มีเพียงแสงเทียนสีเหลืองอบอุ่นส่องสว่างเท่านั้น สะท้อนให้เห็นใบหน้าที่ร้ายกาจของหลี่ซื่อ
เมื่อสาวใช้ผู้นั้นออกมาจากเรือนของหลี่ซื่อ นางก็มุ่งหน้าเดินไปที่ลานด้านหน้าของเรือนอย่างคุ้นเคย ซึ่งนางเป็นสาวใช้คนสนิทของหลี่ซื่อ แม้บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูเรือนก็รู้จักนางเป็นอย่างดี เมื่อนางเดินผ่าน บ่าวพวกนั้นจึงแสร้งมองไปทางอื่น ทำราวกับว่ามองมิเห็นคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินผ่านหน้าตัวเองไป
เมื่อเห็นเยี่ยงนั้น สาวใช้ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก จนมิสามารถกลั้นรอยยิ้มที่มุมปากเอาไว้ได้ พร้อมทั้งนึกคิดภายในใจเพียงผู้เดียวว่า ดูสิ นายหญิงมีอำนาจภายในจวนมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูยังรู้จักที่จะไว้หน้านายหญิง อำนวยความสะดวกสบายให้สาวใช้ตัวเล็ก ๆ เยี่ยงนาง
หึ ! ฮูหยินของนายท่านรองเพิ่งกลับมาถึงที่จวน ก็คิดที่จะต่อสู้แย่งชิงอำนาจดูแลเรือนไปจากมือนายหญิง ช่างมิประมาณตนเสียจริง
สาวใช้เดินมาถึงเรือนคนใช้ นางก็เคาะประตูห้องบ่าวรับใช้ ห้องหนึ่งดังขึ้นในตอนกลางคืน จากนั้นมินานก็มีร่างคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน
“น้องหญิง เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน ? ”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นทำท่าทีให้นางเข้ามาในห้อง แต่นางส่ายหัวปฏิเสธ แล้วรีบกล่าวบอกออกไปว่า “ท่านพี่ ท่านฟังที่ข้าจะกล่าวนะ นางหญิงสั่งให้ข้ามาหาท่าน… แค่เพียงท่านจัดการเรื่องให้สำเร็จ นายหญิงก็จะให้ท่านไปทำงานติดตามรับใช้ท่านโหว”
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้น ภายในใจของบ่าวรับใช้ก็รู้สึกดีขึ้นมา เมื่อนึกไปถึงตนที่ได้ติดตามรับใช้ท่านโหว หากเป็นเช่นนั้นจริงตนก็จะมิใช่เพียงแค่เด็กหนุ่มรับใช้ตัวเล็ก ที่มิมีสำคัญอันใดอีกต่อไป
บ่าวรับใช้ผู้นั้นแสดงท่าทีดีใจจนเป็นบ้าเป็นหลังออกมาอย่างเก็บเอาไว้มิอยู่ ได้แต่เอ่ยถามย้ำไปอีกครั้งราวกับมิแน่ใจ
“นายหญิงกล่าวเยี่ยงนั้นจริงรึ ? ”
“จริงแท้แน่นอนท่านพี่ พวกเราเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ข้าจะโกหกท่านไปด้วยเหตุอันใดกัน?”
