ที่ที่อาซพาอาเรียมาก็คือบ้านพักตากอากาศหลังเล็กกลางป่าที่ทั้งสองเคยมาเมื่อครั้งที่แล้วนั่นเอง
แม้เธอจะอยากหลบหลีกจากสายตาผู้คนอย่างไรก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดีที่ถูกพามายังที่ที่ทั้งมืดและเปลี่ยว แต่เมื่อเดินเลี้ยวผ่านมุมของตึกสักตึกมา ป่าก็พลันปรากฏอยู่ตรงหน้า
อาเรียได้แต่เก็บความประทับใจที่แม้จะได้ประสบพบเจอความสามารถนี้มาแล้วหลายครั้งแต่ก็ยังรู้สึกประทับใจเอาไว้ เธอนั่งอยู่ตรงโต๊ะในสวนของคฤหาสน์ตามที่อาซผายมือ
“…เอ๊ะ”
เมื่อเห็นอาเรียที่นั่งลงเรียบร้อยแสดงความสงสัย อาซจึงเอ่ยถามว่าเหตุใดเธอจึงเป็นเช่นนั้น
“ดิฉันรู้สึกเหมือนเก้าอี้กับโต๊ะเปลี่ยนไปน่ะค่ะ”
เธอจำได้แม่นว่าเก้าอี้และโต๊ะที่เธอเห็นเมื่อวันก่อนนั้นทั้งเก่าทั้งหยาบกระด้าง เรียกได้ว่าธรรมดาเกินกว่าที่คนชั้นสูงจะใช้เสียด้วยซ้ำไป
แต่เก้าอี้ที่อาเรียกำลังนั่งอยู่ในตอนนี้กลับนุ่มสบาย ลวดลายก็งดงาม รวมทั้งโต๊ะที่แม้จะถูกนำมาเป็นของประดับตกแต่งแต่ก็หรูหราจนไร้ที่ติ
เธอพูดพลางมือก็ลูบมันไปด้วย ส่วนอาซก็ตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อ้อ ผมเปลี่ยนเพราะคิดว่ามันไม่เหมาะกับเลดี้น่ะครับ”
“…เปลี่ยนเพราะดิฉันหรือคะ”
ทั้งที่เธอเพิ่งเคยมาแค่ครั้งเดียวเท่านั้นน่ะหรือ
เมื่อเธอถามออกมาเช่นนั้นทั้งยังกะพริบตาปริบๆ เขาก็ตอบราวกับมันเป็นเรื่องปกติ
“ใช่ครับ ยังไงเลดี้ก็ต้องได้กลับมาอีกครั้งเหมือนอย่างตอนนี้อยู่ดีไม่ใช่หรือครับ และผมเองก็ยังไม่รู้นะครับ เลดี้อาจจะได้มาที่นี่อีกหลายครั้งก็ได้”
เขายิ้มจนหางตาโค้งเป็นรูปสวย ทั้งยังแสดงเจตจำนงของตนเองว่าอยากเจอเธอต่อไปเรื่อยๆ ในวันข้างหน้า ก่อนที่อาเรียจะทันได้ตอบตกลง
แม้เธอจะไม่มีทางปฏิเสธเพียงเพราะเขามาขอให้เธอยินยอมพร้อมใจก็เถอะ เขาหัวเราะคิกคักออกมาเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังแล้วเริ่มพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้
“เลดี้ปกปิดตัวตนกับผม”
คำถามตรงไปตรงมาที่ถูกส่งมาอย่างกะทันหันหลังจากหาโอกาสได้ ทำให้บรรยากาศเย็นวาบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งป่าในชั่วพริบตา หากไม่ใช่คนรับใช้ที่ยกชามาให้ทีหลังคงสะอึกเพราะความเย็นนั้นไปแล้ว
