ตอนที่ 54 ผลักภาระ
อันหลิงเกอนึกถึงตัวเองในตอนนั้นที่มักจะสวมเครื่องประดับทองและเงินอยู่เสมอ บนหัวเต็มไปด้วยปิ่นปักผม ช่างเป็นการแต่งกายที่ดูราคาถูกมาก
นางถึงกับได้ยินบรรดาสาวใช้มาสุ่มหัวกันนินทากันลับหลังนางว่าคุณหนูใหญ่เป็นถึงบุตรสาวของจวนโหว แต่กลับทำตัวเหมือนบุตรสาวของเศรษฐีเกิดใหม่คนหนึ่ง ดูมิมีเสน่ห์ของสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างที่ควรจะมีเลย
ในเวลานั้น นางคิดแค่ว่าตัวเองขี้ขลาดและน้อยเนื้อต่ำใจเกินไป แต่มิรู้ว่านี้เป็นฝีมือของอี๋เหนียงทั้งหมด ในเมื่อตอนนี้นางกลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว อี๋เหนียงก็ยังคงต้องการใช้วิธีนี้เพื่อมาปกปิดเสน่ห์ของนางมันช่างปัญญาอ่อนเสียจริง
ดวงตาของอันหลิงเกอเป็นประกายแล้วกล่าวตอบหลี่ซื่อไปว่า “ขอบคุณสำหรับความหวังดีของอี๋เหนียง แต่อี๋เหนียงอายุมากแล้ว มีมุมมองที่แตกต่างไปจากพวกเรา เกอเอ๋อขอเลือกเองดีกว่าเจ้าค่ะ”
คำกล่าวของอันหลิงเกอแอบแว้งกัดหลี่ซื่อ หวังซื่อที่อยู่ด้านข้างเมื่อได้ฟังก็หัวเราะดังลั่นออกมาจนถูกฮูหยินผู้เฒ่ามองค้อน นางถึงได้เม้มริมฝีปากกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้
หลังจากนั้นอันหลิงเกอก็หันไปกวาดตามองผ้าทั้งหมดบนโต๊ะ และชี้ไปที่ผ้าหยุนหลิงสีเหลืองห่านผืนตรงกลางนั้น แล้วกล่าวออกมาว่า “ข้าคิดว่าวัตถุดิบของผ้าผืนนี้ดูสวยยิ่งนัก ข้าเลือกผ้าผืนนี้เลยก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
ผ้าหยุนหลิงสีไข่ห่านดูดีช่างดูดีเสียจริง แต่มีหลายคนที่มิกล้าใช้ผ้าเช่นนี้ทำเป็นเสื้อผ้า เหตุผลก็เป็นเพราะผ้าสีไข่ห่านเลือกเจ้าของ ถ้ามิใช่ผู้หญิงที่ผิวขาวผ่องใส่ เมื่อสวมใส่ไปแล้วก็จะกลับทำให้ผิวยิ่งดูดำคล้ำลงไป
แต่ชาตินี้อันหลิงเกอมิได้ถูกอี๋เหนียงกลั่นแกล้ง จึงมิมีแป้งหนา ๆ อยู่บนใบหน้า จึงทำให้ผิวพรรณที่เรียบเนียนราวกับหิมะปรากฏออกมา
หากเสื้อผ้าสีเหลืองไข่ห่านสวมใส่อยู่บนตัวของอันหลิงเกอ มันมิได้ทำให้อันหลิงเกอนั้นผิวพรรณหมองคล้ำลงแต่อย่างใด กลับกัน มันยิ่งขับผิวขาวใสของอันหลิงเกอให้เปิดเผยออกมาแทน
อันหลิงเฉ่วที่ยืนอยู่ด้านข้างดวงตากลมโตของนาง ฉายแววที่มองมิออกว่านางคิดอันใดอยู่ จู่ ๆ นางก็กล่าวขึ้นมาว่า “ข้าว่าผ้าสีเหลืองไข่ห่านนี้มันฆ่าคนเกินไปนะเจ้าคะ สู้พี่หญิงเปลี่ยนสีจะดีกว่า สีเขียวอ่อนผืนนี้ก็ดูสวยดีนะเจ้าคะ”
