บทที่ 8 คนจากจวนอ๋องมู่
เค่อหรูอวิ๋นเป็นภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง มีทั้งหมด 4 ชั้น มากกว่าครึ่งของชั้นหนึ่งจะเป็นพ่อค้าหาบเร่และคนรับใช้ที่มาดื่มกินรวมกัน รวมถึงบรรดานักเล่านิทานและนักดนตรีก็ล้วนแต่อยู่ที่ชั้นหนึ่ง ซึ่งชั้นที่สองจะเป็นตัวเลือกของตระกูลที่มีฐานะ ส่วนชั้นสามและสี่เกินกว่าครึ่งเป็นที่ของชนชั้นสูงและครอบครัว
อันหลิงเกอคิดตริตรองถึงอันหลิงอีที่ถูกกักบริเวณกว่าครึ่งเดือน วันนี้ครบกำหนดแล้ว หากนางออกมาเพื่อผ่อนคลายที่เค่อหรูอวิ๋นก็พอเข้าใจได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็ปรับอารมณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วนั่งลงที่ริมหน้าต่างอย่างสงบ บนถนนมีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา แต่ละคนมีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
อันหลิงเกออดคิดมิได้หากตนเองได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป บางทีอาจจะมีความสุขมากว่าตอนนี้ก็เป็นได้
ในขณะที่นางกำลังนั่งเพลิดเพลินกับความคิดของตนเองอยู่นั้น ปี้จูก็ผลักประตูเข้ามา สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชมในตัวของอันหลิงเกอ
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูรองมาที่เค่อหรูอวิ๋นจริงด้วย เจ้าค่ะ บังเอิญอยู่ห้องด้านข้างนี้ด้วยเจ้าค่ะ”
เมื่ออันหลิงเกอได้ฟังก็ยกยิ้มที่มุมปากออกมา พร้อมทั้งนึกคิดอยู่ภายในใจว่า : ทนมิไหวจริง ๆ ด้วย
“พี่เสี่ยวเอ้อยังบอกข้าอีกเรื่องหนึ่งด้วยเจ้าค่ะ”
ปี้จูเอ่ยไป มือก็ย้ายภาพทิวทัศน์ที่แขวนอยู่บนกำแพงออก เผยให้เห็นรูขนาดเล็กเท่าปลายนิ้ว
อันหลิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับสิ่งที่เห็น แต่ยังมิทันได้เอ่ยถาม ปี้จูก็เอ่ยออกมาอย่างรู้ทัน ทั้งยังปิดปากหัวเราะออกมา
“พี่เสี่ยวเอ้อบอกข้าว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งมู่ซื่อจื่อสังสรรค์อยู่ที่ห้องด้านข้างนี้เจ้าค่ะ นี่จึงเป็นรูที่บุตรีของมหาเสนาบดีต้องการให้เขาเจาะเจ้าค่ะ”
รูนั้นมิได้ใหญ่มากนักแต่สามารถเห็นห้องด้านข้างได้อย่างชัดเจน เมื่อจ้องมองเข้าไปภายในห้องอันหลิงอีที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่า มีหลี่ซื่อนั่งอยู่ข้างกายทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองนางอยู่ ข้างกายพวกนางมีข้าวของกองอยู่มิมากนัก ดูแล้วคงออกมาเดินได้มินาน
“พอได้แล้ว เจ้าดื่มเยี่ยงนี้ อยากให้ข้าอับอายผู้อื่นหรือเยี่ยงไรกัน” หลี่ซื่อดึงมือของอันหลิงอีเอาไว้ “ก็แค่โดนกักบริเวณเพียงครึ่งเดือน มันทำให้ร่างกายของเจ้าบุบสลายหรือเยี่ยงไร ? ”
