พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – ตอนที่ 149

ให้เมตตาอย่างนั้นหรือ

อาเรียขอร้องเขาให้เมตตากับมิเอล คนที่พยายามจะทำร้ายเธอและพยายามขายชาติทิ้ง ผู้คนที่ดูอยู่ต่างรู้สึกสับสนงงงวยราวกับว่าเธอพูดเรื่องน่าขันไร้สาระ แล้วโรฮันก็ถามพร้อมกับกลืนเสียงหัวเราะเบาๆ ของเขาลงไป

“เลดี้เสียสติไปแล้วใช่ไหมครับ”

มันเป็นวิธีพูดที่ค่อนข้างรุนแรง แต่ก็ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับเขา

และมิเอลที่ได้รับการปกป้องเองก็เช่นกัน ในที่สุดอาเรียก็มีโอกาสที่จะได้ตัดหัวมิเอลแท้ๆ แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมอาเรียถึงขอให้เขาเมตตาเธอ

ขณะเดียวกันอาซก็รับรู้ว่าอาเรียไม่ได้แค่สงสารมิเอลและขอให้เขาเมตตาเธอง่ายๆ เขาจึงถามเหตุผลเพื่อหาเจตนาที่แท้จริงของเธอ

“…ทำไมล่ะ”

“มิเอลยังเด็กอยู่เลย และเธอก็ยังตัดสินใจอะไรอย่างถูกต้องไม่ได้น่ะค่ะ อย่างที่ทุกคนรู้ว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นเด็กดี แต่น่าสงสารที่เธอถูกชักจูงไปในทางที่ผิดทั้งที่อายุน้อยแบบนี้ เธอยังเด็กเกินไปที่จะถูกลงโทษนะคะ เธอแค่หลงผิดไปเท่านั้นเองค่ะ ถ้าจะมีใครผิดละก็…”

อาเรียเอ่ยปากพูดราวกับความผิดของมิเอลเป็นความผิดของคนอื่น เธอหยุดพูดไปครู่หนึ่งและเช็ดน้ำตาที่ไม่ได้ไหลออกมา ให้เรียบร้อย

หลังจากนั้นอาซก็ถามสิ่งที่เธอต้องการจะพูดจริงๆ ราวกับกำลังรออยู่

“ถ้ามีใครผิดละก็”

“ก็คงเป็นฉันที่ไม่ดูแลมิเอลให้ดีตลอดช่วงที่ผ่านมาค่ะ น้องสาวของตัวเองเลือกไปเดินทางที่ผิด แต่ฉันผู้เป็นพี่สาวของเธอแท้ๆ ไม่สามารถห้ามเธอเอาไว้ได้น่ะค่ะ… เพราะอย่างนั้นได้โปรดเมตตามิเอลด้วยค่ะ ส่วนโทษที่เหลือขอให้ฉันได้เป็นคนรับไว้เองเถอะค่ะ”

“…!”

นี่เธอพูดเรื่องเพ้อเจ้ออะไรกัน เจ้าชายจะลงโทษอาเรียได้อย่างไร

ทันทีที่อาเรียพูดจบ สายตาทุกคู่ก็มารวมกันที่เดียว ที่นั่นก็คืออาซ

และอย่างที่พวกเขาคาดไว้ อาซขมวดคิ้วและแสดงท่าทีต่อต้านออกมา ต่อให้เธอบอกว่าเรื่องที่จะขอนั้นเป็นอีกเรื่อง เขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดีว่าทำไมเธอถึงพูดแบบนั้นกับเขา

“แล้วมิเอลก็ยังเด็กมาก เธอยังไม่รู้หรอกค่ะว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญ เธอลำดับความสำคัญไม่เป็นหรอกค่ะ ถึงเธอจะขายข้อมูล แต่มันก็ไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากขนาดนั้นด้วย ใช่ไหมคะ คุณโรฮัน”

คราวนี้ลูกศรนั้นหมุนกลับไปที่โรฮัน

ที่เธอพูดนั้นก็ถูก เพราะความจริงมันก็เป็นข้อมูลที่นอกจากความลับของอาซแล้วก็ไม่มีอะไรสำคัญ

ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจคำพูดของเธอที่ขอให้เมตตามิเอลในสถานการณ์ที่เหล่าขุนนางที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ถูกตั้งข้อหา และทั้งหมดจะถูกแขวนคอ

ยิ่งไปกว่านั้น ก็ใช่ว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกันเสียที่ไหน อาเรียกับมิเอลไม่ถูกกันราวกับจะฆ่ากันให้ตายเสียด้วยซ้ำ

โรฮันยกมุมปากของเขาขึ้นข้างหนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าอาเรียหมายความว่าอะไร ก่อนจะถามกลับว่าเธอหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า

“ที่พูดมานี่จริงจังหรือครับ”

“แน่นอนสิคะ ยิ่งกว่านั้นอย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่ามิเอลประสบกับความโชคร้ายต่างๆ มากมาย แล้วเธอก็ตกอยู่ในสภาวะวิตกกังวลทางจิตใจอย่างรุนแรงนะคะ ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของฉันด้วยค่ะ… ฉะนั้นคงจะต้องแบ่งโทษกันใช่ไหมล่ะคะ ฉันพูดถูกใช่ไหม มิเอล ใช่ไหม เธอแค่ทำในสิ่งที่ถูกสั่งให้ทำ เธอเผยข้อมูลเล็กน้อยเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบไหนอยู่ใช่ไหม”

มิเอลมองอาเรียที่กำลังปกป้องเธออย่างสุดกำลัง เธอกะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยาตอบกลับไปอย่างไรดี

ในดวงตาของเธอนั้น แม้จะปิดตามองข้างเดียวก็ยังเห็นถึงความรู้สึกสับสนงงงวยอยู่ในนั้น เธอสงสัยว่าอาเรียกำลังวางกับดักสมบูรณ์แบบอะไรเพื่อทำลายเธออีกหรือเปล่า

และท้ายที่สุดอาซก็ยอมถอยไปก้าวหนึ่ง เพราะเห็นแก่ความพยายามนั้นของอาเรีย

อาเรียพยายามขอร้องและโน้มน้าวถึงขนาดนั้นแล้ว เขาจะไม่รับฟังไว้ได้อย่างไรกัน แม้เขาจะสงสัยว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็ตั้งใจที่จะรับฟังคำขอเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ

“…ผมเข้าใจสิ่งที่เลดี้พูดดีครับ แต่ได้โปรดอย่ากังวลไปครับ เพราะเดี๋ยวทุกอย่างจะถูกเปิดเผยอย่างละเอียดผ่านการตรวจสอบและเอกสารของโรฮันครับ หากความผิดบาปของเลดี้มิเอลนั้นเล็กน้อยจริงๆ โทษของเธอก็คงจะเบาด้วยเหมือนกันครับ”

ในเมื่อเธอพูดต่อหน้าทุกคนถึงขนาดนี้แล้ว มันก็คงจะเป็นเรื่องยากที่จะลงโทษมิเอลด้วยโทษอันเหมาะสมต่อความผิดที่เธอกระทำลงไปจริงๆ

อาเรียกอดมิเอลด้วยใบหน้าดีใจ

“ถึงจะยังไม่รู้ว่าการพิพากษาจะเป็นอย่างไร แต่ก็ดีใจจังเลยเนอะ มิเอล ต่อจากนี้พี่สาวคนนี้จะจูงมือเธอ แล้วคอยบอกว่าอันไหนถูกอันไหนผิดเอง เธอจะได้ไปหลงไปเดินในทางอันตรายอีกไงล่ะ”

อาเรียพูดพร้อมกับมอบรอยยิ้มอันอ่อนโยนให้ ทันใดนั้นมิเอลก็รับรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอ เธอกลืนน้ำลายและเริ่มส่ายหัว

“มะ ไม่! นั่นมันเรื่องอะไร…!”

…จูงมือฉัน แล้วบอกว่าอันไหนผิดอันไหนถูกอย่างนั้นหรือ!