ที่นางกล่าวออกมาก็มีเหตุผล น้องสาวของตนจะมาโกหกตนด้วยเหตุอันใด
เมื่อนึกถึงสิ่งที่จะได้ตอบแทนกลับมานั้น เป็นเหตุให้บ่าวรับใช้ผู้นั้นรู้สึกมีพลังและฮึกเหิมราวกับคลื่นที่ซัดสาดขึ้นลง จากนั้นเขาก็ตบหน้าอกอย่างกล้าหาญแล้วกล่าวออกมาว่า “เจ้าไปเรียนนายหญิงให้วางใจได้ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น สาวใช้จึงกล่าวกำชับกับพี่ชายของตนเองไปอีกครั้งว่า “ระวังอย่าให้คนอื่นจับได้ล่ะ”
“ข้าเชื่อใจได้เสมอ เจ้าวางใจได้ข้าจะมิทำให้เจ้าผิดหวัง”
น้ำเสียงตอบกลับของบ่าวรับใช้ผู้นั้นดูผ่อนคลาย เหมือนกับว่ามองเห็นอนาคตอันรุ่งโรจน์ของตนเองแล้ว
เมื่อพี่ชายตนเองกล่าวรับคำอย่างหนักแน่น สาวใช้จึงมิพูดอันใดมาก นางมองสำรวจไปรอบบริเวณ เมื่อเห็นว่ามิมีใครอยู่ นางจึงจัดเก็บชายเสื้อให้เรียบร้อย และกลับไปทำหน้าที่รับใช้ที่เรือนของหลี่ซื่อต่อ
…
ณ เรือนฉีอู๋ อันหลิงเกอในเวลานี้กำลังอารมณ์ดี ถือม้วนตำราอ่านอย่างมีความสุข ช่างต่างจากความรู้สึกกลัดกลุ้มใจที่มีของหลี่ซื่อและอันหลิงอีอย่างสิ้นเชิง
“คุณหนูเจ้าคะ วันนี้ท่านเก่งมากเจ้าค่ะ”
ปี้จูกล่าวออกมา นางยิ้มอย่างมีความสุข พร้อมกับจุดตะเกียงและทำให้ไส้เทียนสว่างขึ้นมากอีกหน่อย เพื่อทำให้คุณหนูอ่านได้สะดวกขึ้น
เมื่อได้ฟังมุมปากของอันหลิงเกอยกขึ้น นึกถึงความอัปยศอดสูของสองแม่ลูกหลี่ซื่อและอันหลิงอีที่ถูกหักหน้า ก็รู้สึกสาแก่ใจเอามาก
“มิใช่ว่าข้าเก่ง แต่เป็นท่านอาสะใภ้รองต่างหากที่เก่ง”
อันหลิงเกอตอบกลับปี้จูด้วยท่าทีผ่อนคลาย ดวงตาสีเข้มและลึกล้ำราวกับน้ำทะเลที่เปล่งประกาย มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่ากำลังอารมณ์ดี
“ถ้ามิใช่เพราะท่านอาสะใภ้รองค่อยกดดันอี๋เหนียง อี๋เหนียงก็คงจะมิอับอายขายขี้หน้าถึงเพียงนี้ แม้แต่อำนาจส่วนหนึ่งในมือก็ยังถูกอาสะใภ้รองแย่งไป สำหรับอี๋เหนียงแล้ว สิ่งนี้มิต่างจากการที่นางถูกกัดกินชิ้นเนื้อบนตัวนางไปอย่างโหดเหี้ยม”
เมื่อได้ฟัง ปี้จูก็หัวเราะคิกคิกออกมาอย่างมีความสุข สีหน้าเต็มไปด้วยความสุขอย่างที่มิอาจเห็นได้บ่อย
“นึกถึงเมื่อก่อนที่ฮูหยินรองกับคุณหนูรองมักจะแอบใช้ให้บ่าวไพร่พวกนั้นมากลั่นแกล้ง และทำเป็นละเลยต่อคุณหนู แต่ในวันนี้ฮูหยินใหญ่ของนายท่านรองได้ระบายความโกรธแค้น และออกหน้ารับแทนคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ”
“เกรงว่ามันจะมิง่ายเยี่ยงนั้นนะสิ”
เมื่อนึกได้ถึงเรื่องนี้ อันหลิงเกอก็ส่ายหน้า พลันรอยยิ้มที่มุมปากก็ค่อยจางหายไป
“อี๋เหนียงเป็นคนเยี่ยงไร เจ้ากับข้าล้วนรู้ดี นางเห็นแก่ตัว ทั้งยังเจ้าเล่ห์เพทุบาย เพื่ออนาคตของอันหลิงอี นางมิลังเลเลยที่จะผลักข้าลงไปในกองเพลิง คนเยี่ยงนี้ เจ้าคิดว่าหลังจากที่นางเสียเปรียบแล้ว นางจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเยี่ยงเต่าหัวหดอยู่ในกระดองตัวหนึ่งเยี่ยงนั้นรึ ? “
เมื่อได้ฟังอันหลังเกอกล่าวออกมา อาการตื่นเต้นในแววตาของปี้จูมลายหายไป ใบหน้ากลมเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความกังวลและกลัดกลุ้มใจ
“ถ้าเช่นนั้นฮูหยินรองจะลงมือจัดการกับคุณหนูอีกไหมเจ้าคะ?”
