ตอนที่ 49 เงยหน้าอ้าปากด้วยความภาคภูมิใจ
“แม้ว่าหมิงเอ๋อของเราจะมิได้ฉลาดนัก แต่เขาก็เป็นคนที่มีความรับผิดชอบมาตั้งแต่เด็ก ในเมื่อหมิงเอ๋อได้ล่วงเกินคุณหนูรองไป ทางจวนอ๋องอี้ของเราจะต้องรับผิดชอบแต่งงานกับนางอย่างแน่นอน ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นเยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”
ก่อนหน้านี้ที่อี้หวังเฟยได้มาสู่ของอันหลิงอี ฮูหยินผู้เฒ่าที่ยังมิได้กลับมาที่จวนโหว จึงมิได้ออกความคิดเห็นอันใด เกี่ยวกับการแต่งงานของอันหลิงอีในครานั้น แต่วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาแล้ว เรื่องการแต่งงานก็คงเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่เป็นผู้ตัดสิ้นใจเด็ดขาดมิใช่รึ ?
เช่นนั้นเมื่ออี้หวางเฟยได้รับการชี้แนะจากหวังซื่อจึงเข้าใจในเรื่องนี้ทันที และตกลงทำตามที่นางชี้แนะ
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังคำบอกเล่าของอี้หวางเฟยเล่ามานั้น แววตาที่แก่ชราก็ฉายความแปลกใจแล้วเอ่ยถามหลี่ซื่อออกมาว่า “นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ? ”
น้ำเสียงทุ่มต่ำของฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามขึ้น พร้อมทั้งมองไปที่หลี่ซื่อด้วยแววตาที่มิพอใจ
เมื่อได้ฟังที่อี้หวางเฟยกล่าวออกมา หลี่ซื่อรู้สึกแค้นเคืองกับความหน้าด้านของอี้หวางเฟยอยู่ภายในใจจนแทบที่จะทนรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้มิได้
แต่เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามขึ้น นางก็จำต้องฝืนรักษาใบหน้าใบหน้ายิ้มแย้มและกิริยาเคารพนบน้อมเอาไว้ แล้วกล่าวตอบออกไปว่า “ท่านแม่อาจจะมิทราบนะเจ้าคะ เรื่องนี้เป็นแค่เรื่องความเข้าใจผิดกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“เข้าใจผิดอันใดรึ ? อันหลิงอีและหมิงเอ๋อของเรากอดกัน มีหลายคนที่พบเห็นพวกเขา ความจริงชัดเจนเยี่ยงนี้ เจ้ายังคิดว่าเรื่องนี้คือเรื่องเข้าใจผิดกันเยี่ยงนั้นรึ ? ”
อี้หวางเฟยกล่าวแย้งออกมาทันทีที่หลี่ซื่อนั้นกล่าวปฏิเสธ
จากนั้นอี้หวางเฟยกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างกระตือรือร้นว่า “ตอนนี้หมิงเอ๋อร์ของเราเหมือนถูกยาเสน่ห์ อ้อนวอนข้าทั้งวี่ทั้งวันให้ข้ามาสู่ขออันหลิงอีให้ ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ท่านได้โปรดสงเคราะห์ความจริงใจของลูกชายข้าด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
เมื่อเวลานี้อี้หวางเฟยแสดงทีท่าให้เกียรติแต่มิถ่อมตัว จ้องมองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยดวงตา
ที่แผดเผาปนกดดัน แสงประกายในดวงตานั้นทำให้ใครก็มิกล้าที่จะสบตา