“ถ้าอย่างนั้นโปรดสำนึกผิดในสิ่งที่เธอทำมาจนกว่าจะถึงตอนที่คำพิพากษาออกมาด้วยนะ”

ก่อนที่มิเอลจะได้พูดอะไรออกมา อาเรียรีบมอบหมายมิเอลให้อัศวิน แล้วเฝ้าดูมิเอลที่ถูกลากไปอยู่ตรงบริเวณที่ห่างออกมาเล็กน้อย ด้วยรอยยิ้มของพี่สาวที่รักและเอ็นดูเธอมาก

“ฉะ ฉัน…!”

มิเอลถูกจับอยู่ในรถม้ากับไอซิส เธอพยายามร้องตะโกนอะไรสักอย่าง แต่ก็ได้แต่อ้าปากพะงาบอย่างไม่มีเสียงอะไรออกมาด้วยใบหน้าเป็นกังวล เพราะเธอรู้ตัวแล้วว่าตัวเองอยู่ในสภาพและสถานการณ์แบบไหน

เธอจะไปตอบโต้อะไรได้ ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ก็เห็นได้ชัดว่ามีแต่จะเสียเปรียบเท่านั้น

เนื่องจากเธอกล้าอยู่ติดกับกษัตริย์ของต่างอาณาจักรมานานและใกล้ชิดที่สุด หากเธอไม่รับความช่วยเหลือจากอาเรียละก็ มีความเป็นไปได้ว่าชีวิตของเธอจะต้องจบลงในลานประหาร

รถม้าที่บรรทุกเหล่านักโทษท่ามกลางความวุ่นวายที่ลานกว้างนั้น หายไปในทิศทางตรงกันข้ามกับราชวัง แล้วอาเรียก็เริ่มคุยกับอาซที่มีสีหน้าไม่พอใจอย่างบอกไม่ถูกในขณะที่พวกเขาทำให้ผู้คนที่มารวมตัวกันสลายตัว

“คุณจะกลับราชวังไหมคะ ถ้าเป็นไปได้ ฉันขอขึ้นรถม้าไปด้วยได้ไหมคะ”

อาซมีงานที่ต้องทำกองเป็นภูเขา เพราะเขาเพิ่งจับกุมเหล่าขุนนางจำนวนมาก ทำให้เขาต้องไปจัดเตรียมสถานที่แยกต่างหาก แต่เขาอยากคุยกับเธอให้เสร็จในระหว่างกลับราชวังมากกว่า

“ถ้าอย่างนั้นเราไปดื่มชาตรงแถวนี้กันดีกว่าไหมครับ ผมมีเวลาพอสำหรับดื่มชากับเลดี้ครับ”

ทว่าอาซอ่านความคิดของอาเรียและกลับเจียดเวลาที่ไม่ค่อยจะมีของเขาชวนเธอให้ไปดื่มชาด้วยกัน

“ฉันขอไปนั่งด้วยได้ไหม”

โรฮันยื่นหน้าเข้ามาเหมือนกับอยากจะฟังพวกเขาคุยกัน แต่ก่อนที่อาเรียจะตอบอะไรกลับไป อาซก็สกัดกั้นเขาอย่างเด็ดขาดด้วยคำตอบที่ฟังดูรำคาญ

“ไม่ได้ สิ่งที่นายต้องทำเสร็จมาแล้ว เพราะอย่างนั้นรีบกลับจักรวรรดิของนายไปเลย”

“…ทำเกินไปแล้วนะ ฉันอุตส่าห์สะบัดการล่อลวงของพวกกบฏออกได้อย่างเหน็ดเหนื่อย แล้วมาเป็นพวกของนายเลยนะ”

“อย่างนั้นหรือ ดูเหมือนนายคงจะรู้สึกเสียใจ แต่ก็คงไม่แย่นักถ้าเราจะทำลายสัญญาของเรา แล้วเริ่มสงครามกัน”

“สงครามอะไรกัน ฉันแค่อยากให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในอีกร้อยปีข้างหน้าต่างหาก ไม่สิ สองร้อยปีเลย ถ้าเป็นไปได้”

