ตอนที่ 98 การตายของฟางชิง
ในปีนั้นฮูหยินใหญ่อันเสียชีวิตเพราะเหตุใดอย่างนั้นหรือ ?
ฟางชิงบังเกิดความกลัวขึ้นภายในใจทันทีที่ได้ยินคำถามนี้
นางเฝ้าเก็บความลับนี้มานาน 7 ปี เปลี่ยนชื่อแซ่เข้าสู่จวนอ๋องมู่แต่โดนคุณหนูใหญ่ตามหาจนพบในที่สุด
นางหัวเราะ ฮึ ! ออกมาทีหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ปีนั้นฮูหยินใหญ่อันป่วยตายอย่างแน่นอน เหตุใดคุณหนูใหญ่จึงถามบ่าวเยี่ยงนี้เจ้าคะ ? “
เมื่อท่าทีและคำที่นางกล่าวออกมาเปลี่ยนไป พลันสายตาของอันหลิงเกอก็เย็นยะเยือกขึ้นมา นางจ้องมองใบหน้าของฟางชิงด้วยความเรียบเฉยไร้อารมณ์ “หากท่านแม่ตายเพราะป่วยจริง เหตุใดหลี่อี๋เหนียงต้องซื้อตัวเจ้าและแม่นมจ้าวไว้ก่อนที่นางจักแต่งเข้าจวน ? เพื่อให้มาทำร้ายท่านแม่อย่างนั้นหรือ ? อี๋เหนียงมีใจอยากเข้าจวนโหวตั้งแต่ที่ท่านแม่ยังมิตาย เจ้าและแม่นมจ้าวก็ร่วมมือกับนาง ! “
คำกล่าวของอันหลิงเกอถูกต้องหมดทุกอย่าง เป็นเหตุให้ฟางชิงถึงกับตกตะลึง กระทั่งมิกล้าเงยหน้ามองอันหลิงเกอ
เมื่อนางย้อนนึกถึงในปีนั้น นางและแม่นมจ้าววางยาฮูหยินใหญ่อัน คุณหนูก็เป็นเพียงเด็กตัวน้อยมิรู้เรื่องอันใด เพื่อมิให้เรื่องราวใหญ่โตจนเผยพิรุธจึงวางยาให้ฮูหยินใหญ่อันคนเดียวเท่านั้น ด้านคุณหนูใหญ่และคุณชายจึงมิได้เป็นอันใด ใครจักคาดคิดว่าคุณหนูใหญ่ฉลาดถึงเพียงนี้ มิเพียงแค่สืบได้ความว่านางและแม่นมจ้าววางยาฮูหยินใหญ่อัน ยังรู้กระทั่งว่าหลี่ซื่อซื้อตัวพวกนางไว้ก่อนแต่งเข้าจวนโหว
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้ว ฟางชิงก็เกิดความรู้สึกซับซ้อนสับสนภายในใจ กำลังคิดว่าจักอธิบายแก้ตัวเยี่ยงไร อันหลิงเกอก็เอ่ยต่อ “ฟางชิง หากเจ้ายอมรับมาโดยดีข้าจักมิเอาผิด แต่หากมิยอมรับข้าจักส่งเจ้าให้ทางการ ให้ขุนนางสอบสวนเจ้า พวกเขามีคนเท่าไรที่เชื่อฟังข้า เจ้าคงรู้ดีกว่าข้าเสียอีก”
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนี้ ใบหน้าของฟางชิงก็ลึกล้ำมากกว่าเดิมจนดูมิออกว่านางอยู่ในอารมณ์ใดกันแน่ “คุณหนูใหญ่ แม้ท่านจักสืบเรื่องของข้าจนกระจ่าง รู้ว่าข้าวางยาฮูหยินใหญ่อัน แล้วจักทำอันใดได้หรือ ? ฮูหยินใหญ่อันเสียชีวิตไปแล้ว ตอนนี้มีหลี่ซื่อเป็นผู้ดูแลจวนโหวทั้งหมด ท่านยังสามารถเปิดเผยเรื่องนี้ต่อหน้าหลี่ซื่อได้อีกหรือ ? “
ฟางชิงกล่าวราวกับยอมรับว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่อันหลิงเกอรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกประหลาด ฟางชิงติดต่อกับหลี่ซื่อได้เยี่ยงไรและเพราะเหตุใดจึงถูกหลี่ซื่อซื้อใจได้ เรื่องเหล่านี้น่าสงสัยมาก