“อี๋เหนียงต้องการทำลายชื่อเสียงของข้ามาตั้งแต่ต้นแล้ว ทั้งยังต้องการทำลายความไร้เดียงสาของข้าและต้องการให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดไปตลอดชีวิต ! ”
น้ำเสียงที่เคยอ่อนโยนอยู่เสมอของอันหลิงเกอ ในตอนนี้น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่อดกลั้นเอาไว้ ดวงตาคู่นั้นแดงระรื่นขึ้นมาเล็กน้อย มือของนางบีบม้วนตำราแน่น
เมื่อนึกย้อนกลับไปในชาติก่อน อี๋เหนียงนั้นจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ทั้งวางแผนฆ่าแม่ของนาง แต่แสร้งทำตัวสนิทสนมมีสัมพันธ์ที่ดีต่อหน้านางอีก ทำให้นางต้องเคารพยำเกรงนางในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่ และรักเอ็นดูน้องสาวอย่างอันหลิงอีเป็นน้องสาวสุดที่รัก แต่ท้ายที่สุดแล้ว อันหลิงอีกลับลงมือวางยาพิษนางด้วยมือตัวเอง อี๋เหนียงกลับยืนมองดูนางตายไปต่อหน้าต่อตา
ถ้ามิใช่เพราะชาติก่อนอันหลิงอีมิหยิ่งยโสเกินไป แล้วหลุดปากบอกความจริงเกี่ยวกับการตายของแม่นางออกมา ต่อให้นางตายไปแล้วกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ยังคงหน้ามืดตามัวหลงเชื่อสองแม่ลูกคู่นั่นเช่นเดิม !
และยังมีปี้จู นางซื่อสัตย์และภักดีถึงเพียงนี้ก็ต้องมาตายอยู่ตรงหน้าตน โดยการถูกสาวใช้คนสนิทของอันหลิงอีฆ่าตาย !
เมื่ออันหลิงเกอนึกถึงชีวิตในชาติก่อนมาถึงตอนนี้ นางรู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างโง่เง่า หูหนวกตาบอดเสียจริง เหตุใดถึงได้ถูกแม่ลูกที่หน้าซื่อใจคดและชั่วร้ายหลอกลวงเอาได้ถึงเพียงนี้
ปี้จูสังเกตเห็นหน้าตาของนางดูผิดปกติไป ก็รีบกล่าวเตือนสตินางว่า “คุณหนูอย่าได้โกรธไปเลยเจ้าค่ะ ถ้าโกรธแล้วจะทำให้สุขภาพมิดีเอาได้นะเจ้าคะ”
ขณะที่ปี้จูรอบสังเกตการณ์สีหน้าท่าทีของอันหลิงเกอ ก็ได้คิดตริตรองเรื่องราวที่ผ่านมาไปด้วย พร้อมทั้งกล่าวปลอบโยนอันหลิงเกอออกมาว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ฮูหยินเฒ่าก็กลับจวนมาแล้ว มิว่าฮูหยินรองคิดจะลงมือกับคุณหนูเยี่ยงไร ก็ต้องยับยั้งมือไว้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว”
อันหลิงเกอเสียการควบคุมตัวไปเพียงชั่วพริบตา ทันใดนั้นก็กลับมากระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวาเหมือนเดิม นางค่อนข้างพอใจกับความก้าวหน้าของปี้จูในทางด้านนี้ น้ำเสียงจึงอ่อนโยนลง
“อี๋เหนียงคงอยากให้ข้าตายจนแทบทนรอมิไหว แต่คนแรกที่นางจะต้องรับมือด้วยกลับมิใช่ข้า”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของอันหลิงเกอ ปี้จูก็ครุ่นคิดเพียงครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจแล้วกล่าวออกมาว่า “คุณหนูหมายความว่า ฮูหยินรองต้องเผชิญหน้ากับฮูหยินใหญ่ของนายท่านรองก่อนใช่หรือไม่เจ้าคะ ? “
อันหลิงเกอพยักหน้า และวางม้วนตำราในมือลงข้างกาย แล้วเอ่ยบอกกับปี้จูไปว่า “ถึงแม้เรื่องวันนี้จะเป็นเพราะข้า แต่คนที่ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงนั้นกลับเป็นท่านอาสะใภ้รอง ถ้าอี๋เหนียงมิรีบฉวยโอกาสทวงอำนาจของตัวเองกลับคืนมาแล้วละก็ รอภายภาคหน้า เมื่อท่านอาหญิงรองคุ้นเคยกับกิจการของจวนแล้ว นั้นก็ยากที่จะรับมือได้”
…
ตามที่อันหลิงเกอคาดการณ์เอาไว้ เช้าของวันที่สอง ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นในจวน