โรฮันตอบคำถามอันรุนแรงของอาซด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“ถ้าอยากให้เป็นอย่างนั้น ก็รีบกลับไปได้แล้ว”

“เข้าใจแล้วๆ …เดี๋ยวค่อยเจอกับเลดี้อาเรียในอนาคตเมื่อไรก็ได้ละนะ”

สุดท้ายโรฮันก็ทิ้งคำพูดที่แฝงความหมายลึกซึ้งเอาไว้ ก่อนจะขึ้นรถม้าแล้วจากไป ส่วนอาเรียก็เคลื่อนตัวไปกับอาซ

ฟลาวเวอร์เมาน์เทนเป็นที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนั่งแลกเปลี่ยนบทสนทนาสำคัญพลางจิบชาไปด้วย อาเรียจึงเข้าไปนั่งในห้องส่วนตัวของสถานที่นั้น แล้วเอ่ยปากถามอาซหลังจากสั่งน้ำเสร็จ

“สัญญาอะไรกันคะ คุณสัญญาอะไรกับคุณโรฮันไว้คะ”

เธอต้องพูดถึงเรื่องที่เธอปกป้องมิเอลก่อน แต่พอเขาเห็นสีหน้าสงสัยจนทนไม่ไหวของอาเรีย อาซก็ตอบเธอพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ

“ครับ ผมจะบอกเลดี้ เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องปิดบังจากเลดี้อยู่แล้ว ผมสัญญากับเขาว่าถ้าเขาช่วยเรื่องครั้งนี้ ผมสัญญาว่าจะรักษาสันติภาพกับราชอาณาจักรโครอาไปอีกห้าสิบปีครับ”

“…ห้าสิบปีหรือคะ แต่คุณก็ไม่ได้จะทำสงครามอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ”

เพราะเธอเห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ดูเป็นไปด้วยดี

อาซตอบเธอด้วยรอยยิ้มแบบที่เธอไม่เข้าใจความหมายของมัน

“ไม่รู้สิ ผมคงจะยืนยันไม่ได้หรอกครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนไหน ตอนนี้เราเป็นพันธมิตรกันก็จริง แต่ในอดีตมีสงครามอันยาวนานระหว่างอาณาจักรของเราที่ผู้คนจำนวนมากนับไม่ถ้วนถูกสังหารและดินแดนก็ถูกแย่งชิงไปน่ะครับ”

“…อย่างนั้นเองสินะคะ”

เขาถึงได้หวาดกลัว แล้วบอกว่าจะช่วยลงโทษพรรคขุนนางแลกกับสันติภาพและความสงบสุขสินะ ไม่ว่าสถานการณ์ภายในจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่อาณาจักรที่มีดินแดนและกองกำลังมากที่สุดก็คืออาณาจักรของเรา

“ถ้าอย่างนั้นก็ถึงตาของผมแล้วนะครับ ทำไมเลดี้ถึงบอกให้เมตตาเลดี้มิเอลกันล่ะครับ”

อาซถามพลางเหลือบมองนาฬิกา เพราะเขาเสียเวลาอันมีค่าไปกับการนัดหมายอันไร้ประโยชน์กับโรฮัน เขาดูเร่งรีบเล็กน้อย อาเรียจึงรีบตอบคำถามของเขาทันที

“ก็เพราะถ้าฉันปล่อยเธอไปทั้งอย่างนั้น เธอก็จะถูกแขวนคอประหารอย่างแน่นอนน่ะสิคะ”

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ต้องการหรือครับ”

เนื่องจากเขาได้ฟังเรื่องราวในอดีตจากอาเรียมาก่อนแล้ว อาซจึงถามเธอด้วยความสงสัย

“ถ้าพูดถึงตอนจบแล้วมันก็คงจะดีหรอกค่ะ แต่ว่าลองคิดดูดีๆ แล้ว ถ้าจะรีบปล่อยโอกาสที่ได้มาในครั้งนี้ไปง่ายๆ อย่างนั้น มันก็น่าเสียดายน่ะค่ะ”

“โอกาสหรือ…”