อันหลิงเฉ่วกล่าวพร้อมกับชี้ไปที่ผ้าที่อยู่ด้านข้าง ผ้าผืนมินับเป็นสีที่ใส่แล้วดูมิมีสง่าราศีและมิได้ดูเชยไป แม้ว่ามันจะเหมาะกับวัยอย่างอันหลิงเกอ แต่ก็มิได้ดีเท่ากับสีเหลืองห่านที่จะช่วยขับผิวของอันหลิงเกอให้ดูผ่องใสขึ้น
หากมิมีถุงเงินกลิ่นชะมดใบนั้นที่อันหลิงเฉ่วเคยนำมามอบให้ตน อันหลิงเกอคงคิดว่าสายตาของอันหลิงเฉ่วมีปัญหาเป็นแน่ ถึงได้แนะนำให้ตนเองเลือกผ้าสีเขียวอ่อนผืนนั้นได้
แต่เมื่อนำเรื่องทั้งสองมาปะติปะต่อกัน นางก็คิดว่าน้องรองคนนี้มิใช่ธรรมดาเสียแล้ว แม้จะคิดเยี่ยงนี้ แต่สีหน้าท่าทีของอันหลิงเกอยังคงมิเปลี่ยนแปลง มีเพียงคิ้วคู่หนึ่งที่ย่นขึ้นเล็กน้อยราวกับว่ากำลังครุ่นคิดว่าผ้าผืนไหนดีกว่ากัน
เมื่อเห็นอันหลิงเฉ่วกล่าวเยี่ยงนั้น อันหลิงอีก็ได้ทีรีบเอ่ยเสริมขึ้นในทันที
“ใช่เจ้าค่ะ เนื้อผ้าสีเขียวอ่อนนี้ดีมาก สู้พี่หญิงเอาผ้าผืนนี้ก็ดีนะเจ้าคะ”
เหตุใดนางจะดูมิออก อันหลิงเกอที่เดิมทีสวยที่สุดในในบรรดาคุณหนูทั้งหมด ใบหน้าที่งดงามนั้นได้ทำให้ผู้อื่นที่อยู่ด้วยหม่นหมองไร้สีสันลงได้ ถ้าหากอันหลิงเกอได้สวมชุดสีเหลืองไข่ห่านนี้อีก คงมิทำให้พวกนางจมดินไปเลยหรอกรึ
เมื่อถึงเวลานั้นในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิในวังหลวง พวกนางยังจะมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากได้อีกรึ
อันหลิงเกอจ้องมองไปที่อันหลิงเฉ่ว เป็นเหตุให้อันหลิงเฉ่วหลีกเลี่ยงสายตาของนางด้วยความกังวลแต่ปากก็ยังคงกล่าวเกลี้ยกล่อม
“น้องสามก็ยังกล่าวชมออกมาถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าผ้าสีเขียวอ่อนผืนนี้ดูดีมากจริง ๆ ”
อันหลิงเฉ่วมิกล้าที่จะเตือนอันหลิงเกอไปตามตรง ทำได้เพียงชื่นชมผ้าผืนนั้นว่าสวย
โดยหวังว่า อันหลิงเกอจะเปลี่ยนความคิด
แต่อันหลิงเกอกลับฉีกยิ้มออกมา แล้วกล่าวออกมาว่า “คิดมิถึงว่าน้องเฉ่วเอ๋อจะชื่นชอบผ้าผืนนี้เอามากถึงเพียงนี้”
จากนั้นอันหลิงเกอก็จ้องมองไปที่อันหลิงเฉ่ว ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“ตัวพี่นั้นมีผ้าผืนที่ชอบแล้ว แต่น้องเฉ่วเอ๋อยังมิได้เลือก เมื่อเจ้ารู้สึกว่าผ้าผืนนี้สวยยิ่งนัก
ข้าจะแย่งของที่เจ้าชอบมาได้เยี่ยงไรกัน ? ผ้าผืนนี้ข้าขอมอบให้น้องเฉ่วเอ๋อก็แล้วกันนะ”
เมื่ออันหลิงเฉ่วได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าแทบจะหดหายไป ผ้าสีเขียวอ่อนนั้นนางก็แค่ชี้มั่วไปเรื่อยเท่านั้น หาได้ชอบจริง ๆ ที่ไหนกันเล่า ?
