ตอนที่ 52 มีความลับอื่นอีก
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องและรถม้าหยุดลง พลันให้ความทรงจำครั้งก่อนที่นั่งรถม้าไปยังวัดชิงอวิ๋น แล้วเจอกับม้าพยศตัวหนึ่งเข้า ความทรงจำนี้ทำให้ใบหน้าของ ปี้จู เปลี่ยนไปทันที นางยกม่านขึ้นแล้วมองสำรวจออกไปดู
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
มิต้องรอให้นางไต่ถาม ตรงหน้ารถม้ามีคนนอนอยู่ผู้หนึ่ง ปากกำลังร้องตะโกนโวยวายอยู่
“ชนคนแล้ว ชนคนแล้ว ! ”
ขณะที่เขาร้องตะโกนก็ขยับเข้าไปใกล้ทิศทางของรถม้าเล็กน้อย ลากขาด้วยท่าทางที่น่าสงสาร ราวกับว่าเขาถูกรถม้าชนและได้รับบาดเจ็บสาหัส
แม้ว่าปี้จูจะอยู่ในจวนมาตลอดทั้งปี แต่ก็รู้ว่าได้พบกับปรมาจารย์นักต้มตุ๋นเข้าเสียแล้ว พูดกันตรง ๆ ก็คือนักต้มตุ๋น
นางกระโดดลงมาจากรถม้า ดวงตากลมมองไปมา อดไม่ได้ที่จะเท้าเอวสบถด่าชายผู้นั้น
“อยากต้มตุ๋นหลอกลวงใคร ทำไมไม่หาที่ที่มันดีหน่อย ถนนฉางอานมีผู้คนสัญจรไปมา รถม้าของข้าเคลื่อนช้าเยี่ยงนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไปชนเจ้าเข้า ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส”
เห็นได้ชัดว่าชายที่ตะโกนผู้นั้นเป็นคนเร่ร่อนที่เตร็ดเตร่ไปทั่ว เขามีรูปร่างผอมโซ สายตาวอกแวก
เมื่อเห็นปี้จูลงมาจากรถม้า ชายคนนั้นก็จ้องไปปี้จูที่อยู่ตรงหน้าอย่างมิละสายตา ทำทีเดินกระโผลกกระเผลก ทำให้ปี้จูคลื่นไส้อยากจะอาเจียน
“มองอันใดกัน ยังมิรีบไสหัวไปมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลยนะ ! ”
นางจ้องมองไปที่ชายผู้นั้นและหันหลังกลับเพื่อจะขึ้นรถม้า
แต่นักต้มตุ๋นก็ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ด้วยง่าย ๆ คนผู้นั้นละสายตา กอดขาข้างหนึ่งแล้วเริ่มพูดเสียงดังว่า “ทุกคนมาดูเร็ว ไม่รู้คุณหนูท่านนี้เป็นคุณหนูตระกูลไหนถึงหยิ่งยโสเช่นนี้ ชนคนแล้วก็มิรู้จักขอโทษ แต่กลับใช้ให้ข้าไสหัวกลับไปในทางที่มา นี่คือคุณหนูตระกูลขุนนาง พวกเราไม่สามารถไปทำให้ขุ่นเคืองใจได้ ! “
เมื่อพูดถึงคุณหนูตระกูลขุนนาง ทุกคนบนท้องถนนต่างให้ความสนใจและมองดูชายคนนั้นที่เสแสร้งทำเป็นร้องตะโกนราวกับเจ็บปวดสุดขีด แต่เจ้าของรถม้าก็ยังไม่อออกมาปรากฏตัว พฤติกรรมเช่นนี้ได้ปลุกเร้าความแค้นของทุกคนให้มีต่อความร่ำรวยและพวกขุนนาง
“ชนคนแล้วยังจะมาหยิ่งยโสเช่นนี้ จิตใจคับแคบ ไร้น้ำใจซะจริง ๆ ! “
ชายร่างเล็กวัยกลางคนผู้หนึ่งชี้มาที่รถม้า ด้วยท่าทางที่เคียดแค้นชิงชัง
คิดถึงตัวเขาเองที่ทนอ่านหนังสือมาอย่างยากลำบากหลังจากเรียนหนักมา 10 ปี แต่สุดท้ายเขาก็เป็นได้แค่ชิ่วไฉตำแหน่งเล็ก ๆ คนหนึ่ง ลูกท่านหลานเธอจากตระกูลขุนนางเหล่านี้เกิดมาพร้อมกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด เกิดมาพร้อมกับเสื้อผ้าและอาหารที่อุดมสมบูรณ์ จะมิทำให้คนโกรธแค้นได้เยี่ยงไร ?