“ถ้าฉันพูดว่าการสลับหน้าที่กัน จะพอเข้าใจขึ้นมาบ้างไหมคะ”

สีหน้าของเธอที่ตอบออกมาเช่นนั้นดูชั่วร้ายขึ้นเป็นอย่างมาก เธอดูราวกับเด็กที่ได้ของเล่นที่อยากได้มาตลอดมาอยู่ในมือ สีหน้าของเธอดูเหมือนกำลังคิดอยู่ว่าจะเล่นกับของเล่นที่ชื่อมิเอลที่กำลังจะตกมาอยู่ในมือของเธออีกไม่นานอย่างไรดี

เธอจะรู้สึกอย่างไรกันนะ ถ้าถูกดูหมิ่นจากคนที่เธอเคยดูแคลนมาก่อนว่าเป็นคนชั้นต่ำ

“ฉะนั้นฉันก็เลยอยากให้คุณอาซมอบมิเอลให้ฉันน่ะค่ะ แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น เธอก็มีความผิดเกินกว่าจะไม่ชดใช้บาปใดๆ ที่เธอก่อ ฉะนั้นก็ควรลงโทษเธออย่างเหมาะสมด้วยเช่นกันนะคะ”

ราวกับว่าคำพูดนั้นของอาเรียเหมือนเป็นการบอกให้เขาส่งมิเอลให้เธอหลังจากที่เขาทำให้มิเอลทรมานและเจ็บปวดอย่างสาสมแล้ว จากนั้นอาซก็หรี่ตาลงครู่หนึ่ง

มันไม่ใช่ความรู้สึกปฏิเสธต่ออาเรียที่เผยให้เห็นถึงความโหดร้ายทารุณของเธอ แต่มันเป็นความประทับใจต่อเธอที่พยายามแก้แค้นด้วยการกัดไม่ปล่อยจนถึงที่สุด

และอาเรียก็รู้สึกได้ว่าอาซสนใจตัวเธอที่เป็นแบบนั้น และรู้ว่าเขาชอบ เธอจึงสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเธอได้โดยไม่ต้องลังเล

“เข้าใจแล้วครับ ดูเหมือนว่านอกจากเธอจะต้องชดใช้ความผิดบาปในอดีตแล้ว เธอยังต้องชดใช้ความผิดบาปในปัจจุบันในท้ายที่สุดด้วย ฉะนั้นผมจะทำตามที่เลดี้บอกครับ”

“ขอบคุณนะคะ”

อาเรียยิ้มอย่างสดใส ซึ่งเป็นยิ้มที่ไม่เข้ากับคนที่บอกว่าจะลงโทษและทรมานใครสักคน

หลังจากนั้นอาซก็กล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ

“พอเห็นเลดี้มีความสุขขนาดนี้แล้ว มันก็ทำให้ผมรู้สึกเสียดายที่ต้องกลับไปเลยนะครับ”

“ถ้าเช่นนั้นก็อยู่ต่ออีกสักหน่อย แล้วค่อยกลับสิคะ อยู่ทานมื้อกลางวันด้วยกันหน่อยไหมคะ”

เมื่ออาซจับได้ว่าเธอแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเขาทำเช่นนั้นไม่ได้ ความเสียดายก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของอาซมากกว่าเดิม

“…น่าโมโหจริงๆ ที่ผมทำเช่นนั้นไม่ได้”

“ช่วยไม่ได้นี่คะ คุณมีแต่จะต้องรีบกลับไปทำงานให้เสร็จเท่านั้นนะคะ”

แม้สิ่งที่เธอพูดจะเป็นเรื่องจริง แต่ความเสียดายของเขาก็ยังไม่หายไป อาเรียจึงกุมมือเขาไว้อย่างอ่อนโยน แล้วพูดให้กำลังใจเขา

“ถ้างานเสร็จหมดแล้ว พวกเราไปเที่ยวกันดีไหมคะ ฉันอยากไปทะเลน่ะค่ะ ถึงจะไกลออกไปสักหน่อย กับคุณอาซแค่สองคน”