ทั้งที่เขาก็ไม่ได้เร่งเร้าด้วยถ้อยคำรุนแรง แต่อาเรียผู้รู้สึกเหมือนถูกแทงใจดำกลับเสหลบสายตาก่อนจะเอ่ยตอบ
“…ดิฉันแค่คิดว่ามันไม่จำเป็นเท่านั้นเองค่ะ แล้วคุณอาซเองก็ไม่เคยถามว่าดิฉันคือผู้ลงทุนหรือเปล่านี่คะ”
ทั้งที่รู้ว่าพูดไปก็ฟังไม่ขึ้น เธอก็ยังหยุดพูดไม่ได้อยู่ดี เขาต้องจับผิดและซักไซ้เธอต่อแน่นอน ตอนนี้อาซคงรู้สึกเหมือนถูกทรยศและอึดอัดเหมือนอย่างที่เธอเคยรู้สึกตอนเขาปกปิดตัวตนที่แท้จริงกับเธอ
ทว่า
“ถ้าอย่างนั้นผมขอถามทุกอย่างที่ผมสงสัยจะได้ไหมครับ”
อาซไม่แม้แต่จะแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวหรือจับผิด เขากลับถามความเห็นจากเธอราวกับต้องการความมั่นใจแทนเสียอย่างนั้น อาเรียที่ยังสับสนได้แต่พยักหน้ารับเพราะเข้าใจว่าเขาคงให้ความสนใจกับคำถามทุกคำถาม
เขาตั้งใจจะถามคำถามแบบไหนกันแน่ถึงต้องมาขออนุญาตเธอก่อนแบบนั้น
อาเรียกลืนน้ำลายด้วยความตื่นเต้นขณะรอคำถามจากอาซ แต่คำถามของเขากลับเป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึง
“ที่ผ่านมา เลดี้สบายดีไหมครับ”
“…อะไรนะคะ”
“ก็เราไม่ได้เจอกันมาสักพักแล้วนี่ครับ พอได้รู้ความจริงว่าเลดี้คือผู้ลงทุน ผมถึงกังวลกลัวว่าเลดี้จะยุ่งเหมือนกับผมยังไงล่ะครับ”
แม้เธอจะเป็นผู้ลงทุนที่คอยควบคุมบัญชาการบรรดานักธุรกิจเป็นสิบคน แต่จะไปเทียบกับมกุฎราชกุมารอย่างอาซได้อย่างไร
“ไม่ยุ่งหรอกค่ะ ดิฉันเพียงแค่อ่านจดหมายและเขียนตอบอยู่ที่คฤหาสน์เท่านั้นเองค่ะ นอกจากนั้นแล้ว…”
นอกจากนั้นคือเธอเป็นห่วงอาซ
เขาจะได้ยินข่าวของดัชเชสไอซิสหรือยัง หากได้ยินแล้ว เขารู้หรือไม่ว่าดัชเชสพยายามจะแต่งงานกับจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิอื่นและมีรับสั่งให้กลุ่มชนชั้นสูงมารวมตัวกัน
“ฉันก็เป็นห่วงคุณอาซค่ะ”
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเธอพูดอย่างนั้นออกไปด้วยความจริงใจ แววเอ็นดูรักใคร่ก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา เขาดูจะดีใจที่อาเรียเป็นห่วงตนมากทีเดียว
“ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าผมได้รับความห่วงใยจากเลดี้… มันทำให้ผมอยากทำงานให้หนักมากขึ้นครับ”
“ถึงคุณไม่ทำแบบนั้นดิฉันก็เป็นห่วงตั้งไม่รู้ขนาดไหนแล้ว คุณอย่าคิดเช่นนั้นเลยนะคะ!”
