ตอนที่ 57 ไปงานเลี้ยงอย่างยินดีปรีดา
นี่เป็นการยึดอำนาจไปจากมือของตัวเอง ?
แม่นมเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ สะสางงานบ้านมาครึ่งค่อนชีวิต เหตุใดจะมิเข้าใจความหมายที่อันหลิงเกอกล่าวออกมา ?
นางเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ เห็นแต่รอยยิ้มอันอ่อนโยนของอันหลิงเกอ แม่นมมิแน่ใจว่า อันหลิงเกอนึกถึงตัวเองด้วยความจริงใจ หรือสงสัยในตัวนางกันแน่ เดิมทีนางคิดที่จะเอ่ยปากคัดค้าน แต่เมื่อเห็นปี้จูจับแขนและมองดูนางอย่างเย็นชา จึงได้เปลี่ยนคำกล่าว
“คุณหนูใหญ่รักและมีเมตตาต่อบ่าวเยี่ยงนี้ บ่าวรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนักเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นแม่นมยอมถอยออกไปอย่ามิเต็มใจ ใบหน้ากลม ๆ ของปี้จูก็ฉีกยิ้มสดใส และหันไปถ่มน้ำลายรดไปทางที่แม่นมเดินจากไป
“บ่าวชรา คิดอยากจะปีนขึ้นมาบนหัวของคุณหนูเยี่ยงนั้นรึ เพื่อมาวางอำนาจบาตรใหญ่นะสิ ! “
อันหลิงเกอหัวเราะ ปี้จูที่มิชอบแม่นมมาตลอด ตอนนี้ทำให้แม่นมขายขี้หน้าได้ เกรงว่าปี้จูนางจะมีความสุขมากกว่าตนเองด้วยซ้ำไป
……
เวลาสองสามวันผ่านไป เพียงพริบตาก็มาถึงงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ
ช่างตัดเสื้อของร้านเทียนยี่ฟางได้ส่งเสื้อผ้าที่ตัดเสร็จแล้วมายังจวนโหวก่อนวันงานเลี้ยงในฤดูใบไม้ผลิล่วงหน้าวันหนึ่ง ปี้จูจ้องมองไปที่เสื้อผ้าไหมหยุนจินลวดลายผีเสื้อสีทองอย่างตกตะลึงงัน
เดิมทีอันหลิงเกอเป็นสาวงามอยู่แล้ว แต่ในอดีตนางอาจมีนิสัยขี้ขลาดจึงมักจะก้มหน้าก้มตาอยู่เสมอ
ส่วนมากมักจะถูกจับแต่งตัวแก่ล้าสมัยเพื่อบดบังรูปลักษณ์หน้าตาอันสวยงามเอาไว้ จึงเป็นธรรมดาที่จะมิมีใครสนใจรูปลักษณ์ของนาง
หลังจากที่นางฟื้นจากการตกลงไปในน้ำครานั้น อันหลิงเกอเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนกัน
และความงามที่แท้จริงก็ถูกเปิดเผยออกมา แม้นางชอบสวมใส่เสื้อผ้าที่เรียบง่ายอยู่เสมอ แต่ก็ยังทำให้ใบหน้านั่นดูเปล่งปลั่งและงดงามขึ้นมาได้
เดิมปี้จูคิดว่าตนเองนั้นคุ้นเคยกับรูปร่างหน้าตาของคุณหนูอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นอันหลิงเกอใส่ชุดสีเหลืองไข่ห่านที่งดงามเยี่ยงนี้ ก็ยังคงรู้สึกตกตะลึงมิหาย
ปี้จูจ้องมองอันหลิงเกอที่ปรากฏอยู่ในกระจกทองแดง ผิวขาวผ่องราวหิมะ ริมฝีปากแดงระเรื่อ คิ้วโก่งดั่งคันศร ดวงตาทั้งดำและเปล่งประกายคู่นั้น สวยราวกับคริสตัลสีดำก็มิปาน จมูกเล็กน่ารักโด่งสูง ใบหน้ารูปไข่งดงามหมดจด ลำคอยาวระหงขาวนวลของอันหลิงเกอสวยงามราวกับดอกบัวในสระน้ำช่วงกลางฤดูร้อน แค่เพียงชายตาคู่นั้นหันข้างเล็กน้อย ก็ทำเอาผู้คนรู้สึกสดชื่นราวกับสายลมพัดผ่าน
ช่างเข้ากับทรงผมมวยเซียนโบยบิน ที่รวบผมไปไว้ด้านหลังเรียบร้อย จากนั้นแบ่งช่อเป็นมวยสูงขึ้นทั้งสองข้าง มองแล้วราวกับเซียนสาวกำลังกางปีกโบยบิน ประดับด้วยปิ่นปักผมงดงาม มีเม็ดคริสตัลโปร่งแสงเส้นหนึ่งประดับตกแต่งห้อยระย้าลงตรงกลางหน้าผาก ช่างสง่างามไร้ที่ติ
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านช่างงดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ”
ปี้จูกล่าวชมออกมาจากใจจริง จากนั้นก็เก็บผงเยียนจือประทินผิวสีแดงที่ตัวเองเตรียมไว้
“ข้าเคยได้ยินผู้คนกล่าวถึงความงามตามธรรมชาติ แต่ข้ามิรู้ว่าอันใดคือความงามตามธรรมชาติ
และเมื่อข้าได้พบเห็นคุณหนูในตอนนี้แล้วถึงได้รู้แจ้งมาทันทีว่าคำกล่าวนี้เตรียมไว้สำหรับคุณหนูนี่เองเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอเมื่อได้ฟังปี้จูกล่าวชมตนเองก็มองดูตัวเองในกระจก ในตอนนี้ใบหน้าของนางนั้นปราศจากท่าทีที่ขี้กลัวนั่นอีกแล้ว มิมีชุดแก่ ๆ นั้นอีกแล้ว ในที่สุดความสวยที่แท้จริงของนางก็ปรากฏออกมาได้อย่างแท้จริงสักที
หลังจากนั้นนางหันไปยิ้มให้ปี้จู แล้วกล่าวหยอกล้อนางออกมาว่า “ดูมิออกเลยนะว่าเจ้าจักกล่าวคำหวานพวกนี้ออกมาเป็นด้วย”
เมื่อกล่าวจบนางก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากเรือนฉีอู๋
เมื่อย้อนนึกถึงอดีตนั้น ปี้จูมีนิสัยขี้อายและชอบเก็บตัว หลังจากผ่านคลื่นลมมรสุมมานานหลายเดือน ในที่สุดนางก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง ปี้จูที่ได้ฟังคำกล่าวหยอกล้อของอันหลิงเกอนางก็ยิ้มหวานออกไปให้อังหลังเกอ จากนั้นก็เดินตามอันหลิงเกอออกไป
เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่าและพวกนางเพิ่งกลับมาที่จวน อาสะใภ้รองและอาสะใภ้สามจึงต้องการที่จะสร้างเส้นสายในเมืองหลวงอย่างอดทนรอมิได้ หวังซื่อและเจิ้งซื่อต่างก็แต่งตัวกันอย่างหรูหรางดงาม หลี่ซื่อและอันหลิงอีก็มิต่างกัน มีเพียงอันหลิงเฉ่วเท่านั้นที่สวมชุดจากผ้าซาตินปักไหมเรียบง่าย ดูเล็กกระทัดรัดน่ารัก และโดดเด่นมากในหมู่ผู้คนที่แต่งตัวหรูหรา
เมื่ออังหลิงเกอมาถึงห้องโถงก็เป็นดั่งที่นางคาดเดาเอาไว้ว่า อันหลิงเฉ่วมิมีทางสวมชุดที่ทางร้านตัดชุดเทียนยี่ฟางตัดให้วันนั้นเป็นแน่ จึงเหลือบมองอันหลิงเฉ่วเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ละสายตามองไปทางอื่น
ส่วนอันหลิงอีที่มองเห็นอันหลิงเฉ่วมิได้สวมชุดที่ทางร้านเทียนยี่ฟางตัดให้วันนั้น ใบหน้าของนางก็พลันมิพอใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“พี่เฉ่วเอ๋อเจ้าคะ เหตุใดท่านถึงได้แต่งตัวเรียบง่ายเยี่ยงนี้ล่ะเจ้าคะ?”