ในขณะที่อันหลิงเกอกำลังคิดเช่นนี้ก็เห็นฟางชิงเก็บรอยยิ้มแล้วพุ่งตัวไปชนเสาเบื้องหน้าอย่างแรง
มู่จวินฮานรีบยื่นมือไปรั้งเอาไว้ แต่มิคาดคิดว่าฟางชิงจักมีแรงเยอะเช่นนี้ นางมุ่งมั่นที่จักตาย แม้แต่มู่จวินฮานยังรั้งไว้มิอยู่ มองเห็นฟางชิงกระแทกหน้าผากเข้ากับเสาสีแดงต่อหน้าต่อตา
เพียงเกิดเสียงปักแค่ครั้งเดียว อันหลิงเกอก็เห็นร่างของฟางชิงค่อย ๆ ฟุบลง
หน้าผากของนางเติมไปด้วยโลหิต
มู่จวินฮานยื่นมือไปสัมผัสลมหายใจของฟางชิง ครู่เดียวก็ดึงมือกลับ พลันใบหน้าของเขาก็จริงจังแล้วกล่าวว่า “นางตายแล้ว”
ฟางชิงตายแล้ว มิง่ายเลยกว่าจักหาเบาะแสมาได้ ทว่าเบาะแสก็หายไปทั้งอย่างนี้
อันหลิงเกอเม้มปากแน่น ใบหน้ามีความผิดหวังที่มองมิออกว่ามากเพียงใด
เดิมอันหลิงเกออยากลองถามฟางชิง หากมิยอมพูดก็จักสืบต่อไปเรื่อย ๆ ต้องมีสักวันที่สามารถสืบหาความจริงได้แล้วนำหลักฐานที่มีไปทำให้สองแม่ลูกหลี่ซื่อสำนึกผิดต่อหน้าป้ายวิญญาณของมารดา !
มู่จวินฮานลุกขึ้นแล้วมองไปที่ตัวของฟางชิง อยู่ ๆ สายตาก็สะดุดเข้ากับบางสิ่ง เขาจึงรีบย่อตัวลงอีกคราแล้วยื่นมือไปจับบริเวณเอวของฟางชิงเพื่อหยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมา
ของสิ่งนั้นเล็กและสวยงาม เมื่อมองจากที่ไกลแล้วมิได้สะดุดตาอันใด หากเมื่อครู่ฟางชิงมิได้ใช้แรงชนเสา ของสิ่งนี้คงมิโผล่ออกจากเอวของนางเป็นแน่
“นี่คือของอันใดหรือเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอถามมู่จวินฮานเมื่อเห็นเขาหยิบของบางอย่างออกจากเอวของฟางชิง จากนั้นนางก็เดินเข้าไปข้างกายมู่จวินฮานเพื่อมองให้ชัดเจน เมื่อเห็นอย่างชัดเจนแล้วนางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ริมฝีปากของมู่จวินฮานยกยิ้ม ดวงตาล้ำลึก “อาจเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง ของที่ใช้แสดงพลังอำนาจหรือของที่ใช้เฉพาะคนในลัทธิใดลัทธิหนึ่ง”
จากนั้นมู่จวินฮานก็นำของสิ่งนั้นวางไว้บนมือของอันหลิงเกอ “เจ้ายังจำวันแรกที่เราพบกันได้หรือไม่ ? คนที่วิ่งไล่สังหารข้า ที่เอวของพวกมันก็มีสิ่งนี้อยู่”
หมายความว่าคนที่วางยาพิษมารดาและคนที่สั่งนักฆ่าไปสังหารมู่จวินฮานเป็นพวกเดียวกัน
เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้แววตาของอันหลิงเกอก็เคร่งขรึมขึ้น หากเป็นพวกเดียวกันที่ได้รับคำสั่งจากผู้มีอำนาจ แล้วเหตุใดต้องจัดการกับจวนโหวและจวนอ๋องมู่ ? ก่อนที่ฮ่องเต้จักทรงพระราชทานสมรสให้ ทั้งสองจวนก็มิมีความเกี่ยวข้องใดต่อกันเลย ท่านแม่ถูกสังหารตั้งแต่เจ็ดปีก่อน ฟางชิงก็เพิ่งย้ายมาจวนอ๋องมู่ได้ 7 ปี อีกทั้งได้แฝงตัวเข้าไปอยู่ข้างกายมู่หวางเฟยด้วย
มู่หวางเฟย !