อันหลิงอีได้ฟังเยี่ยงนั้นก็รู้สึกโมโหปนน้อยใจ “ท่านแม่ ข้าเป็นลูกแท้ ๆ ของท่านจริงหรือไม่ ในคืนนั้นที่ท่านพ่อโมโหข้า ท่านมิช่วยข้าพูดแม้แต่คำเดียว ? ท่านยังเป็นแม่ข้าอยู่หรือไม่ ? ท่านรู้อยู่แก่ใจดีว่าข้านั้นชอบมู่จวินฮาน ท่านก็ยังมิสนใจ…”
หลี่ซื่อลูบแผ่นหลังของอันหลิงอีเบา ๆ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ลูกแม่ เจ้าอย่าได้ร้อนใจไปเลย ครึ่งเดือนมานี้แม่คิดหาวิธีดี ๆ ได้แล้ว”
อันหลิงอีเมื่อได้ฟังดังนั้นก็หยุดร้องไห้ในทันที พร้อมทั้งเงยหน้าขึ้นมองแม่ของตนด้วยความดีใจ
หลี่ซื่อเมื่อมองเห็นใบหน้าบุตรสาวที่นางเฝ้าดูแลมาอย่างดี มองมายังนางอย่างดีใจ นางจึงยกมือลูบหัวของอันหลิงอีอย่างเบามือ แล้วเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน “เจ้าจงจำไว้ว่า แม่นั้นทำเพื่อเจ้าเสมอ”
หลังจากนั้นนางยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบาลง ในท้ายที่สุดเสียงก็เบาจนมิได้ยินอันใด เป็นเหตุให้ปี้จูที่แอบฟังอยู่กระทืบเท้าออกมาด้วยความร้อนใจ หันมาถามอันหลิงเกอทางสายตา อันหลิงเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายหัวแล้วนั่งลง พอดีกับที่เสี่ยวเอ้อยกอาหารเข้ามาให้ ปี้จูจึงทำได้เพียงจำยอม
เมื่อดื่มกินเสร็จ อันหลิงเกอก็ได้พาคนสนิททั้งสองไปหาซื้อตัวยาจำนวนมิน้อย พร้อมผ้าใหม่ 2 พับเพื่อมาตัดชุดใหม่ให้กับลู่จิงอวี่และปี้จู และนอกจากนี้ยังได้ซื้อชุดที่ตัดเรียบร้อยแล้วอีก 1 ชุด หลังจากนั้นจึงได้เดินทางกลับจวนโหว ตลอดการเดินทางพวกเขานายบ่าวทั้งสาม มิมีผู้ใดพูดสิ่งใดออกมา อันหลิงเกอก้มหน้าตลอดทางดูคล้ายกับไร้ความรู้สึก แต่นิ้วมือที่อยู่ภายในแขนเสื้อกลับเกี่ยวพันกันไปมา เปลี่ยนท่าทางที่นิ้วพันกันนับครั้งมิถ้วน
เมื่อถึงเรือนฉีอู๋ อันหลิงเกอได้หวนนึกถึงเรื่องที่ได้พบเจอมู่จวินฮานในวันนี้ ก็ทำให้อันหลิงเกอนึกคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อชาติที่แล้ว อีกมิกี่วันจวนอ๋องมู่จักได้มาเยี่ยมเยือนยังจวนโหว เพียงแต่ชาติก่อนนางนั้นร่างกายอ่อนแอ เป็นเหตุให้ถูกหลี่ซื่อขังไว้ภายในเรือนฉีอู๋ จึงมิได้พบกับมู่จวินฮาน
เมื่อนึกได้เยี่ยงนั้น อันหลิงเกอได้นึกย้อนถึงการกระทำของสองแม่ลูกหลี่ซื่อในวันนี้แล้ว ภายในใจก็กระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที พลันทำให้ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมา พร้อมทั้งนึกคิดในใจว่า : แผนการที่หลี่ซื่อวางเอาไว้ นางจะมิรู้ได้เยี่ยงไร ?
