ตอนที่ 88 ใจแข็ง
หากเป็นเพียงการสูญเสียป้ายยืนยันเท่านั้น เว่ยอี๋เหนียงก็สามารถสั่งทำขึ้นใหม่ได้โดย
มิจำเป็นต้องไร้บัตรยืนยันนานกว่าสามปีจนมิสามารถรับชุดและเครื่องประดับได้หรอก
ทว่าแม่นมซุนแย่งพูดก่อนผู้อื่น
“ฮูหยินผู้เฒ่าคงมิทราบว่าเว่ยอี๋เหนียงไร้ป้ายยืนยัน
เดิมทีมิสามารถรับแม้แต่ถ่านไฟได้เลยเจ้าค่ะ เป็นบ่าวด้วยซ้ำที่เห็นว่าคุณชายหยูอายุยังน้อย คงมิสามารถทนลมหนาวได้จึงนำถ่านไฟไปสำรองให้เจ้าค่ะ”
นางแสดงออกราวกับจงรักภักดี เอาแต่พูดถึงอันหลิงหยูบุตรชายของเว่ยอี๋เหนียงตลอด
“หากคุณชายน้อยป่วย บ่าวคงรับผิดชอบมิไหวเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ฟังคำให้ร้ายของแม่นมซุน มือที่วางไว้ข้างตัวของเว่ยอี๋เหนียงก็กำแน่น นางรู้ว่าแม่นมซุนกำลังเอาอันหลิงหยูมาข่มขู่ อยากให้นางแบกรับโทษนี้ไว้ทั้งหมด เห็นนางอ่อนแอจนเป็นนิสัย ปกติเพียงคนอื่นแข็งแกร่งกว่า นางก็จักกลืนความอยุติธรรมลงไปจนหมดแล้วยอมโดนรังแกอย่างเงียบ ๆ
ทว่าโอกาสในวันนี้ของนางเป็นโอกาสที่คุณหนูใหญ่มอบให้ นางจึงมิสามารถให้คุณหนูใหญ่พยายามโดยสูญเปล่า ท้ายที่สุดนางก็ตัดสินใจด้วยแววตาแน่วแน่
จากนั้นนางจ้องแม่นมซุนโดยไร้ความกลัว
“ข้ามิเคยคิดเลยว่าแม่นมซุนจักกล่าวเปลี่ยนดำเป็นขาวได้ลื่นไหลเช่นนี้”
“ป้ายยืนยันของข้าอยู่กับตัวมาตลอด นอกจากมอบให้ฉุนเซี่ยนไปรับสิ่งของแล้ว ป้ายยืนยันมิเคยห่างกายและมิหล่นหายมาก่อน หลายปีนี้ได้ให้สาวใช้ไปรับของตามเวลาแต่มิเคยได้รับของที่ควรได้เลยสักครา”
จากนั้นเว่ยอี๋เหนียงก็หยิบของบางอย่างออกจากแขนเสื้อ มันคือป้ายยืนยันแล้วเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ตลอดหลายปีที่ตนประสบจนหมด
“เริ่มจากการผลัดวันเรื่องชุดฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นก็เป็นน้ำแข็งในฤดูร้อนที่เหลือเพียงน้อยนิด จำนวนถ่านไฟในฤดูหนาวก็มิเพียงพอ อีกทั้งยังแอบเปลี่ยนถ่านไร้ควันเป็นถ่านที่ควันฉุนจนแสบตาแทบตาย ยิ่งมิต้องพูดถึงเบี้ยหวัดรายเดือนที่เดิมทีควรจ่ายเดือนละครั้ง ต่อมาให้ 1 ครั้งต่อสามถึงห้าเดือน ท่านแม่มิได้อยู่ในจวน ข้าจึงมิรู้จักไปขอร้องให้ใครช่วยเหลือเจ้าค่ะ”
เว่ยอี๋เหนียงกล่าวออกมาพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม มิใช่การเสแสร้งเล่นละครตบตาผู้คนแต่เป็นการเสียใจอย่างแท้จริง
หลายปีนี้นางถูกหลี่ซื่อทารุณ ในที่สุดก็มีคนช่วยเหลือ เว่ยอี๋เหนียงทั้งเศร้าใจและดีใจจนอดกลั้นน้ำตามิได้
เมื่อเว่ยอี๋เหนียงกล่าวจบ ใบหน้าของแม่นมซุนก็ซีดทันที นางคาดมิถึงเลยว่าเว่ยอี๋เหนียงผู้มีนิสัยอ่อนแอจักกล้าเผยความจริง ทั้งที่นางยกอันหลิงหยูมาข่มขู่แล้ว
หรือเว่ยอี๋เหนียงมิกลัวบุตรชายจักเกิดเหตุมิคาดฝันขึ้น ?