หัวใจของอันหลิงเกอเต้นแรงขึ้นมาทันที นางเห็นมู่จวินฮานเงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน ทั้งสองคนสบตากันแล้วอันหลิงเกอจึงเห็นแววตาที่ปกติมีแต่รอยยิ้มได้เปลี่ยนเป็นมีแต่ความเย็นชา “ข้าจักพาเจ้าไปพบท่านแม่”
อันหลิงเกอคิดว่ามู่จวินฮานคงคาดเดาได้ว่าฟางชิงอยู่ในจวนอ๋องมู่โดยมิมีเจตนาบริสุทธิ์ จวนอ๋องมู่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไหนเลยจักมีเรื่องบังเอิญเยี่ยงการช่วยชีวิตมู่หวางเฟยแล้วได้รับโอกาสรับใช้ข้างกายมู่หวางเฟย ? มิแน่ว่าเป็นแผนการของฟางชิง
อันหลิงเกอพยักหน้าแล้วเดินตามมู่จวินฮานโดยมิพูดสักคำ ทั้งสองเดินตรงไปทางลานกว้างของเรือนมู่หวางเฟย
มู่หวางเฟยมีอุปนิสัยรักความสงบ ในลานพำนักจึงเงียบอยู่เสมอ ทว่ายามนี้เรือนยังเงียบสงบดังเดิม แต่ภายในใจของมู่จวินฮานกลับวุ่นวายขึ้นเรื่อย ๆ
เขาพยายามเก็บความคาดเดาที่มิดีไว้ในใจแล้วเปิดประตูเรือนเข้าไป ทว่ามิเห็นแม้แต่เงาของมู่หวางเฟย
“*หมู่เฟยขอรับ”
มู่จวินฮานร้องเรียกมู่หวางเฟยเสียงดังลั่นเรือน แต่ก็มิมีเสียงใดตอบรับ เขาจึงเร่งฝีเท้าเดินไปที่ห้องนอน
เขาพบว่าบนเตียงนอนมีมู่หวางเฟยผู้สูงศักดิ์และแสนงดงามนอนอยู่ บนกายคลุมด้วยผ้าสีแดง มือทั้งสองข้างกุมไว้ที่อก ดวงตาปิดสนิท ปลายมุมปากยกขึ้นเล็กน้อยราวกับว่านางเพิ่งได้นอนหลับไปเท่านั้น
อันหลิงเกอเดินเข้าไปสามก้าวแล้วจับไปที่บริเวณข้อมือของมู่หวางเฟยเพื่อตรวจชีพจรของนาง
จังหวะชีพจรมิคงที่ เร็วบ้างช้าบาง จากนั้นอันหลิงเกอกดนิ้วลงไปกลางริมฝีปากบนของอีกฝ่าย ทว่ามู่หวางเฟยก็มิฟื้นขึ้นมา
“มู่หวางเฟยถูกพิษ” อันหลิงเกอมีสีหน้าจริงจัง ในใจเกิดความรู้สึกผิด “พิษในร่างของนางแฝงอยู่ในตัวหลายปี แต่วันที่พิษออกฤทธิ์จริง ๆ คือวันนี้เจ้าค่ะ”
หรือตอนที่ฟางชิงถูกมู่จวินฮานเรียกตัวไปพบก็รู้สึกถึงลางมิดีจึงชิงลงมือวางยาพิษแก่มู่หวางเฟย ?
หากมิใช่นางมาอย่างกะทันหันจนทำให้ศัตรูแตกตื่น มู่หวางเฟยอาจมิต้องหมดสติเพราะถูกพิษเยี่ยงนี้
มู่จวินฮานมองอันหลิงเกอ ในแววตามิมีการกล่าวโทษแต่อย่างใด “ในเมื่อฟางชิงแฝงตัวมาอยู่ข้างกายมารดาเมื่อเจ็ดปีก่อน ก็ชัดเจนว่านางต้องมีเจตนาทำร้ายหมู่เฟย มิว่าเจ้าจักมาหรือไม่ นางต้องลงมือกับหมู่เฟยอย่างแน่นอน สิ่งนี้มิอาจโทษเจ้าได้”
“แต่เพราะข้า มู่หวางเฟยจึง…”
คำพูดของอันหลิงเกอยังมิจบก็ถูกมู่จวินฮานแทรกขึ้นมาก่อน “สิ่งสำคัญในตอนนี้คือเรียกท่านหมอมาดูอาการหมู่เฟย ดูว่านางโดนพิษอันใดและต้องรักษาเยี่ยงไร”
เมื่อครู่มู่จวินฮานเห็นอันหลิงเกอใช้มือตรวจชีพจรของมู่หวางเฟย เขาก็มิได้คิดมาก เพียงคิดว่าอันหลิงเกอรู้วิชาแพทย์เพียงผิวเผิน
ใครจักคิดว่าอันหลิงเกอยังมีสีหน้าจริงจังแล้วกล่าวว่า “พิษที่มู่หวางเฟยได้รับ เป็นพิษที่เรียกว่าพิษสาวงาม ผู้ที่โดนพิษจักหมดสตินาน 7 วัน ทว่าใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม เหมือนได้เข้าสู่โลกแห่งความฝันอันสวยงาม หากรักษามิทันเวลา พิษก็จักกำเริบและตายในที่สุดเจ้าค่ะ”
…