ฮูหยินผู้เฒ่าหลับตาลง คิ้วขยับเล็กน้อยแล้วกล่าวออกไปว่า ” อีเอ๋อมีความสัมพันธ์ทางกายกับบุตรชายคนโตของจวนอ๋องอี้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? “
“ใช่เจ้าค่ะ”
อี้หวางเฟยตอบรับอย่างรวดเร็ว
“เมื่อเด็ก ๆ มาถึงจุดนี้แล้ว ก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องแต่งงานกัน ที่ข้ามาวันนี้เพื่อมาถามความเห็นของฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าถูกอี้หวางเฟยกล่าวหว่านล้อมจนเห็นคล้อยตามไปด้วยแล้ว หลี่ซื่อก็นั่งมิติดอีกต่อไปแล้ว นางมิสนใจศักดิ์ศรีและความเหมาะสม จึงได้แย่งกล่าวก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะกล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่เจ้าคะ การแต่งงานครั้งนี้มิสามารถตอบตกลงได้นะเจ้าคะ ! “
เมื่อหลี่ซื่อกล่าวแทรกขึ้นมา อี้หวางเฟยก็จ้องมองไปทางหลี่ซื่ออย่างเกลียดชัง แต่หลี่ซื่อแสร้งทำราวกับมองมิเห็น ทำเหมือนมิเห็นถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่า นางกล่าวถึงอี้หมิง บุตรของอีกฝ่ายอย่างมิมีชิ้นดีเลยแม้แต่น้อยต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า
“ท่านแม่เพิ่งจะกลับมาเมืองหลวงคงจะยังมิรู้ แม้ว่าลูกชายคนโตของจวนอ๋องอี้จะเกิดมามีฐานะสูงส่ง แต่เขาเป็นคนโง่เขลามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จะให้อีเอ๋อแต่งงานกับคนปัญญาอ่อนเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกันเจ้าคะ ! ”
‘ดี ! หลี่ซื่อ ข้ามาสู่ขอสามสี่ครั้งแล้ว แต่เจ้ากลับมิตอบตกลง อย่ามาโทษข้านะ’
อี้หวางเฟยกล่าวคาดโทษอยู่ภายในใจ พร้อมกับฝืนยิ้มออกมาเพื่อข่มความโกรธเอาไว้ เมื่อได้ฟังหลี่ซื่อกล่าวว่าบุตรชายของตน แต่ดวงตาของนางนั้นกลับฉายแววเยือกเย็นออกมาจ้องมองไปทางหลี่ซื่อ
“หลี่ซื่อ ข้ามาสู่ขออย่างจริงใจ แต่เจ้ากลับกล่าวข้อเสียที่ลูกชายข้าโง่เขลานั้นมิหยุดหย่อน ถ้าเยี่ยงนั้นเราก็มากล่าวกันตามตรงเลยก็แล้วกัน ว่าลูกสาวของเจ้านั้นมีพฤติกรรมเยี่ยงไร”
“ในเมื่อเรื่องราวมาจนถึงตอนนี้แล้ว คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าอันหลิงอีทำร้ายพี่สาวของตนตอนที่อยู่ที่วัดชิงอวิ๋นโดยการปล่อยงูพิษเข้าไปในห้องอันหลิงเกอ คนจิตใจเลวทรามเยี่ยงนี้ ยังจะมีผู้ใดกล้าแต่งงานกับนางอีกรึ?”
“การที่ข้านั้นได้มาสู่ขอในวันนี้ก็เป็นเพราะลูกชายของข้านั้นโง่เขลา ตกหลุมรักอันหลิงอีจนโงหัวมิขึ้น จะแต่งงานกับนางให้ได้ วันนี้ข้าอยากจะถามฮูหยินผู้เฒ่าว่าถ้าอันหลิงอีมิแต่งงานกับลูกชายข้าแล้ว ยังจะไปแต่งงานกับผู้ใดได้อีก ? ”
คำกล่าวนี้ของอี้หวางเฟยช่างโหดเหี้ยมกว่าที่หลี่ซื่อกล่าวยิ่งนัก นางกล่าวพุ่งเป้าไปที่จิตใจซึ่งโหดเหี้ยมของอันหลิงอี อีกทั้งชื่อเสียงของอันหลิงอีในเมืองหลวงที่ปนปี้มิมีชิ้นดี และนางยังกล่าวย้ำอีกว่าผู้หญิงเยี่ยงนี้ เป็นบ้านอื่นใครก็มิกล้าแต่งเข้าบ้าน ?