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น อันหลิงเกอจึงได้นำผ้าที่ทอด้วยไหมทองสองผืนออกมาจากตู้ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ปี้จู อีกสักครู่เจ้าจงนำผ้าสองผืนนี้ไปให้อี๋เหนียง แล้วเอ่ยว่า…”
“คุณหนูเจ้าคะ พวกนางทำร้ายคุณหนูถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านยังมอบผ้าไหมทองล้ำค่ามากเพียงนี้ให้แก่พวกนางอีกล่ะเจ้าคะ ? ”
ปี้จูยังมิทันเอ่ยจบก็เห็นอันหลิงเกอหยิบขวดบางอย่างออกมาจากลิ้นชัก ผงสีเขียวอ่อนในขวดถูกนางโรยลงบนผ้าไหมทอง ผงนั่นเมื่อสัมผัสเนื้อผ้าก็มลายหายไป ไร้สี ไร้กลิ่น จากนั้นนางจึงพูดอย่างเรียบ ๆ ว่า “ไปเถอะ”
ปี้จูยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ถือผ้าไหมทองไปยังเรือนของหลี่ซือด้วยความดีใจ บังเอิญว่าอันอิงเฉิงอยู่ที่ห้องของหลี่ซื่อพอดี จึงได้เห็นว่าอันหลิงเกอน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ ตนเองให้เงินนางออกไปซื้อของข้างนอก นางยังนึกถึงหลี่ซื่อ จนอดที่จะชื่นชมออกมามิได้
เมื่อเห็นอันอิงเฉิงกล่าวชมอันหลิงเกอ หลี่ซื่อก็มีสีหน้ามิพอใจ แต่เห็นว่าผ้าไหมนี้เป็นผ้าที่หาได้ยากในเมืองหลวง ซ้ำยังทำจากไหมทองจึงรับเก็บเอาไว้
ในขณะเดียวกันนั้นเองในจวนอ๋องมู่ มู่จวินฮานนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องหนังสือ อ่านสารที่ลูกน้องไปสืบหามาให้ใบหน้าปรากฏร่องรอยแห่งความสงสัยขึ้นมา แต่ท้ายที่สุดสายตาก็หยุดอยู่ที่ผ้าไหมที่อันหลิงเกอใช้พันแผลให้ตน ซึ่งในขณะนี้ถูกซักจนสะอาดวางอยู่บนโต๊ะ เขาจ้องมองอยู่เยี่ยงนั้นโดยปราศจากคำเอ่ยอันใด หลังจากพักผ่อนมิกี่วัน บาดแผลของเขาก็ดีขึ้นมาก แต่เหตุการณ์ในวันนั้นที่เค่อหรูอวิ๋น กลับทำให้เขายากที่จะลืมลงได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงสั่งให้ลูกน้องไปสืบหาข้อมูลของอันหลิงเกอ หลังจากสืบดูกลับทำให้เขานั่งมิติด
มิใช่เรื่องที่อันหลิงเกอนั้นรู้เรื่องที่ตนบาดเจ็บที่เค่อหรูอวิ๋น แต่เป็นเรื่องที่เมื่อหลายวันก่อนที่ฮ่องเต้ได้ทรงพระราชทานสมรสระหว่างตระกูลอันและตระกูลมู่ ซึ่งอันหลิงเกอเป็นบุตรีของฮูหยินใหญ่ตระกูลอัน นั่นหมายความว่าคนที่ช่วยเขาที่เค่อหรูอวิ๋นในวันนั้นก็คือว่าที่ชายาของตนเองหรอกหรือ ?
“น่าสนใจยิ่งนัก ! ”
มู่จวินฮานยกยิ้มขึ้นมุมปากแล้วโยนสารในมือทิ้งไป ในสารกล่าวว่าอันหลิงเกออ่อนแอและไร้ความสามารถ อีกทั้งยังมิมีตำแหน่งอันใดในตระกูลอัน แต่ที่เขาได้พบเจอที่เค่อหรูอวิ๋นนั้น เขากลับรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้หาใช่คนธรรมดาไม่ หรือว่า…นางตั้งใจหลบซ่อนตัวตนมาเป็นสิบปี ? ความคิดล้ำลึกเพียงนี้ น่าสนใจมิน้อย !