เมื่ออาเรียแสดงท่าทีโกรธขึ้งเล็กน้อยเพราะคำตอบทีเล่นทีจริงนั้น อาซจึงหัวเราะออกมาจนตาปิด
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเขาหัวเราะอย่างสดใสถึงเพียงนี้ อาเรียจึงเอาแต่มองภาพนั้นอยู่พักใหญ่โดยไม่รู้ตัวเลยว่าหน้าของเธอกำลังแดงระเรื่อ
“ผมไม่ได้อ่อนแออย่างที่เลดี้คิดหรอกครับ”
อะไรกัน ในเมื่อมกุฎราชกุมารในอดีตที่เธอจำได้นั้น เป็นคนอ่อนแอที่ได้แต่มึนงงในดงชนชั้นสูงจนไม่อาจบอกได้กระทั่งชื่อตนเองด้วยซ้ำ เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงทำตัวปีกกล้าขาแข็งได้แบบนี้
ราวกับอ่านความกังวลและห่วงใยในสายตาของอาเรียออก อาซอธิบายเพิ่มเพื่อให้เธอเชื่อใจ
“แน่นอน หากจะบอกว่าผมดูอ่อนแอ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด เพราะที่จริงแล้วแม้แต่ตัวผมเองก็ไม่เคยคิดหรอกครับว่าจะได้อำนาจจากกลุ่มชนชั้นสูงมาได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ ผมคิดว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อน่ะครับ หากจำเป็นต้องทำ… ผมคิดถึงขนาดจะแต่งงานกับดัชเชสด้วยซ้ำ ผมจนปัญญาเพราะมองไม่เห็นทางออกอื่นแล้วครับ”
ทันทีที่อาซพูดถึงเรื่องการแต่งงานกับดัชเชส สีหน้าของอาเรียก็หม่นลงอย่างชัดเจน
อาซจึงกอบกุมมือที่กำลังถือแก้วไว้แน่นของอาเรียเอาไว้ราวกับจะทำให้เธอมั่นใจ เมื่อไออุ่นจากตัวอาซสัมผัสลงบนมือที่ซีดขาวและเริ่มเย็นลงเล็กน้อย เขาก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา
“แต่ว่า อาจจะตั้งแต่ที่ผมได้พบกับเลดี้กระมังครับ”
อาซยกยิ้มขึ้นน้อยๆ เหมือนกำลังหวนนึกไปถึงวันแรกที่ได้พบกับอาเรีย ก่อนจะพูดต่อ
“ความทรงจำที่น่าสับสนขนาดนั้นมีน้อยจนแทบจะนับนิ้วได้สินะครับ หลังจากได้เจอกับภัยร้ายแรงตั้งแต่เด็กมาแล้ว ผมติดอยู่ในความคิดกดดันตัวเองว่าต้องวางแผนอย่างรอบคอบและสมบูรณ์แบบที่สุดครับ… แต่มันก็ไร้ประโยชน์ไปทันตาเพราะคำพูดของเลดี้เพียงคำเดียว”
“…คุณกำลังพูดถึงเรื่องคาสิโนสินะคะ”
ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มต้นด้วยคำว่า ‘ขายสิทธิในการประเมินราคาคืนให้เจ้าของร้านขายของชำ’ คำนั้นเพียงคำเดียว ความสัมพันธ์ที่ไม่เคยเป็นไปได้ในอดีต กลับเป็นไปได้เมื่อล่วงรู้อนาคต
“ใช่ครับ สิ่งที่ผมเตรียมมาเนิ่นนานกลายเป็นพังไม่เป็นท่าเชียวล่ะครับ หลังจากนั้นผมได้ไปตรวจสอบว่าข่าวลือแพร่กระจายไปตามที่เลดี้พูดหรือไม่จนได้รู้ว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้นจึงแอบสืบลับหลังครับ”
ช่วงระหว่างนั้นเขาเคยสับสนระหว่างเธอกับมิเอล และอาเรียเองก็กระทำกิริยาที่เป็นการเสียมารยาทเพราะเข้าใจตัวตนของอาซผิดเช่นกัน
“ยิ่งได้ทำความรู้จัก ยิ่งรู้สึกว่าเลดี้น่าค้นหาครับ เพราะผมก็ได้โอกาสที่ไม่คาดคิดจากคำแนะนำอันหลักแหลมของเลดี้ด้วยครับ”
เรื่องนั้นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อาเรียเองก็รู้อยู่แก่ใจ