มีเขามาช่วยพูด คนรอบข้างก็กล้าหาญขึ้น แต่ละคนพากันเสียงดังโวยวายขึ้น
“ก็แค่ชนคน จากนั้นก็ออกมาขอโทษและจ่ายเงินชดเชยไปซะไม่กี่ตำลึงสำหรับการรักษาพยาบาล มันก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด”
“ดูรถม้าที่งดงามและหรูหรา คงจะไม่เต็มใจชดใช้เงินให้เขาแค่สองสามตำลึงหรอกนะ”
ปี้จูที่เดิมทีสั่งสอนนักต้มตุ๋นผู้นั้นด้วยความโมโห แต่ไม่คาดคิดจะถูกผู้คนโจมตีกลับในชั่วพริบตา แต่ละคนพูดอย่างมีเหตุผลถูกต้องและวาจาเต็มไปด้วยสัจธรรม ราวกับว่ากำลังถามหาความยุติธรรมกันอยู่
นางอยากจะพูดสวนกลับ อยากจะพิสูจน์ว่าคนผู้นั้นคือนักต้มตุ๋นที่ใส่ร้ายพวกนาง แต่ผู้คนกลับไม่ให้โอกาสนางได้เอยปากพูด คำพูดแต่ละคำพรั่งพรูคำตำหนิติเตียนมาให้ ทำเอาปี้จูขอบตาแดงก่ำและถึงกับน้ำตาซึม
อันหลิงเกอได้ยินว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงลงมาจากรถทันที
นางสวมหมวกคลุมสีดำคลุมใบหน้าเกือบทั้งหมด มีเพียงดวงตาคู่เดียวที่มองเห็นผ่านความมืดมิด ทั้งหมดในโลก สว่างจ้าจนผู้คนไม่กล้าสบตากัน
เมื่อเห็นนางปรากฏตัว ก็เกิดความเงียบขึ้นท่ามกลางผู้ชม
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนนี้ห่อหุ้มตัวไว้อย่างแน่นหนา แต่ทุกคนก็ยังเห็นความสง่างามที่ปกปิดไว้มิได้จากตัวนาง
ถ้าบอกว่าทำไมถึงมีความรู้สึกเช่นนี้ อาจเป็นได้ว่าบุคคลผู้นั้นมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ติดตัวมา บวกกับดวงตาที่ใสแจ๋ว เพียงแค่ปรากฏตัวขึ้นก็ทำให้หลายคนลืมตัว
ยังเป็นนักต้มตุ๋นที่ได้สติกลับมาก่อน เขาแอบลอบมองไปที่อันหลิงเกอ และในขณะที่กำลังคิดว่ารูปร่างของผู้หญิงคนนี้ดี มีสะโพกและบั้นท้ายที่สวยงามอยู่นั้น ก็รู้สึกหนาว ความเย็นสะท้านขึ้นมาจากฝ่าเท้าทันที
เขาตัวสั่นและรีบถอนสายตากลับอย่างรวดเร็ว
“เจ้าเป็นเจ้านายของสาวใช้คนนี้ใช่หรือไม่?”
นักต้มตุ๋นเงยหน้าขึ้น เชิดจมูก ไม่กอดขาตัวเองและร้องไห้อีก
“รถม้าของเจ้าชนข้าบาดเจ็บ ข้าอาจเดินไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เจ้าดูสิจะชดใช้เยี่ยงไร “
อันหลิงเกอมิโกรธแต่กลับยิ้มและถามกลับไปว่า “รถม้าของข้าชนเจ้าได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่?”