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นสีหน้าตื่นตกใจของแม่นมซุน ใครที่พูดความจริง ใครพูดเท็จ มองครู่เดียวก็เข้าใจอย่างแน่นอน
“แม่นมซุนช่างจงรักดีต่อเจ้านายยิ่งนัก ” น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกมาอย่างนิ่งเรียบ ราวกับว่าเป็นการสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้มากกว่า ความเงียบสงบก่อนคลื่นพายุมาเยือน มันยิ่งทำให้รู้สึกหวาดกลัว
“เจ้ากล้ากล่าวคำโกหกเยี่ยงนี้ออกมาต่อหน้าข้า เจ้าคิดว่าเว่ยซื่ออ่อนแอรังแกง่าย นางต้องทำตามความต้องการของเจ้า หรือคิดว่าข้าแก่ชราแล้ว เพียงมิกี่คำของเจ้าก็สามารถหลอกข้าได้หรือ ? “
“บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ” แม่นมซุนรีบคุกเข่าลงพื้นแล้วก้มหน้าลง “เพียงบ่าวได้ยินสาวใช้ในเรือนเว่ยอี๋เหนียงพูดว่านางทำป้ายยืนยันหาย บ่าวคิดว่าคงเพิ่งหาเจอมินานนี้เจ้าค่ะ”
จนตอนนี้นางยังกล่าวคำโกหก ฮูหยินผู้เฒ่าจึงหัวเราะเยาะต่อคำกล่าวนั้น
“เหตุใดเจ้าพูดได้บังเอิญขนาดนี้ ตอนเว่ยซื่อต้องการรับสิ่งของ เงินเดือน เสื้อผ้าและเครื่องประดับ เจ้าก็บอกว่านางทำป้ายยืนยันหาย ตอนนี้ป้ายยืนยันโผล่ออกมาอย่างบังเอิญเยี่ยงนี้เชียวหรือ ? “
จักหลอกฮูหยินผู้เฒ่าสำเร็จได้อย่างไร ?
หลี่ซื่อแอบตำหนิแม่นมซุนอยู่ในใจว่าช่างโง่เขลาและประมาทเสียจริง ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ายังกล้าพูดมีช่องโหว่เยี่ยงนี้ออกมา
นางโกรธจนแน่นหน้าอกไปหมด โทสะพุ่งพล่านไปทั้งกายแล้วกระแอมแรง ๆ ทีหนึ่ง ส่งสายตาดุร้ายไปทางแม่นมซุนทีหนึ่ง
แม่นมซุนรับรู้ความหมายของนางจึงดึงสติไว้ทัน
“ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวถูกแล้วเจ้าค่ะ บ่าวรู้สึกว่าเรื่องนี้บังเอิญเกินไป ราวกับว่ามีคนจงใจใส่ร้ายฮูหยินรองเจ้าค่ะ”
คำนี้แอบโยนความผิดให้เว่ยอี๋เหนียงว่าจงใจมิต่อต้านตั้งแต่แรก พอถึงตอนนี้กลับเล่นละครน่าสงสารต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า
เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามีใบหน้าเคร่งขรึมกำลังจักระเบิดอารมณ์ออกมา แม่นมซุนก็พูดต่อ “แน่นอนว่าเป็นเพียงการคาดเดาของบ่าว มิอาจเป็นจริงเด็ดขาด แต่ไร้การบันทึกว่าเว่ยอี๋เหนียงเคยส่งคนมารับของเจ้าค่ะ บ่าวคิดว่าคงเป็นสาวใช้ข้างกายเว่ยอี๋เหนียงอู้งาน รอจนครบสี่ถึงห้าครั้งค่อยมารับทีเดียวเจ้าค่ะ”