แต่ทุกคนเพิ่งได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวชื่นชมผ้าชิ้นนั้น ต่างก็คิดกันไปว่าอันหลิงเฉ่วคงจะชอบผ้าชิ้นนี้จริง ๆ
อาสะใภ้สามเจิ้งซื่อมองดูผ้าผืนที่บุตรสาวของตนนั้นกล่าวว่าสวยยิ่งนัก จากนั้นก็หันกลับมองดูบุตรสาวของตัวเองอีกครา ดูเหมือนว่าผ้าผืนนี้ก็ดูไปดูมาก็เหมาะสมกับอันหลิงเฉ่วอยู่เหมือนกัน
“ผ้าผืนนี้ดูดีมากจริง ๆ เฉ่วเอ๋อ ถ้าเจ้าชอบก็เอามันเลยก็ได้นะลูก”
อันหลิงเฉ่วเมื่อได้ฟังที่แม่ตนเองกล่าว ก็รู้สึกราวกับหายใจมิออก และเกือบจะกระอักออกมาเป็นเลือดก็มิปาน แต่นางกังวลเรื่องภาพลักษณ์ของตัวเอง จึงทำได้แค่แสร้งทำเป็นว่าตัวเองชอบผ้าผืนนี้มากเพียงเท่านั้น พร้อมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
“ในเมื่อพี่หญิงมิอยากได้ผ้าผืนนี้ ถ้าเช่นนั้นข้าเอาแล้วนะเจ้าคะ พี่หญิงอย่าเสียใจและคิดที่จะเปลี่ยนใจภายหลังมิได้แล้วนะเจ้าคะ”
เดิมทีนางอายุน้อยกว่าอันหลิงเกอ 2 ปี ใบหน้าเล็กที่มีความอ้วนกลมเหมือนเด็ก ทำให้ดูอ่อนโยนและค่อนข้างน่ารัก เมื่อนางได้กล่าวออกมาเยี่ยงนี้ในเวลานี้ ทำให้คนอื่นคิดว่านางนั้นไร้เดียงสาและน่ารักโดยมิคิดเป็นอื่น
เมื่อมิสามารถวางแผนให้อันหลิงเกอสวมใส่เสื้อผ้าที่เกินงามนั้นได้ หลี่ซื่อก็รู้สึกค่อนข้างผิดหวังแต่นางก็ยังคงมีแผนสำรองอยู่ เช่นนั้นในเวลานี้จึงมิได้รีบร้อนอันใด
เมื่อเห็นทุกคนต่างเลือกหยิบผ้าขึ้นมากันทีละชิ้นแล้ว ช่างตัดเสื้อถึงได้กล่าวลา แล้วกลับออกจากจวนโหวไป
ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่สักพักก็รู้สึกเหนื่อยจึงให้สาวรับใช้ที่อยู่ข้างกายพาตนเองกลับเรือน ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันกลับเรือนของตนเช่นกัน
“พี่หญิงเจ้าคะ รอก่อนเจ้าค่ะ”
อันหลิงเฉ่ววิ่งเหยาะ ๆ ตามหลังอันหลิงเกอมา และร้องตะโกนเรียกนางเอาไว้
ทันทีที่ปี้จูเจอกับคนที่ทำร้ายคุณหนูของนางก็รู้สึกมิชอบหน้า จึงคิดที่จะปกป้องอันหลิงเกอ นางจึงค่อยยืนอยู่ข้างกายอันหลิงเกออยู่ตลอดเวลา
อันหลิงเกอหันหน้ากลับไปมองดูใบหน้าแดงก่ำของอันหลิงเฉ่วที่เหนื่อยจากการวิ่งมาหาตน แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย
“น้องเฉ่วเอ๋อร์มีอันใดรึ ? “