“ขาของข้าถูกรถม้าชนหักแล้ว สาวใช้ของเจ้ายังไล่ให้ข้าไสหัวกลับไปในทางที่มาอีก ถ้าเจ้าชดใช้เงินเรื่องนี้ก็จบ ไม่อย่างนั้น เราไปเจอกันที่ศาลาว่าการ ! ”
นักต้มตุ๋นมองดูผู้คนโดยรอบ ด้วยความมั่นใจ
คุณหนูบุตรีขุนนางที่มีเสน่ห์เหล่านี้หลอกลวงง่ายที่สุดเพราะให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมาก ตอนนี้ทุกคนต่างมองมาด้วยสายตาที่สนใจ แค่เขาข่มขู่ให้หวาดกลัวเล็กน้อย และเอยถึงชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล พวกนางก็จะให้เงินอย่างว่านอนสอนง่าย
แต่ไม่คาดคิดว่าอันหลิงเกอจะขยับไปด้านข้าง ดึงปี้จูเดินตามออกไปด้วย น้ำเสียงหญิงสาวที่คมชัดแฝงไปด้วยด้วยความเยือกเย็นพลันดังขึ้นมาว่า “ชนเลย ถ้าชนแล้วได้รับบาดเจ็บ พวกเราจะชดใช้เงิน ถ้าชนแล้วตายจะจัดงานศพให้”
นางยิ้มอย่างนุ่มนวล แต่สิ่งที่นางพูดออกมานั้นโหดเหี้ยมไม่เหมือนอย่างที่เด็กสาววัยนี้จะนึกคิดออกมาได้
นักต้มตุ๋นเงยหน้าขึ้นและสบตากับดวงตาคู่นั้นของอันหลิงเกอ ถึงรู้สึกได้ว่ามันเหมือนถูกน้ำแข็งปกคลุม หนาวเย็นจนสะท้าน
คนขับรถม้าค่อนข้างลังเลใจ นี้มันท่ามกลางสายตาของผู้คน ถ้าชนเข้าไปแบบนี้จริง ๆ จะถูกผู้คนด่าว่า แต่ละคนต้องถ่มน้ำลายรดให้พวกเขาตายแน่
“คุณหนู นี่มันไม่ค่อยดีกระมัง ? ”
เขารวบรวมความกล้าที่จะพูดประโยคนี้ออกมา แต่กลับเห็นอันหลิงเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม แต่คำพูดกลับไม่ยอมให้ใครโต้เถียงได้แม้แต่คำเดียว
“ชน ! “
คนขับรถม้ากลืนน้ำลาย ตัดสินใจ ยกแส้ขึ้นสูง “ฮึย ! ”
เสียงกีบเท้าส่งเสียง กีบหน้าของมันยกขึ้น และกำลังจะวิ่งไปข้างหน้า
นักต้มตุ๋นมีหรือจะเคยเห็นการต่อสู้เช่นนี้ เมื่อเห็นว่าเกือกม้ากำลังจะเหยียบลงบนตัวเขา ใบหน้าผอมบางของเขาก็มีรอยย่นขึ้น จึงรีบถอยร่นหนีไปอีกด้าน
หลังจากกลิ้งติดต่อกันไปหลายตลบ ชายผู้นั้นถึงได้หลบเกือกม้าได้ กุมหน้าอกลุกยืนขึ้นจากพื้น
“เจ้ากล่าวมิใช่หรือว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บที่ขา เหตุใดตอนนี้มิได้เป็นอันใดเลย ? ”
มีคนที่มีสายตาแหลมคมที่อยู่โดยรอบ พบว่าขาของคนผู้นั้นลุกยืนขึ้นมาได้อย่างปกติ ไม่มีตรงจุดไหนของขาที่หักเลยแม้แต่น้อย ?
คนอื่น ๆ ได้สติกลับคืนมาทีละคนและรู้ว่าตัวเองถูกหลอก พวกเขาแต่ละคนค่อย ๆ ทยอยสาปแช่งว่านักต้มตุ๋นไร้คุณธรรมไม่สมควรได้ดี…
เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกจับได้ นักต้มตุ๋นผู้นั้นก็มิกล้าที่จะอยู่ต่อไปอีก หาตรอกซอกซอยที่มีคนน้อย วิ่งเข้าไปแล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
อันหลิงเกอกลับขึ้นไปบนรถม้า โดยมิทันสังเกตเห็นชายคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง ยกมุมปากขึ้นและพูดกระซิบบางอย่างออกมา หลังจากคำพูดจบก็ปลิวหายไปท่ามกลางฝูงชนพร้อมกับสายลม
ปี้จูถือกล่องเล็ก ๆ ใบนั้นไว้ ในมือ เดินตามอันหลิงเกอไปที่จิ่นชิ่วเกอก่อน
เจ้าของร้านของจิ่วชิ่วเกอเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่ห้าสิบปี เมื่อเห็นอันหลิงเกอเข้ามา เขาก็รีบเข้าไปทักทายทันทีด้วยความเคารพ
“นายหญิงน้อย”
เขากระซิบกระซาบ อันหลิงเกอจึงเลิกคิ้วขึ้น
ในความทรงจำของนาง นางไม่เคยเห็นบุคคลผู้นี้มาก่อน แม้ว่าแม่ของนางจะเป็นเถ้าแก่ใหญ่ของจิ่นชิ่วเกอ แต่ก็ไม่สามารถเป็นเจ้านายตามที่เจ้าของร้านเรียกขานได้ และยิ่งไปกว่านั้น นับประสาอะไรกับแค่ตัวเองถือแค่โฉนดบ้านอยู่ ?
เจ้าของร้านหัวเราะอย่างอารมณ์ดี มองดูอันหลิงเกอด้วยแววตาที่ปลอบประโลมและซับซ้อน
“นายหญิงเสียชีวิตเร็ว จึงไม่ทันบอกเรื่องนี้กับท่าน…”
เขายื่นกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งให้กับมืออันหลิงเกอ อันหลิงเกอก้มมองสักพัก ก็มีแววตาที่ตื่นตกใจ