เมื่อแม่นมซุนกล่าวเยี่ยงนี้ หลี่ซื่อก็รีบกล่าวเสริม แววตามิเห็นร่องรอยความเสแสร้ง “ใช่เจ้าค่ะ แม่นมซุนกล่าวถูก หน้ากระดาษมิมีบันทึกการรับของจากคนที่เว่ยซื่อส่งมา เสื้อผ้าและเครื่องประดับเหล่านั้นมิได้ส่งมอบ ข้าจึงให้ได้แต่เงินเดือนตายตัวเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ของในจวนโหวจักรับอันใดจำเป็นต้องมีป้ายยืนยันเพื่อความสะดวกของฝ่ายบัญชี ส่วนเบี้ยหวัดนั้นตายตัวอยู่แล้ว บุตรสาวของฮูหยินใหญ่เดือนละ 10 ตำลึง บุตรสาวของอนุภรรยาเดือนละ 5 ตำลึง ส่วนอี๋เหนียงเดือนละ 3 ตำลึง ตัวเลขเหล่านี้เป็นสิ่งตายตัว เพียงแค่ส่งคนใช้ไปรับในทุกเดือนก็พอ
พวกนางสองคนวางแผนช่วยกันไว้จึงสามารถกล่าวคำโกหกได้อย่างสวยงาม
เว่ยอี๋เหนียงจักทนมองพวกนางใส่ร้ายฉุนเซี่ยนสาวใช้คนสนิทต่อหน้าต่อตาได้เยี่ยงไร นางจึงทำใจแข็งต่อหลี่ซื่อเป็นคราแรก
“สะใภ้หลี่พูดให้ระวังหน่อย ฉุนเซี่ยนรับใช้ข้างกายข้ามาสิบปี นิสัยเป็นเยี่ยงไรข้ารู้แก่ใจดีที่สุด แม้มีคนอู้งานเหลวไหล คนผู้นั้นต้องมิใช่ฉุนเซี่ยนเป็นแน่”
“คำพูดเช่นนี้ของเว่ยซื่อน่าขันเหลือเกิน เรากำลังตามหาผู้กระทำผิดที่ทำให้เจ้าตกอยู่ในความยากจน แต่เจ้ายังห่วงว่านางเป็นสาวใช้คนสนิทและอยากเป็นที่พักพิงให้นาง หรือที่ท่านแม่กำลังช่วยเจ้าตัดสินอยู่ก็เพื่อให้เจ้าปกป้องสาวใช้ แสดงละครบทผูกพันระหว่างเจ้านายและสาวใช้เยี่ยงนั้นหรือ ? “
หลี่ซื่อกล่าวจบ มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าฉายความชั่วร้ายออกมา เพียงให้ฉุนเซี่ยนแบกโทษนี้ไว้ นางมิเพียงสามารถเอาตัวรอดจากการการทารุณเว่ยอี๋เหนียงสำเร็จ ยังสามารถกำจัดสาวใช้ข้างกายศัตรูได้อีกคน
อันหลิงเกอที่นั่งเงียบอยู่ข้างฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยแทนเว่ยอี๋เหนียงว่า “อี๋เหนียงกล่าวมิถูก หากท่านเห็นฉุนเซี่ยนเผาถ่านคุณภาพต่ำจนถูกควันอบทั้งหน้าแล้วดำเหมือนอีกา ท่านจักมิกล่าวคำใส่ร้ายเช่นนี้ออกมาแน่”
สาวใช้คนหนึ่งถูกกล่าวหาว่าอู้งานมิช่วยเจ้านายรับของ จักช่วยเจ้านายเผาถ่านคุณภาพต่ำอย่างสุดความพยายามจนอบทั้งโฉมหน้าให้ดำเหมือนอีกาได้เยี่ยงไร
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น แววตาของฮูหยินผู้เฒ่าก็สั่นไหวเล็กน้อยแล้วฉายความเย็นชาออกมา