อันหลิงเฉ่วหอบหายใจ และรู้สึกเขินอายเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวออกไปว่า “ข้าเคยอาศัยอยู่กับแต่ท่านย่าที่บ้านเก่า มิค่อยคุ้นเคยกับเมืองหลวงเท่าไรนัก พี่หญิงช่วยเล่าเรื่องราวในเมืองหลวงให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ ? “
นางมีท่าทีดูสนิทสนมและไว้ใจอันหลิงเกอมาก แต่สองมือของนางกลับบิดผ้าเช็ดหน้าเอาไว้แน่น
“ถ้าพี่หญิงลำบากใจ ก็มิเป็นไรนะเจ้าคะ เฉ่วเอ๋อร์…. เฉ่วเอ๋อร์ ไปเอ่ยถามผู้อื่นก็ได้เจ้าค่ะ”
น้องสาวที่ไร้เดียงสาและน่ารักอยากจะสนิทสนมกับตน ถ้ามิติดว่าสิ่งที่อันหลิงเฉ่วเคยทำกับตนเอาไว้ อันหลิงเกอจะต้องชอบนางเอามากเป็นแน่ แต่น่าเสียดายที่การกระทำทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
มุมปากอันหลิงเกอยกขึ้น ดวงตาสีดำสนิททอประกายออกมา แล้วกล่าวออกไปว่า “มีอันใดให้พี่ต้องลำบากใจกัน น้องหญิงตามพี่ไปที่ลานบ้าน พวกเราไปนั่งจิบชาคุยกัน แล้วพี่หญิงจะเล่าทุกเรื่องที่เจ้าสงสัยให้ฟังเอง”
จากนั้นอันหลิงเกอพาอันหลิงเฉ่วไปที่ลานบ้านของเรือนฉีอู๋ ทางด้านปี้จูก็เก็บซ่อนความรังเกียจบนใบหน้าที่มีต่ออันหลิงเฉ่วไว้ และยกน้ำชามาให้ทั้งสองคนด้วยความเคารพ
หลังจากนั้นอันหลิงเฉ่วเอ่ยถามนู่นถามนี่ออกมา ถ้าเรื่องใดที่อันหลิงเกอรู้ก็จะบอกทุกอย่าง
มิมีปกปิดไว้เลยแม้แต่น้อย
“ข้าได้ยินมาว่าคู่หมั้นของพี่หญิง อืม..เป็นมู่ซื่อจื่อที่หน้าตาหล่อเหลา และเป็นลูกเขยในฝันของผู้หญิงหลายคน พี่หญิงก็คิดเยี่ยงนั้นด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
นางยกมือเท้าคางเงยหน้าขึ้นมองอันหลิงเกอ ดวงตากลมโตกะพริบราวกับเด็กสาวไร้เดียงสา
ใครเล่าจะเดานิสัยของนางออกได้ในเวลานี้
เมื่อถูกเอ่ยถามเรื่องนี้ออกมาตามตรงอันหลิงเกอก็ตกตะลึงงันไปพักหนึ่ง แต่ก็ได้สติกลับมาโดยเร็ว แล้วกล่าวตอบออกไปอย่างหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้ว่า “ข้ากับมู่ซื่อจื่อมิได้สานสัมพันธ์อันใดต่อกัน ข้ารู้เรื่องที่เกี่ยวกับเขามิมากนักหรอก”
“นั่นมันเป็นคู่หมั้นของพี่หญิงนะเจ้าคะ พี่หญิงมิรู้ได้เยี่ยงไรกัน ? ”
อันหลิงเฉ่วถามกลับทันที เหมือนรู้ว่าเองเพิ่งรู้ตัวว่าตนนั้นแสดงออกมากไป นางถึงได้หัวเราะแก้เก้อออกมา
“เอ่อ..ข้าหมายความว่า พี่หญิงจะต้องแต่งงานกับมู่ซื่อจื่อแล้ว ท่านควรจะต้องรู้จักเขาให้มากกว่านี้หน่อยนะเจ้าคะ”