แต่เรื่องของดัชเชสนั้นต่างออกไป แม้จะไม่มีการกำหนดอย่างเป็นทางการแต่ต่างฝ่ายต่างก็สู่ขอกันเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่จู่ๆ ดัชเชสกลับไปอภิเษกสมรสกับจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิอื่นเสียได้
“แต่ว่าดัชเชส…”
“ผมรู้ครับว่าเลดี้กำลังกังวลเรื่องอะไร แต่ผมอยากให้เลดี้เชื่อใจผมอีกสักหน่อย เมื่อโอกาสมาถึง ผมไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไปหรอกนะครับ”
เธอยังพูดไม่ทันจบแต่อาซกลับตอบมาอย่างอ่อนโยน แววตามั่นใจราวกับเขาได้หาทางแก้เอาไว้แล้ว
“อีกไม่นาน ผมขอไปที่คฤหาสน์ท่านเคานต์บ้างได้ไหมครับ”
ครั้งก่อนเขาก็มาทั้งที่ไม่ได้รับอนุญาตนี่ เพราะฉะนั้นเธอจึงคิดว่าเขาคงจะย้ายที่ว่างแล้วมาปรากฏตัวเหมือนคราวก่อน แต่แล้วคำพูดต่อมาก็ทำให้เธอได้รู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น
“ผมอยากไปกล่าวทักทายและขออนุญาตอย่างเป็นทางการน่ะครับ กับท่านเคานต์แล้วก็เคาน์ติส”
“ทักทายอย่างเป็นทางการหรือคะ… แล้วขออนุญาตอะไรกัน…”
“ผมจะไปทักทายและขออนุญาตชอบเลดี้ต่อไปได้ไหมยังไงล่ะครับ”
“…!”
ตุ้บ
หัวใจเริ่มเต้นโครมครามราวกับมีของหนักบางอย่างร่วงลงมาทับบนอก
เธอเคยคิดว่าเขามีความสนใจ ไม่สิ มีความรู้สึกที่มากกว่าสนใจให้เธอก็จริง แต่พอได้มาฟังจากปากเขาโดยตรง ความรู้สึกที่ไม่อาจพรรณนาก็ถาโถมเข้ามาหาจนแทบหายใจไม่ออก
“เมื่อก่อนนี้ ผมก็เคยทำมาหลายครั้งแล้วแต่… ดอกทิวลิปเป็นสิ่งเดียวที่ผมเตรียมมาเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอเลดี้ในพิธีปิดวันนี้ด้วยน่ะครับ”
ราวกับได้บอกเอาไว้ล่วงหน้า ในมือของคนรับใช้ที่โผล่มาโดยไม่ทันตั้งตัวถึงได้ถือช่อดอกทิวลิปแสนสวยเอาไว้ด้วย
อาซรับมันมาก่อนจะคุกเข่าข้างหนึ่งลงต่อหน้าอาเรียด้วยความสุภาพ
“ผมขอคบกับเลดี้ อย่างเป็นทางการได้ไหมครับ”
เขายื่นช่อดอกไม้มาพร้อมเอ่ยถาม ไร้ซึ่งความกังวลและลังเลในแววตา เขามั่นใจว่าอาเรียจะยอมรับช่อดอกไม้ของเขาอย่างแน่นอน
เขาคือผู้ชายที่จะไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปจริงๆ นั่นล่ะ
“ครั้งหน้าดิฉันอยากรับคำขอของคุณในที่ที่หรูหราและโอ่โถงกว่านี้หน่อยนะคะ ก็มันมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตนี่คะ”
ดังนั้น เมื่อเธอรับช่อดอกไม้ดังที่เขาคาดหวัง อาซจึงยิ้มกว้างจนตาปิดอีกรอบ
“ถ้าเพื่อเลดี้แล้ว ต่อให้ต้องใช้พื้นที่ทั้งจักรวรรดิ ผมก็จะทำครับ”
* * *
เคาน์ติสกลับมายังคฤหาสน์ท่านเคานต์ก่อนจึงยังไม่ได้ฟังคำอธิบายอย่างละเอียด แต่ก็พอจะหาข้อสรุปได้เมื่อวิเคราะห์จากสถานการณ์และบทสนทนาไปพร้อมกัน
‘ผู้ลงทุนคนนั้นที่ได้รับคำชมจากทั่วทั้งแผ่นดินกลับกลายเป็นอาเรีย ซึ่งเธอก็คบหากับเจ้าชายมาแสนนานแล้ว และแม้แต่ดัชเชสที่ว่ากันว่าเป็นคู่หมั้นของมกุฎราชกุมารก็ยังไปอภิเษกกับจักรพรรดิของจักรวรรดิอื่น…’
ดังนั้นข้อสรุปที่ว่ามกุฎราชกุมารคงจะกำจัดดัชเชสทิ้งไปเพื่อยกอาเรียที่เพิ่งมีอำนาจขึ้นมาเป็นมกุฎราชกุมารีในพระองค์จึงดูจะเป็นข้อสรุปที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
‘…ให้ตายเถอะพระเจ้า!’