เมื่อหวนคิดถึงวันนั้นที่พบเจอกันโดยบังเอิญแล้ว เขาก็อดที่จะเสียวสันหลังมิได้ จนต้องกลืนน้ำลายและลูบรอยแผลอย่างหวาดผวา วันนั้นเป็นวันที่เขายากจะลืมเลือนอีกหนึ่งวัน…
มู่จวินฮานมองไปยังผ้าไหมที่วางอยู่บนโต๊ะ และได้ทำการตัดสินใจบางอย่าง แล้วกล่าวออกไปว่า “ซูม่อ ตามข้าไปพบท่านพ่อ เรื่องงานแต่งระหว่างข้าและคุณหนูใหญ่ตระกูลอันควรจะมีการกำหนดวันได้แล้ว…”
…
สามวันให้หลัง ภายในโถงจวนโหว วันนี้ได้มีการจัดวางฉากกั้นสลักหยกฉลุลาย ใช้ชามเคลือบศิลาดลสุดวิจิตรของเมืองจิ่งเต๋อ จัดเตรียมสาวใช้ที่หน้าตาสะสวยพร้อมด้วยเสื้อผ้าที่งดงาม ส่วนหลี่ซื่อและอันหลิงอีนั้น แต่งหน้าแต่งตัวสวมเครื่องประดับปราณีตสวยงาม
พึ่งผ่านพ้นยามอิ๋นได้มินาน พ่อบ้านก็วิ่งเข้ามาในจวนอย่างรีบร้อน “นายท่านขอรับ มาแล้วขอรับ ท่านอ๋องมู่มาแล้วขอรับ”
อันหลิงอีและหลี่ซื่อกำลังพูดคุยกัน ส่วนอันอิงเฉิงมองออกไปโดยรอบห้องโถงกลับมิเห็นร่างบุตรสาวคนโต ก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถามออกไปเสียงเข้มว่า “เหตุใดหลิงเกอยังมิมาถึงอีก ? ”
หลี่ซื่อได้ยินดังนั้นจึงตอบว่า “ดูสิ ยุ่งมาทั้งเช้าจนลืมเรื่องนี้ไปเสียได้ เกอเอ๋อบอกว่านางมิสบาย วันนี้เกรงว่านางคงมิออกมาแล้วเจ้าค่ะ” หลี่ซื่อพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ
อังอิงเฉิงเมื่อได้ฟังก็ทำเสียงหึ ! ออกมา “นางนี่ช่างเรื่องมากเสียจริง”
อันหลิงอีเมื่อเห็นว่าท่านพ่อมิได้ซักถามเรื่องนี้อีก จึงอดที่จะหันไปยกยิ้มให้หลี่ซื่อ มารดาของตนเองมิได้ อันที่จริงพวกนางมิได้บอกอันหลิงเกอเรื่องในวันนี้ อีกทั้งยังสั่งคนรับใช้มิให้บอกนางเรื่องนี้อีกด้วย
สองแม่ลูกส่งสายตาสื่อสารกันอยู่ครู่หนึ่ง
มู่จวินฮานที่ตามหลังท่านอ๋องมู่มา ได้กวาดตามองไปโดยรอบห้องรับแขกแล้วก็ต้องขมวดคิ้วขึ้น “เหตุใดนางถึงมิอยู่ในนี้กัน ? ”
จากนั้นก็ได้ลงจากหลังม้า และถูกอันอิงเฉิงเชิญเข้าไปในจวนโหวอย่างกระตือรือร้น ขณะที่เดินตามไป เขาได้ดึงซูม่อที่อยู่ข้างกายเข้ามาแล้วกระซิบบางอย่างที่ข้างหู ซูม่อพยักหน้ารับเล็กน้อยจากนั้นก็หายตัวไป
ภายในเรือนฉีอู๋อันหลิงเกอกำลังอ่านหนังสืออยู่ด้วยท่าทีผ่อนคลาย ด้านข้างมีปี้จูกำลังทำความสะอาด นาน ๆ ครั้งนางก็ทำให้แจกันดอกไม้ และที่ฝนหมึกเกิดเสียงกึกกักขึ้นมา
สุดท้ายอันหลิงเกอก็ทนมิไหวจนต้องวางหนังสือลง แล้วเอ่ยถามขึ้น “วันนี้เจ้าไปกินรังแตนมาหรือเยี่ยงไร ? ”
*ยามอิ๋น คือช่วงเวลาตี 3 – ตี 5