บังเอิญลูกชายคนโตตนนั้นอ่อนหัดมิรู้ความ ถึงได้ตกหลุมรักอันหลิงอีเข้าให้ ถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่ามิยกอันหลิงอีให้แต่งงานกับอี้หมิง เรื่องแต่งงานออกเรือนไปของอันหลิงอีก็คงจะยากที่จะจัดการได้
แววตาของหวังซื่อที่ได้ฟังอี้หวางเฟยกล่าวออกมานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกสาแก่ใจและยัง
แอบสบสายตาอย่างเงียบ ๆ กับอี้หวางเฟยอีกด้วย จากนั้นนางถึงได้แอบลอบมองท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่าอย่างใจเย็น
หลังจากได้ยินคำกล่าวนี้ของอี้หวางเฟย ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าก็เต็มไปด้วยความโกรธ ดวงตาเฉียบคมตวัดมองไปทางหลี่ซื่อ ใบหน้าของนางสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังทนรักษากริยาท่าทางไว้ แล้วเอ่ยถามหลี่ซื่อออกไปเสียงเข้มว่า “หลี่ซื่อ ที่อี้หวางเฟยกล่าวว่าอันหลิงอีทำร้ายเกอเอ๋อ มีเรื่องเยี่ยงนี้เกิดขึ้นจริงรึ ? ”
หลี่ซื่อยังคิดที่จะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นหวังซื่อและอันหลิงเกอที่ยืนอยู่ด้านข้าง จึงมิสามารถกล่าวอันใดที่จะหักล้างกันได้ นางจึงได้แต่พยักหน้าลงอย่างมิเต็มใจ
“นั่นเป็นเพียงแค่อีเอ๋อกับเกอเอ๋อนั่นหยอกล้อกันเล่นเพียงเท่านั้น มิใช่การทำร้ายเกอเอ๋อร์จริง ๆ เสียหน่อยเจ้าค่ะ หากท่านแม่มิเชื่อข้า ท่านก็ถามเกอเอ๋อได้เพราะนางมิได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว”
เพราะกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะมิเชื่อ หลี่ซื่อส่งสายตาข่มขู่จ้องมองไปที่อันหลิงเกอ
เมื่ออันหลิงเกอเห็นสายตาที่หลี่ซื่อจ้องมองมายังตนก็แสร้งทำท่าทีหวาดกลัวเดินถอยไปด้านหลัง
ท่าทีที่แสดงออกเช่นนี้ตกอยู่ในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่า เป็นเหตุให้ฮูหยินผู้เฒ่ารับรู้ได้ทันทีว่า
อันหลิงเกอนั้นถูกรังแก แต่ก็มิกล้าที่จะกล่าวความจริงออกมา
เมื่อเห็นเช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยออกมาว่า “เกอเอ๋อ อย่าได้กลัวเรื่องจริงเป็นเยี่ยงไร เจ้าก็กล่าวออกมาเถิด เจ้ามีย่าอยู่ คนอื่นอย่าได้คิดแม้แต่จะมาแตะต้องเจ้าได้”
อันหลิงเกอหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่าอย่างลังเลใจ และถามออกไปอย่างขี้ขลาดว่า “ท่านย่าจะอยู่ข้างเกอเอ๋อจริงหรือไม่เจ้าคะ?”
ท่าทางที่น่าสงสารเช่นนี้ของนางมันทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสงสารอย่างจับใจ ลูกสาวของภริยาเอกของจวนโหวกลับขี้ขลาดเช่นนี้ นี่มิใช่เพราะว่าหลี่ซื่อที่เป็นอี๋เหนียงโอหังมากเกินไปหรอกรึ !