สีหน้าของอาซดูมีแรงขึ้นมาทันที ด้วยฐานะตำแหน่งแล้ว เขาจะมีเหล่าคนรับใช้และเหล่าอัศวินจะติดตามโดยอัตโนมัติ เขาจึงรู้ว่าเขาไม่สามารถไปเที่ยวกันเพียงลำพังได้ แต่ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่สามารถซ่อนความต้องการต่อคำชวนลับๆ ของอาเรียได้

“…ต้องรีบทำงานให้เสร็จไวๆ แล้วสินะครับ”

“ฉันจะรอนะคะ”

ในตอนที่เธอกำลังจะลุกขึ้นจากที่นั่ง ทิ้งชาที่ยังเหลืออยู่ปริมาณมากไว้ เพราะเธอเพิ่งดื่มไปเพียงนิดเดียวนั้นเอง

ทันใดนั้นอาซก็หยุดฝีเท้าที่ค่อยๆ ก้าวไปยังประตู

“…เลดี้อาเรีย”

เขาเรียกชื่ออาเรียด้วยเสียงที่เบาลงเล็กน้อย ในเสียงที่แปลกแต่ฟังดูคุ้นเคยนั้น อาเรียก็พอเดาได้ว่าอาซจะพูดอะไรต่อไป เธอจึงค่อยๆ หันไปสบตากับเขา

“คะ”

“…ผมขอประทับจูบไว้ได้ไหมครับ”

อาเรียมองไปที่อาซอย่างใจลอย โดยที่ไม่ตอบกลับคำพูดอันตรงไปตรงมาของเขาไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเขาพร้อมกับโค้งรูปตาของเธอเล็กน้อย

“ตอนที่คุณอยากทำ คุณก็ทำตามอำเภอใจ แต่คราวนี้จะมาขออนุญาตกันสินะคะ”

“…ก็ตอนนั้นหัวใจผมต้องการขึ้นมาโดยที่ผมก็ไม่รู้ตัว ผมก็เลยทำเช่นนั้น ผมก็เลยกังวลว่าเลดี้จะโกรธผมน่ะครับ”

เขาพูดอย่างระมัดระวังราวกับพูดออกมาจากใจจริง

จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร เธอตกใจนิดหน่อย แต่แทนที่เธอจะโกรธ เธอกลับใจเต้นรัวตลอดทั้งคืนขนาดที่เธอไม่สามารถควบคุมมันได้

“ไม่เลยค่ะ ฉันแค่ตกใจเท่านั้นเองค่ะ”

ทันทีที่อาเรียตอบเช่นนั้น ความกังวลของเขาก็คลายลง เขายกมือขึ้นมาวางลงบนแก้มอันนุ่มนวลของอาเรีย

“ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ผมจะทำตามใจผมแล้วนะครับ”

อาซประทับริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากของเธอทันที โดยไม่ได้รอฟังคำตอบของเธอ ราวกับว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะทำเช่นนั้นอยู่ดี

…………………………………………..

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

เมื่อมารดาที่เป็นโสเภณีได้แต่งงานกับท่านเคานต์ อาเรียจึงได้ยกระดับฐานะทางสังคมอย่างรวดเร็ว เธอใช้ชีวิตอย่างหรูหราอู้ฟู่ ก่อนจะตกหลุมพลางของมิเอล น้องสาวบุญธรรม และถูกฆ่าตายท่ามกลางสายตาเย็นชาและคำเยาะเย้ยถากถาง ทันใดนั้น นาฬิกาทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับภาพลวงตา และเธอก็ได้ย้อนเวลากลับมาอย่างปาฏิหาริย์…! “ข้าอยากเป็นผู้ที่งามสง่าเหมือนกับมิเอล น้องสาวของข้า” เพื่อต่อกรกับนางร้าย เธอจึงต้องร้ายยิ่งกว่า! เธอเลือกเส้นทางชีวิตใหม่เพื่อแก้แค้นคนที่บีบให้เธอเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย! เรื่องราวของนางร้ายที่ร้ายยิ่งกว่านางร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับการแก้แค้นอันซับซ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในความงดงามที่อันตราย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset