ตอนที่ 99 ขนมหวานต้านภัย
มู่จวินฮานได้ยินคำพูดของอันหลิงเกอ พลันริมฝีปากก็เริ่มเม้มหากันแน่น
ภายในเจ็ดวันนี้ ถ้าตามหายาแก้พิษมิเจอ พิษก็จักกำเริบไปทั่วร่างกาย หมายความว่า เขามีเวลามากสุดเจ็ดวันในการหายาแก้พิษ แต่จักแก้พิษเยี่ยงไรเขายังมิรู้เลย
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ายาพิษนี้ปรุงขึ้นจากสิ่งใด ? “
บัดนี้เห็นได้ชัดว่าการไปหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังฟางชิงเพื่อขอยาแก้พิษย่อมเป็นไปมิได้ เวลามีแค่ 7 วันและบางทีอาจสืบไปมิถึงใครเลย ดังนั้นจึงทำได้แค่ตามหาตัวยามาผสมยาแก้พิษให้หมู่เฟย
อันหลิงเกอพยักหน้า “ข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับพิษชนิดนี้ในตำราโบราณ ยาแก้ของมันมิได้ผสมยาก เพียงแต่ตัวยาออกจักหายากไปเสียหน่อยเจ้าค่ะ”
นางนิ่งไปชั่วครู่และพูดตัวยาที่จดจำได้ออกมา “ตัวยาอื่นหาง่าย มีเพียงคางคกหิมะอายุกว่าร้อยปีที่หายากและเป็นตัวยาสำคัญที่สุดเจ้าค่ะ”
คางคกหิมะอาศัยอยู่บนยอดภูเขาหิมะสูงเท่านั้น น้อยคนที่จักไปถึง คนที่เคยเห็นมันมาก่อนยิ่งมีน้อย มิต้องพูดถึงว่าจักจับคางคกหิมะท่ามกลางหิมะเพราะต้องยากลำบากมากเพียงใด แค่คิดก็รู้แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคางคกหิมะอายุร้อยปี บนโลกมนุษย์ก็หาได้ยาก ภายในเจ็ดวัน จากเมืองจิงเดินทางไปภูเขาหิมะยังแทบมิทันเลย แล้วจักจับคางคกหิมะอายุร้อยปีกลับมาได้เยี่ยงไร ?
อันหลิงเกอพูดจบก็รู้สึกแน่นหน้าอกอย่างมิสบายใจ
นางฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครา เพียงเพื่ออยากแก้แค้นแทนมารดาและตนเอง แต่มิเคยคิดเลยว่าจักทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ทั้งยังทำให้อีกฝ่ายมีอันตรายถึงชีวิต
ดวงตาของมู่จวินฮานเป็นประกาย ดวงตาคมกริบราวกับเปล่งแสงเจิดจ้าโดยไร้ที่สิ้นสุด เขาพูดเร็วขึ้นเล็กน้อย “จวนอ๋องมีคางคกหิมะร้อยปีอยู่ตัวหนึ่งพอดี ทว่ามันโดนแช่แข็งไว้ทั้งปี มิรู้ว่าสามารถทำเป็นยาได้หรือไม่”
สุขภาพของหมู่เฟยมิค่อยแข็งแรงมาโดยตลอด *ฟู่หวางจึงให้คนเตรียมยาหลายแขนงไว้ คางคกหิมะร้อยปีก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
อันหลิงเกอดีใจยิ่งนัก ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสุขและความกังวลในแววตาก็หายไปในทันที “ขอเพียงเป็นคางคกหิมะร้อยปีย่อมสามารถกำจัดพิษในตัวมู่หวางเฟยได้เจ้าค่ะ”
นางจับพู่กันแล้วเริ่มเขียนสูตรยา จากนั้นมอบให้มู่จวินฮาน “มู่ซื่อจื่อสามารถเชิญท่านหมอมาดูได้ว่ายาสูตรนี้สามารถรักษามู่หวางเฟยได้หรือไม่”
“ใครอยู่ข้างนอกรีบเข้ามา จงไปเชิญท่านหมอติงมาที่จวน บอกว่าหมู่เฟยหมดสติและให้เขามารักษา”
เขานำสูตรยาให้คนสนิทดู “หมู่เฟยโดนพิษสาวงาม จงให้ท่านหมอดูว่ายาสูตรนี้สามารถใช้ได้ผลหรือไม่”
การที่มู่จวินฮานกำชับคนสนิทต่อหน้าอันหลิงเกอ มิได้หมายความว่าเขามิเชื่อนาง ตรงกันข้ามคือเขามิเคยสงสัยในสิ่งที่อันหลิงเกอกล่าว ดังนั้นจึงเชิญท่านหมอติงมารักษาแทนเพราะมิต้องการให้เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอันหลิงเกอ เขามิอยากให้ผู้อื่นทราบว่านางรู้วิชาแพทย์
ยามที่มู่หวางเฟยฟื้นขึ้นมา คนอื่นจักได้คิดว่าเป็นฝีมือท่านหมอติงรักษา ย่อมมิอาจคิดเชื่อมโยงไปถึงอันหลิงเกอได้
อันหลิงเกอมีไหวพริบที่ดี นางย่อมรู้ถึงความตั้งใจของมู่จวินฮาน
นางสบตากับเขาอย่างลึกซึ้ง รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงจนมิเป็นจังหวะ
นางข่มอาการใจเต้นแรงเอาไว้แล้วอำลามู่จวินฮาน จากนั้นก็กลับไปร้านขายอาภรณ์เพื่อเปลี่ยนชุด
อันหลิงเกอรับชุดเดิมจากมือของหมิงซินแล้วเปลี่ยนจนเรียบร้อย จากนั้นก็เดินเล่นในตลาดด้วยอารมณ์ปกติ
แม้พูดว่าเดินเล่น แต่อันหลิงเกอก็พาหมิงซินไปซื้อขนมหวานหลายชนิด ทั้งยังนำขนมกลับไปที่จวนด้วย
คนเฝ้าประตูเป็นคนของหลี่ซื่อ ดังนั้นการที่อันหลิงเกอออกจากจวนตอนใดแล้วกลับมาตอนไหนจึงมีคนไปรายงานอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินว่าอันหลิงเกอพาสาวใช้ออกไปข้างนอกนานกว่าครึ่งค่อนวัน หลี่ซื่อก็อยากใช้เรื่องนี้มาตำหนิอันหลิงเกอ
แม้มิมีกฎห้ามคุณหนูออกนอกจวน แต่ก็เป็นเพราะรู้ดีว่าคุณหนูเหล่านั้นจักมิทำเรื่องผิดศีลธรรม อย่างไรก็ตามอันหลิงเกอพาสาวใช้ออกไปเยี่ยงนี้ ใครจักรู้ว่านางไปทำอันใดบ้าง
หลี่ซื่อสะบัดมือให้ผู้รายงานถอยออกไป มุมปากกระตุกยิ้มเย็น จากนั้นก็เดินไปทางเรือนของอันหลิงเกอ
อันหลิงเกอเพิ่งก้าวเท้าเข้าเรือน ฝ่ายหลี่ซื่อก็ตามมาแล้ว ระยะเวลาห่างกันมิถึงครึ่งก้านธูปเสียด้วยซ้ำ
“วันนี้หลี่อี๋เหนียงมาหาข้าถึงเรือนด้วยเหตุอันใด หรือว่าสาวใช้สองคนที่ทำร้ายหยูเกอร์เอ๋อโดนจัดการเรียบร้อยแล้ว ? “
นางจงใจเอ่ยถึงจุดอ่อนของหลี่ซื่อ ส่วนมุมปากก็แต้มยิ้มอ่อน
ตำแหน่งของสาวใช้สองคนนั้นมิได้สูงมาก แต่ก็มิง่ายกว่าจักให้พวกนางแฝงตัวเข้ามาได้ ภายหลังถูกอันหลิงเกอจับได้ยังพอทำทน ทว่าหลี่ซื่อต้องสั่งโบยสาวใช้ทั้งสองจนตายจากปากของนางเอง
ในใจหลี่ซื่อยังนึกแค้นมิหาย อันหลิงเกอกลับพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้รอยยิ้มเสแสร้งบนใบหน้าของนางยังแทบรักษาเอาไว้มิอยู่
“ข้าให้คนจัดการสาวใช้สองคนนั้นตั้งนานแล้ว เกอเอ๋อ ข้าได้ยินคนเฝ้าประตูบอกว่าวันนี้เจ้าออกจากจวนไปครึ่งค่อนวัน มิทราบไปทำอันใดหรือ ? เจ้ากับมู่ซื่อจื่อหมั้นหมายกันแล้ว อย่างน้อยเจ้าต้องระวังกิริยาให้มาก อย่าใกล้ชิดบุรุษอื่นมากเกินไป จักโดนผู้อื่นนินทาเอาได้”
หลี่ซื่อพูดโดยมิรอให้อันหลิงเกอโต้ตอบ นางยัดเยียดชื่อเสียงภรรยาไร้ศีลธรรมให้อันหลิงเกอเรียบร้อยแล้ว
หากมีผู้อื่นได้ยินเข้า คงคิดว่าอันหลิงเกอมิรักนวลสงวนตัว ทั้งที่มีคู่หมั้นแล้วยังไปมีสัมพันธ์คลุมเครือกับบุรุษอื่น
ใบหน้าของอันหลิงเกอยังคงประดับรอยยิ้มมิแปรเปลี่ยน ทว่าแววตาเย็นเยือก “คำกล่าวของหลี่อี๋เหนียงช่างน่าขัน ข้ายังมิได้บอกว่าวันนี้ไปทำอันใดมา ท่านก็รีบร้อนป้ายความผิดให้ข้าแล้ว คนที่รู้ความจริงจักเข้าใจว่าหลี่อี๋เหนียงพูดโดยมิผ่านการใช้สมอง ส่วนคนที่มิรู้ก็อาจคิดว่าหลี่อี๋เหนียงจงใจใช้คำพูดเหล่านี้บีบคั้นข้า”
อันหลิงเกอด่าหลี่อี๋เหนียงว่าโง่เขลา พร้อมกันนั้นยังด่าว่าหลี่อี๋เหนียงจิตใจชั่วช้า เป็นเหตุให้นางถึงกับหางตากระตุก ต้องหายใจเข้าลึก ๆ จึงสามารถสงบอารมณ์โกรธเอาไว้ได้
“ข้าพูดมิระวังจึงทำให้เกอเอ๋อมิชอบใจ” ใบหน้าของนางแย้มยิ้ม แต่ในใจอยากจัดการอันหลิงเกอนัก “อย่างไรก็ตามท่านโหวให้ข้าดูแลจวน ข้าสอบถามที่ไปที่มาของเกอเอ๋อย่อมเป็นเรื่องสมควรมิใช่หรือ ? เกอเอ๋อบอกมาดีกว่า เจ้าออกจากจวนไปครึ่งค่อนวันเพื่อทำอันใดบ้าง ? “
หากให้เหตุผลดี ๆ ออกมามิได้ ดูสิว่านางจักจัดการคนสารเลวชั้นต่ำอย่างไร!
อันหลิงเกอยิ้มอย่างใสซื่อ นัยน์ตาสีนิลทำให้คนมองคาดเดาอารมณ์มิออก “หลี่อี๋เหนียงเคยเรียกน้องหญิงรองไปพบ เมื่อนางกลับเรือนก็หาผ้าแล้วพยายามปลิดชีพตนเอง เรื่องนี้หลี่อี๋เหนียงมิใส่ใจ แต่ข้าใส่ใจ”
นางแอบสื่อว่าหลี่ซื่อมิสนใจความเป็นตายของคุณหนูในจวน โดยมิให้หลี่ซื่อมีโอกาสโต้แย้ง นางก็ชิงพูดต่อ “น้องหญิงรองได้รับความลำบาก ข้ามิรู้จักปลอบใจนางเยี่ยงไร จึงคิดได้ว่าควรพาหมิงซินออกไปซื้อขนมหวานเพื่อส่งให้น้องหญิงรองเป็นการปลอบประโลม”
…
*ฟู่หวาง คือคำที่โอรสและธิดาใช้เรียกพระบิดาผู้เป็นเชื้อพระวงศ์