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและสัญญาอย่างจริงจังว่า “ขอเพียงเจ้าเอ่ยความจริงออกมา ย่าก็จะเป็นคนตัดสินให้เจ้าเอง”
อันหลิงเกอเมื่อได้ฟังกล่าวเยี่ยงนี้แล้ว ก็ก้าวเดินไปด้านข้างของฮูหยินผู้เฒ่าราวกับว่าได้ตัดสินใจแล้ว จากนั้นนางค่อย ๆ ม้วนแขนเสื้อขึ้น รอยเขี้ยวสองรูบนข้อมือก็ปรากฏออกมาสู่สายตาของฮูหยินผู้เฒ่า
“นี่คือรอยที่ถูกงูพิษกัดในคืนนั้นเจ้าค่ะ โชคดีที่เจอมันเร็ว ปี้จูจึงไปถามหายาแก้พิษจากอาจารย์ในวัด จึงมิเป็นอันใดเจ้าค่ะ”
ดวงตาที่ขุ่นมัวแต่เฉียบคมของฮูหยินผู้เฒ่ามองดูบาดแผลที่ยังมิหายดีบนข้อมือของอันหลิงเกอ
พลันใบหน้าก็ยิ่งเคร่งเครียดขึ้น
จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบมองหลี่ซื่อด้วยสายตาที่เย็นชาและแฝงไปด้วยความรังเกียจเป็นอย่างมาก แล้วเอ่ยถามหลี่ซื่อออกไปเสียงเข้มว่า “นี่คือสิ่งที่เจ้าพูดว่าหยอกล้อกันเล่นเยี่ยงนั้นรึ ? ถ้ามิใช่เพราะเกอเอ๋อดวงแข็ง เกรงว่าข้าคงมิได้พบกับนางแล้ว ! “
“หลี่ซื่อ เจ้าสอนลูกสาวให้ดีมิได้ ให้อันหลิงอีลงมือทำเรื่องชั่วช้าเยี่ยงนี้ออกมา และยังมาทำให้ชื่อเสียงของจวนโหวขายขี้หน้าคนไปทั่วทั้งเมืองหลวง ข้าขอสั่งกักบริเวณเจ้า 1 เดือน ! ”
“สำหรับอันหลิงอี จวนโหวของข้าคงเลี้ยงดูผู้หญิงใจร้ายเยี่ยงนี้ต่อไปมิได้ แต่งงานออกเรือนไปยิ่งเร็วยิ่งดี ช่างโชคดีที่อี้หวางเฟยมิรังเกียจ ในเมื่อเรื่องเป็นเยี่ยงนี้ก็ให้อันหลิงอีแต่งงานเข้าจวนอ๋องอีเถอะ”
ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากำลังโมโหอย่างมาก หลังจากที่กล่าวคำนี้ออกไปก็มิให้โอกาส หลี่ซื่อปฏิเสธได้เลย พูดเพียงมิกี่คำก็ตอบตกลง ทำให้งานแต่งของอันหลิงอีจบลงด้วยดี
เมื่อหวังซื่อได้ยินเช่นนี้ก็ส่งยิ้มยั่วเย้าให้หลี่ซื่อทันที แล้วนึกเยาะเย้ยภายในใจ
หึ ! ในเมื่อเจ้ากล้าที่จะลอบกัดข้า ข้าก็จะส่งลูกสาวของเจ้าให้แต่งงานกับคนปัญญาอ่อน ให้เจ้าตกอยู่กับความเจ็บปวดไปทั้งวันทั้งคืน
ในตอนนี้หลี่ซื่อรู้สึกเพียงแค่แน่นหน้าอกและหายใจลำบาก ดวงตามืดมน มีกลิ่นเลือดปะปนออกมาในลำคอ ราวกับว่านางกำลังจะกระอักออกมาเป็นเลือดเยี่ยงนั้น
แต่สุดท้ายนางก็ทำได้เพียงกัดริมฝีปากและใบหน้าขาวซีดด้วยความโกรธ พร้อมกับกล่าวออกมาอย่างจำยอมว่า “ท่านแม่กล่าวถูกแล้วเจ้าค่ะ เชี่ยเซินแล้วแต่ท่านแม่เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นหลี่ซื่อผู้หยิ่งจองหองอยู่เสมอถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ อี้หวางเฟยก็รู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก เมื่อครั้งก่อนที่นางมาสู่ขอ นางก็โดนหลี่ซื่อดูถูกนางอย่างหนัก แต่คราวนี้หลี่ซื่อกลับตอบรับการแต่งงานอย่างว่านอนสอนง่าย
รออันหลิงอีแต่งงานเข้าจวนอ๋องอี้เสียก่อนเถิด นางจะทรมานอันหลิงอีอย่างหนัก เพื่อให้นางผู้หญิงแพศยาผู้นั้นและหลี่ซื่อได้เห็นดีเห็นชั่วกันไปเลย !