อันหลิงอีมองไปที่ใบหน้าอันหลิงเฉ่วที่ละม้ายคล้ายกับของตัวเอง และมีความริษยาหึงหวงฉายแววออกมาในดวงตา
อันหลิงอีนั้นรับรู้มาตลอดว่าอันหลิงเกอสวยงามกว่าตนเองมาก แต่อันหลิงเกอนั้นโง่งมถูกแม่นมกล่าวหลอกล่อได้ด้วยคำพูดมิกี่คำก็เลยสวมเครื่องประดับทองและเงินราวกับเศรษฐีใหม่ผู้หนึ่ง บวกกับนิสัยที่ขี้กลัวนั้น นางจึงมิโดดเด่นในฝูงชนเลย
แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าอันหลิงเกอจะเริ่มได้สติกลับมาแล้ว จึงมิได้สวมชุดหลากสีเยี่ยงนั้นอีกต่อไป แต่กลับสวมชุดสีเหลืองอร่ามเผยให้เห็นความสง่าของคุณหนูผู้สูงศักดิ์ออกมาแทน
แต่ช่างเถอะ แม้แต่อันหลิงเฉ่วที่มาจากบ้านเก่าก็มิได้ด้อยกว่านางในแง่ของรูปลักษณ์หน้าตา ถึงขั้นที่ว่ามีเสน่ห์ของความบอบบางและน่าถนุถนอมแฝงอยู่ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น อันหลิงอีและอันหลิงเฉ่วต่างก็เป็นคนที่สวยน่ารัก แต่อันหลิงอีดูเย่อหยิ่ง ส่วนอันหลิงเฉ่วนั้นบอบบางและอ่อนโยน เมื่อรวมทั้งสองเข้าด้วยกัน เป็นปกติที่อันหลิงเฉ่วจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมากกว่านาง
จึงเป็นเหตุให้อันหลิงอีซึ่งเป็นจุดสนใจของทุกคนมาโดยตลอดจะทนอยู่ได้เยี่ยงไร เมื่อหนึ่งในสองคนกำลังจะมาแย่งจุดสนใจจากนางไป นางจะมีหน้าอยู่ในวังหลวงเพื่อดึงดูดมู่ซื่อจื่อต่ออีกได้เยี่ยงไร
เมื่ออันหลิงเฉ่วได้ยินเช่นนั้น ก็กำผ้าเช็ดมือไว้แน่นราวกับวิตกกังวลอันใดอยู่ สีหน้าดูขลาดกลัว
“ข้าแต่งตัวเยี่ยงนี้มิได้รึ ? ”
นางก้มหน้าลง ด้วยความเสียดายเล็กน้อยเพื่อหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองมากมาย
“สาวใช้มิทันระวังทำเสื้อผ้าที่ร้านเทียนยี่ฟางนำมาส่งเมื่อวานนี้เปื้อน ข้าถึงได้หาชุดนี้มาใส่ ถ้าใส่แบบนี้มิได้ ข้าจะกลับไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้”
“มิต้องแล้ว ใส่เช่นนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าดังขึ้น เป็นเหตุทำให้เกิดความมิพอใจเล็กน้อยฉายออกมาจากแววตาของอันหลิงอี
แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะจากเมืองหลวงไปนานกว่าสิบปี แต่เมื่อครั้งที่ยังสาวก็ใช้ชีวิตอยู่บ้านหลังนี้
มาครึ่งค่อนชีวิต มีหรือจะมิรู้ว่าอันหลิงอีอิจฉาริษยาอันหลิงเฉ่วอยู่ ถึงได้วิพากษ์วิจารณ์อันหลิงเฉ่ว
ออกมาเยี่ยงนี้ ?
สำหรับฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว แม้ว่าจะเป็นหลานสาวเหมือนกัน แต่อันหลิงเฉ่วก็เป็นลูกสาวที่เกิดจากภริยาเอก อันหลิงอีเป็นลูกสาวที่เกิดจากอนุ ทั้งสองคนมีฐานะที่ต่างกัน
ยิ่งไปกว่านั้น นางเห็นอันหลิงเฉ่วเติบโตขึ้นมากับตา นอกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าและอันหลิงเฉ่วยังมีความสัมพันธ์ระหว่างย่าและหลานมามากว่าสิบปี ถ้ากล่าวจากตรงนี้ อันหลิงอีมีตำแหน่งอยู่ในใจของฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อเทียบเท่ากับอันหลิงเฉ่วนั้นต่างกันมาก
เมื่อพวกนางทั้งสองมีความขัดแย้งต่อกัน ฮูหยินผู้เฒ่าก็เข้าข้างอันหลิงเฉ่วทันที
อันหลิงอีกัดริมฝีปากแน่นแอบต่อว่าฮูหยินผู้เฒ่าที่ลำเอียง แต่ก็มิกล้าโต้เถียงฮูหยินผู้เฒ่าต่อหน้า
จึงทำได้เพียงแสร้งทำเป็นกังวลว่า “วันนี้เป็นงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิในวังหลวงเป็นงานรื่นเริง
พี่เฉ่วเอ๋อร์ใส่เสื้อผ้าเรียบง่านเยี่ยงนี้ ข้าเกรงว่าถ้ามีผู้ใดเห็นแล้ว มันอาจจะเป็นเหตุให้ผู้คนคิดกันไปว่าเป็นชุดไว้ทุกข์ได้น่ะเจ้าคะ ข้าคิดว่ามันมิค่อยดีสักเท่าไรจึงได้เอ่ยทักท้วงออกไปเจ้าค่ะ”
ไว้ทุกข์เยี่ยงนั้นรึ ?
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ายกคิ้วกระตุกเมื่อได้ฟังอันหลิงอีกล่าวออกมาเยี่ยงนี้ คนอายุมากแล้วมิชอบฟังเรื่องเป็นตายหรือล้มป่วยพวกนี้ มันมักจะรู้สึกเหมือนกำลังจะก้าวเข้าไปในโลงศพในทันทีทันใด
นางจึงจ้องมองไปที่อันหลิงเฉ่วเพื่อพิจารณาชุดที่นางสวมใส่ จากนั้นถึงได้ขมวดคิ้วขึ้นอีกครา
แม้ว่าการสวมใส่ชุดนี้จะดูราวกับหญิงงาม ใสซื่อ ที่ใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์ เป็นที่น่าประทับใจต่อผู้ที่ได้พบเห็น แต่อันหลิงเฉ่วสวมใสเสื้อผ้าที่ดูเรียบเกินไป ถ้ามองจากระยะไกล ก็ดูราวกับคนไว้ทุกข์จริง ๆ
มิเป็นมงคล ! มิเป็นมงคล !
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าคิดได้เยี่ยงนั้น ก็เอ่ยออกมาว่า
“เสื้อผ้าของเฉ่วเอ๋อร์ดูธรรมดาเกินไป แต่ตอนนี้คงมิทันถ้ากลับไปเปลี่ยน”
หลังจากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็หันไปมองแม่นมที่อยู่ข้างกาย แล้วออกคนสั่งออกไปว่า “ให้คนไปนำเครื่องประดับสีสันสวยงามจากหีบเครื่องประดับของคุณหนูรองมาสักสองสามชิ้น เพื่อมากลบเกลื่อนความเรียบง่ายมิสดใส ให้มันดูน่าปิติยินดีเข้ากับงาน”
มินานแม่นมผู้นั้นก็นำเครื่องประดับหลายอย่างออกมาและรีบนำไปสวมให้อันหลิงเฉ่ว เมื่อเห็นเช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ และขึ้นรถม้าไปโดยมีแม่นมที่อยู่ข้างกาย
ช่วยประคองขึ้นรถ