ตอนที่ 7 ภาพลักษณ์ที่ทำให้คนสับสน
รอจนเสียงฝีเท้าไกลออกไปอันหลิงเกอจึงได้ทอดถอนหายใจออกมา เมื่อได้สติจึงพบว่าไอร้อนจากริมฝีปากของมู่จวินฮานยังคงฝังอยู่ที่ลำคอของนาง นางได้กระแอมไออยู่ถึงสองครั้ง แต่ก็มิมีการเคลื่อนไหวใด นางจึงกัดฟันเอ่ยออกมาว่า “พวกนั้นไปกันหมดแล้ว ยังมิรีบปล่อยข้าอีก ! ”
แม้คำพูดของนางจะมีน้ำเสียงที่รุนแรง แต่มู่จวินฮานกลับรู้สึกได้ถึงความเขินอายที่ซ่อนอยู่ภาย ในน้ำเสียงนั้น ตนจึงได้ผละริมฝีปากออกจากผิวเนียนหอมนั้นอย่างรู้สึกเสียดาย
“ข้าน้อยรีบร้อนเกินไปจึงได้ล่วงเกินแม่นางเข้าแล้ว ขอแม่นางได้โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยเถิดขอรับ”
อันหลิงเกอเมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นก็ส่งเสียง ฮึ ออกมาจากในลำคอ นางรอจนใบหน้าหายแดง ขณะกำลังจะเอ่ยตอบไป กลับพบว่าใบหน้าของมู่จวินฮานนั้นซีดลงและดูอ่อนแรงจนน่าตกใจ นางจึงได้สังเกตเห็นว่าที่บริเวณเอวของมู่จวินฮานนั้นปรากฏบาดแผลที่เห็นได้อย่างชัดเจน เสื้อด้านนอกของเขาถูกย้อมจนเป็นสีแดงฉาน มองดูบาดเจ็บนั้นหนักอยู่มิน้อย ดีที่เขายังสามารถยืนตัวตรงอยู่ได้ราวกับมิเป็นอันใด
เมื่อเห็นว่าอันหลิงเกอรู้ว่าตนเองนั้นบาดเจ็บ สัญชาตญาณของมู่จวินฮานก็เตือนขึ้นในทันที แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ก่อนที่จะกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงปกติว่า “แม่นาง ข้าน้อยมิใช่คนต่ำช้า วันนี้มีเหตุจำเป็นจริง ๆ จึงได้ทำเยี่ยงนี้ เพื่อความสบายใจของแม่นาง ข้าน้อยจะไปบัดเดี๋ยวนี้ จะมิอยู่ทำให้แม่นางต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอันขาด”
เมื่อมู่จวินฮานกล่าวจบและกำลังจะเดินออกจากห้องไป กลับถูกอันหลิงเกอเรียกเอาไว้
“มู่…”นางตะโกนได้สองคำก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองในชาตินี้ยังมิเคยพบเจอมู่จวินฮานมาก่อน จะรู้ชื่อของอีกฝ่ายได้เยี่ยงไร จึงรีบเปลี่ยนคำเอ่ยในทันที !
“เอ่อ…คุณชายอีกสักครู่ค่อยไปเถิด ท่านหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยตรงจุดนี้ มิแน่คนพวกนั้นอาจจะยังอยู่แถวนี้ก็เป็นได้ ออกไปตอนนี้คงมิปลอดภัย”
ถึงแม้จะมิอยากเกี่ยวข้องอันใดกับมู่จวินฮาน แต่นางก็มิอาจมองดูอีกฝ่ายตกอยู่ในอันตรายได้
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นดวงตาของมู่จวินหานเปล่งประกายบางอย่างออกมาชั่วขณะ แล้วรีบปิดบังแววตานั้นไว้อย่างมิดชิด เขาทำได้เพียงแค่พยักหน้าและคำนับให้อันหลิงเกอ
“ถ้าเยี่ยงนั้นข้าก็ขอขอบคุณแม่นางมากขอรับ ! ”
อันหลิงเกอนึกขึ้นได้ว่าตนเองได้พลั้งปากเอ่ยออกไปทำให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัย จึงมิรู้ว่าจะเอ่ยเยี่ยงไรต่อดี ทำให้ภายในห้องเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ เนื่องจากต่างคนต่างกำลังใช้ความคิด จนอดมิได้ที่จะรู้สึกอึดอัด นางลอบสำรวจดูมู่จวินฮาน มู่จวินฮานก็ลอบสังเกตนาง จนท้ายที่สุดก็เป็นอันหลิงเกอที่เปิดปากเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“คุณชาย บาดแผลของท่านยังมีเลือดไหลอยู่ หากท่านมิรังเกียจ ให้ข้าช่วยท่านทำแผลเถอะ ? ”
มู่จวินฮานมองนางด้วยสายตาที่ดูลุ่มลึก ถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้วในตอนนี้ยิ่งพูดคุยกันมาเท่าใดก็ยิ่งง่ายที่จะถูกเปิดเผยตัวตนมากเท่านั้น แต่มิรู้ด้วยเหตุอันใด เขากลับมิกล้าออกปากปฏิเสธนางไป เขามองบาดแผลที่เอวของตนเอง เลือดยังคงไหลมิหยุด ใบหน้าก็ยิ่งซีดลงไปอีก ในที่สุดก็ยอมให้อันหลิงเกอช่วยทำแผลให้