เมื่อไล่เลียงได้แบบนี้ เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูจึงดังก้องอยู่ในอกที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
หล่อนเคยคิดว่าลูกสาวตนจะต้องหาคู่แต่งงานที่เหมาะสมได้เพราะหน้าตาที่สะสวย แต่หล่อนคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนคนนั้นจะเป็นถึงคนในราชวงศ์!
แม้ความคิดจะแต่งลูกสาวเข้าบ้านดีๆ แล้วใช้ประโยชน์จากตรงนั้นจะมีอยู่เล็กน้อยแค่ไหน แต่ความจริงที่ว่าบ้านนั้นคือราชวงศ์อันสูงส่งที่สุดในจักรวรรดิมิอาจหาตระกูลชนชั้นสูงตระกูลใดมาเทียบก็ทำให้หล่อนนึกลำพองใจขึ้นมาได้เช่นกัน
หล่อนยังคิดเรื่องนี้เรื่อยมากระทั่งรถม้ามาถึงคฤหาสน์
“ท่านแม่กลับมาจากพิธีปิดที่ท่านพ่อไม่สบายใจเร็วเสียจริงนะคะ”
มิเอลเยื้องย่างลงมายังชั้น 1 พร้อมแต่งตัวสวยงามราวกับจะออกไปข้างนอกแล้วกล่าวต้อนรับเคาน์ติส
มิเอลนิสัยเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือหลังการตายของเอ็มม่า หล่อนแสดงสีหน้าอึดอัดทั้งยังกล่าวต่อว่าการกระทำของเคาน์ติส ฟังดูคล้ายหล่อนได้ละทิ้งสิ่งต่างๆ ที่เคยแสร้งทำเป็นดีแล้วกลับมาหาธาตุแท้ของตนเสียที
เป็นความจริงที่ท่านเคานต์บังคับให้หล่อนไปทั้งที่รู้ดีว่าหล่อนไม่ชอบ ดังนั้นหากเป็นเวลาปกติเคาน์ติสก็คงปั้นหน้ายิ้ม แต่ตอนนี้มันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีก
และอีกฝ่ายก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีความจริงแบบไหนถูกเปิดเผยภายในงานนั้น
ดังนั้นเคาน์ติสจึงยกยิ้มอย่างนึกสนุกแล้วตอบกลับไป
“มิเอล ถ้าลูกได้ไปด้วยกันคงจะชอบน่าดูเชียว ในงานมีเรื่องดีมากๆ อยู่ด้วยล่ะ”
ทั้งที่อยากสวนกลับไปใจจะขาด แต่สุดท้ายเคาน์ติสก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพร้อมรอยยิ้มของท่านแม่ผู้มีใจโอบอ้อมอารี
เพราะการทำตัวลิงโลดโดยไม่ดูตาม้าตาเรือเมื่อได้ยินว่ามีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นคือการกระทำของพวกโหลยโท่ยอย่างไรล่ะ
“จริงหรือคะ น่าสนุกจริงๆ ด้วยนะคะ ตอนนี้ลูกมีธุระต้องไปทำ ขอตัวก่อนแล้วกันค่ะ”
มิเอลถอนหายใจก่อนจะออกจากคฤหาสน์ไปพร้อมสีหน้าที่ไม่มีความสนใจใดๆทั้งสิ้น เมื่อแผ่นหลังน่ารังเกียจนั้นหายลับไป แอนนี่ที่ตามหลังเคาน์ติสมาก็ถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทันที
“เดี๋ยวพอไปรู้ความจริงเอาทีหลังคงได้ทำส้อมหรือไม่ก็แก้วน้ำชาร่วงแน่ค่ะ”
ทั้งสองเคยเห็นกับตาตัวเองมาหลายครั้งตอนทำงานรับใช้อาเรีย ดังนั้นแม้กระทั่งเจสซี่ผู้แสนเรียบร้อยจึงยังต้องปิดปากกลั้นขำ
ด้วยเหตุนี้ ถึงแอนนี่จะมารับใช้หล่อนได้ไม่นาน เคาน์ติสก็ยังอ่านนิสัยของแอนนี่ออกด้วยความสามารถในการจดจำอันเป็นเอกลักษณ์ หล่อนลูบผมแอนนี่ก่อนจะพูดขึ้น
“ถึงเวลาที่เธอต้องแสดงความสามารถแล้วล่ะ”
“…ความสามารถหรือคะ”
“ใช่ พวกเธอไม่สงสัยเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้กันบ้างหรือ”
“อ้อ!”
ตอนนั้นเอง แววตาของแอนนี่ก็เป็นประกายวาววับราวกับเข้าใจความหมายที่เคาน์ติสต้องการจะสื่อ ถึงเวลาแล้วที่หล่อนจะได้เผยแพร่เรื่องราวอันน่าภูมิใจของผู้เป็นนายที่เก็บซ่อนมาตลอด
ตอนนี้ข้างนอกคงลือกันไปทั่วจากการพูดกันปากต่อปากเรียบร้อยแล้ว แต่ภายในคฤหาสน์เองก็ควรจะรู้ด้วยไม่ใช่หรืออย่างไร เพื่อให้อาเรียซึ่งกำลังจะกลับมาในอีกไม่นาน ได้รับการปฏิบัติที่คู่ควรเสียที
แอนนี่ที่กำลังตื่นเต้นเริ่มวิ่งวุ่นไปตรงโน้นตรงนี้ทั่วคฤหาสน์
“ทุกคน! ดิฉันมีเรื่องพิเศษมากๆ มาบอกค่ะ! แล้วอย่ามาเสียดายทีหลังนะ รีบมารวมตัวกันเร็วค่า!”
เรื่องพิเศษมากๆ อย่างนั้นหรือ
แอนนี่มักจะนำข่าวใหม่และน่าสนใจมาบอกเสมอ ทั้งผู้ดูแลคฤหาสน์และสาวใช้ทั้งหมดที่กำลังทำงานอยู่ทุกซอกทุกมุมในคฤหาสน์จึงพากันชะโงกหน้ามาถาม
‘ท่านเคานต์ เคน และมิเอลที่ออกไปข้างนอกจะไปได้ยินข่าวของอาเรียจากที่ไหนกันนะ’
แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็คงมีปฏิกิริยาที่น่าสนุกอย่างไม่เคยได้เห็นมาก่อนให้ได้ชมกันแน่ๆ ล่ะ
เคาน์ติสฮัมเพลงแล้วหายเข้าห้องตนเองไปพร้อมกับความคิดที่ว่า ตนคงถึงคราวได้อวยยศอีกครั้ง จากโสเภณีเป็นเคาน์ติส และจากเคาน์ติสก็อาจได้เลื่อนเป็นมารดาของพระชายาในมกุฎราชกุมารอีกหน
……………………….