เนื่องจากบาดแผลอยู่บริเวณเอว มู่จวินฮานจึงจำเป็นต้องถอดเสื้อด้านบนออกจนหมด
อันหลิงเกอได้แต่รู้สึกโกรธตัวเองปากไวยิ่งนักที่เป็นเหตุให้ตนต้องทนฝืนความอายเอาไว้ แล้วเริ่มทำแผลให้กับมู่จวินฮานทันที บาดแผลที่เกิดจากกระบี่มีความยาวประมาณหนึ่งนิ้วมือ มิรู้ว่ามู่จวินฮานหนีจากที่ใดมาจนถึงที่นี่ บนเสื้อเขานั้นชุ่มไปด้วยเลือดจำนวนมิน้อย ยากที่จะจินตนาการได้ถึงความเจ็บปวดที่เขาต้องทน ในขณะหลบหนี
อันหลิงเกอทำความสะอาดบาดแผลอย่างง่าย ๆ เมื่อจ้องมองดูบาดแผลแล้วช่างน่ากลัวยิ่งนัก แต่มู่จวินฮานแม้สีหน้าจะมิสู้ดีนัก แต่ระหว่างที่ทำแผลตั้งแต่ต้นจนจบกลับมิส่งเสียงร้องอันใดออกมา คล้ายกับว่าบาดแผลบนร่างกายนี้มิใช่ของตน
อันหลิงเกอจ้องมองท่าทีของมู่จวินฮาน ถึงกับขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยมิคาดคิดว่า มู่จวินฮานที่ตนคิดว่าเย่อหยิ่งนั้น ในวันนี้กลับมิได้เป็นเหมือนดังที่ตนคาดคิดเอาไว้เลย เกรงว่าท่าทางที่เห็นในตอนนี้อาจจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของมู่จวินฮาน ส่วนมู่ซื่อจื่อผู้ยโสโอหังนั้นคือภาพลักษณ์ที่ต้องการทำให้ผู้คนสับสนเพียงเท่านั้น เมื่อจัดการบาดแผลเรียบร้อยแล้ว ภายในห้องก็เกิดความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง
อันหลิงเกอรู้สึกว่าใบหน้าของตนเริ่มร้อนขึ้นมาอีกคราและอดที่จะอึดอัดมิได้ จนต้องหาหัวข้อสนทนากับอีกฝ่าย
“มิทราบว่าชายชุดดำพวกนั้นมาจากที่ใดกัน ? เหตุใดจึงต้องตามฆ่าคุณชายด้วยเจ้าคะ ? ”
“พวกนั่น…มันเป็นศัตรูคู่อาฆาตของข้า เรื่องในวันนี้แม่นางห้ามเอ่ยปากบอกให้บุคคลอื่นล่วงรู้เป็นอันขาด หากอีกฝ่ายรู้เข้าอาจทำให้แม่นางตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้.. และข้าขออภัยที่ละลาบละล้วง มิทราบว่าข้าน้อยกับแม่นางเคยพบกันมาก่อนหรือไม่ เหตุใด แม่นางจึงรู้จักข้าได้ ? ”
อันหลิงเกอรู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที จะบอกอีกฝ่ายว่าชาติที่แล้วตนเองเกือบจะได้แต่งงานกับเขาก็คงจะมิได้ ? เมื่อใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวออกไปว่า “คุณชายมิรู้จักข้าน้อย แต่ข้าน้อยรู้จักคุณชายดีเจ้าค่ะ มู่ซื่อจื่อมีชื่อเสียงทั่วทั้งเมืองหลวง ท่านลองถามไถ่คนตามถนนดู เชื่อได้ว่าเก้าในสิบคนต้องรู้จักท่านอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“อ้อ ? เยี่ยงนั้นหรือ…”
ดวงตาของมู่จวินฮานเปล่งประกายเยือกเย็นออกมา เมื่อเห็นอันหลิงเกอตั้งใจทำแผลให้ตนเอง แวดตานั้นค่อย ๆ สงบลง แต่มุมปากกลับยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย พร้อมยกมือขวาที่ว่างอยู่ยื่นออกไป ลูบไล้ที่ปลายคางของอันหลิงเกอ
“แม่นางลองเอ่ยออกมาซิว่า ข้ามีชื่อเสียงทั่วทั้งเมืองหลวงเยี่ยงไร ? ”
อันหลิงเกอหลบมิทันจึงถูกมู่จวินฮานใช้มือลูบไล้ จนอดที่จะตกตะลึงงันมิได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง กลับเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์เย้าหยอกของมู่จวินฮานที่ช่างแตกต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
เดิมทีนางรู้สึกโมโหอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดตริตรองดูแล้วว่ามู่จวินฮานคงกลัวว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาจะถูกเปิดเผย ดังนั้นจึงตั้งใจแสดงท่าทางแบบนี้ออกมา ดูแล้วช่างน่าขันยิ่งนัก
หึ ! คิดดูสิว่าข้าจะจัดการกับเจ้าเยี่ยงไรดี !
อันหลิงเกอหัวเราะเยาะอยู่ภายในใจ มู่จวินฮานกล้ามาเอาเปรียบนางเยี่ยงนี้ หากเป็นผู้อื่นอาจจะดูมิออกว่าเขากำลังแกล้งแสดงอยู่แต่มิใช่นาง
เมื่อคิดเช่นนั้นมือที่กำลังพันแผลอยู่ก็ออกแรงมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของมู่จวินฮานนั้นซีดลงและแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เมื่ออันหลิงเกอเห็นเช่นนั้นก็อดมิได้ที่จะส่งเสียง หึ ! ออกมาจากในลำคอแล้วเอ่ยตอบออกไป
“มู่ซื่อจื่อมีผลงานตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นชายหนุ่มที่สุขุม…มีความเพียร…เป็นตัวอย่าง…ของราชนิกุลรุ่นใหม่แห่งเมืองหลวง…จริง ๆ…”
อันหลิงเกอพูดไปก็ออกแรงไป เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของมู่จวินฮานเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เพราะกำลังฝืนความเจ็บที่รุนแรงอยู่
แต่อันหลิงเกอก็ยังมิได้หยุด เมื่อครู่ตอนเดินตลาดนางได้ของดี ติดมือมาด้วย !
ดังนั้นนางจึงหยิบขวดใบหนึ่งออกมาพร้อมกับส่งยิ้มให้มู่จวินฮานเล็กน้อย “ซื่อจื่อเจ้าคะ นี่เป็นยารักษาบาดแผลที่ข้าน้อยพกติดตัวมา ท่านอดทนหน่อยนะเจ้าคะ…”
มู่จวินฮานยกมือขึ้นโดยสัญชาตญาณกำลังคิดที่จะปฏิเสธ แต่อันหลิงเกอกลับไวกว่า เป็นเหตุให้ผงยากว่าครึ่งขวดถูกเทลงบนบาดแผลของตน จากนั้นก็พันแผลด้วยความว่องไว
“อาจมีผลข้างเคียงบ้าง ซื่อจื่อช่วยอดทนหน่อยนะเจ้าคะ…”
มุมปากของอันหลิงเกอปรากฏรอยยิ้มออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่กลับทำให้มู่จวินฮานรู้สึกสั่นสะท้าน ในตอนนั้นเองเขาเริ่มรู้สึกคันยิบ ๆ ตรงบริเวณบาดแผล และค่อย ๆ คันมากขึ้นเรื่อย ๆ…
อันหลิงเกอมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของมู่จวินฮาน จึงนำผงคันที่เหลืออีกครึ่งขวดเก็บเอาไว้ เมื่อเห็นผลลัพธ์ออกมามิเลว นางจึงรู้สึกมีความสุขอย่างบอกมิถูก
ในตอนนั้นเองด้านนอกก็มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ชายชุดดำกลุ่มนั้นได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครา มู่จวินฮานหันไปสบตากับอันหลิงเกอ แต่อดมิได้ที่จะรู้สึกว่ามีบางอย่างที่พิเศษเกิดขึ้น จนกระทั่งภายนอกมิมีความเคลื่อนไหวใดแล้ว มู่จวินฮานจึงได้ลุกขึ้นขอตัวลา
“วันนี้แม่นางได้ช่วยเหลือข้าน้อยครั้งใหญ่ ข้าขอทราบชื่อของแม่นางได้หรือไม่ หากมีโอกาส วันหน้าข้าน้อยจักได้ตอบแทน”
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ แค่เรื่องเพียงเล็กน้อย เชิญท่านตามสบายเถอะเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอได้กล่าวตอบออกไปอย่างขอไปที เนื่องจากตนรู้สึกอึดอัด ต้องการให้เขารีบจากไปและมิได้กล่าวชื่อตอนเองออกมา
เมื่อเป็นเยี่ยงนั้นมู่จวินฮานก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีกเช่นกัน เพียงแค่มองอันหลิงเกออีกครา จากนั้นก็คำนับให้นางและพุ่งตัวจากไปทางหน้าต่างทันที
อันหลิงเกอกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง แล้วปล่อยวางเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับมู่จวินฮานลง ยิ่งไปกว่านั้นขณะนี้ปี้จูก็ยังมิกลับมา มิรู้ว่าน้องสาวตัวดีของนางได้มาที่เค่อหรูอวิ๋นด้วยหรือไม่