อย่างที่คารินพูดเอาไว้ว่าจำเป็นต้องจัดการเรื่องสำมะโนครัวให้เรียบร้อย และถึงแม้ว่าคารินจะไม่แต่งงานใหม่ การเข้าไปเป็นหลานสาวของมาร์ควิสเปียสต์เพื่อหลายๆ อย่างในอนาคตก็ย่อมดีกว่าการใช้ชีวิตเป็นสามัญชนต่อไปแบบนี้อยู่แล้ว
แน่นอนแม้ว่าอาเรียจะใช้ชีวิตในฐานะสามัญก็ตาม แต่เธอจะไม่ถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกดูหมิ่นเพราะเรื่องชนชั้นแน่ๆ แต่ถ้าคิดถึงเรื่องของอนาคตในวันข้างหน้าแล้ว การทำแบบนั้นก็ดูจะมีประโยชน์มากกว่า
เพราะอย่างไรเลดี้ของมาร์ควิสจากอาณาจักรต่างแดนก็ย่อมดีกว่าพระชายาที่มีพื้นเพมาจากชนชั้นสามัญชน
อย่างนั้นแล้วหากไปอาณาจักรโครอาและจัดการเรื่องชนชั้นให้เรียบร้อยแล้วกลับมาก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ถ้าแค่นั้นละก็คงจะใช้เวลาไม่นานนัก และคุณอาซเองก็คงจะเข้าใจ อาเรียคิดเช่นนั้น
‘อะไรที่เป็นประโยชน์ก็ควรจะใช้ประโยชน์เอาไว้ดีกว่า’
เพราะคารินก็ได้ตัดสินใจที่จะแต่งงานใหม่ไปแล้ว อย่างไรเสียอาเรียก็จำเป็นต้องไปที่อาณาจักรโครอาเพื่อเข้าร่วมพิธีอยู่ดี อาเรียจึงได้ข้อสรุปว่าเธอจะแก้ปัญหาให้เสร็จโดยเร็วในระหว่างนั้น ในขณะที่ตัดสินใจได้แล้วอาเรียก็ได้ยินเสียงรถม้าดังมาจากนอกหน้าต่าง เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว
“เอ๊ะ เลดี้คะ จะออกไปทั้งอย่างนั้นเลยหรือคะ”
เนื่องจากอาเรียได้เรียกสาวใช้เข้ามาอีกครั้งให้ช่วยเธอแต่งตัวให้เสร็จเรียบร้อย แอนนี่จึงถามอาเรียราวกับสงสัย เจสซี่เองก็รับรู้ถึงความตั้งใจของอาเรียที่จะแต่งตัวให้เรียบร้อย จึงทำหน้าเสียดายออกมานิดหน่อย สาวใช้คนอื่นก็เช่นกัน
“ไม่มีเวลาแล้วน่ะ ดูเหมือนคุณอาซก็ใกล้จะมาถึงแล้วด้วย”
อาเรียตอบออกไปตามปกติ เพราะอย่างไรเธอก็วุ่นวายกับการเตรียมตัวตั้งแต่เช้าแล้ว สิ่งที่ยังเหลือก็มีเพียงแค่หวีผมอีกหน่อยหรือไม่ก็หาเครื่องประดับที่ดูเข้ากันมาสวมใส่เท่านั้น
แต่ตอนนี้เธอไม่ควรจะมาเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระแบบนั้น เพราะเธอมีเรื่องสำคัญที่จะต้องคุยกับอาซนั่นเอง
“แต่ถึงอย่างนั้น…”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า”
“…เข้าใจแล้วค่ะ เลดี้”
แม้รถม้าจะยังไม่มาถึง แต่อาเรียก็มุ่งไปที่ชั้นล่างด้วยฝีเท้าอันเร่งรีบ แล้วเธอก็ได้เห็นรถม้าของอาซสะท้อนแสงแดดวิ่งเข้ามาในเขตคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว
เพราะในวันนี้เขาก็ยังคงนั่งรถม้าหรูเป็นประกายแสบตามาหาอาเรีย สาวใช้ที่ตามอาเรียมาจึงสลัดสีหน้าแห่งความเสียดายออกไปอย่างรวดเร็วและยิ้มพริ้มเพราออกมา
“ออกมาต้อนรับผมสินะครับ”
จากนั้นรถม้าของอาซก็มาถึง เมื่อเห็นอาเรียออกมารอรับตนอยู่ อาซก็ยิ้มไปทั้งใบหน้าราวกับเป็นสุขใจ รอยยิ้มอันเบิกบานราวกับไม่มีสิ่งใดเป็นกังวลอีกต่อไป
“…สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะครับ มีเรื่องกลุ้มใจอะไรรึเปล่าครับ”
“คะ จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
ทว่าอาซก็ย่นคิ้วขึ้นมา เขาสังเกตได้ในทันทีว่าสีหน้าของอาเรียต่างไปจากปกติ แม้อาเรียจะตอบว่าไม่มีอะไรแต่เขาก็รู้ว่านั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรซะทีเดียว
“…อย่างนั้นเองเหรอครับ”
อาเรียปฏิเสธแล้วอาซก็ยื่นมือให้เธอ เขาตอบออกไปราวกับเชื่อที่เธอพูดแต่หน้าตาของเขากำลังบอกว่าจะถามถึงเหตุผลที่แท้จริงในภายหลัง จากนั้นอาเรียก็จับมืออาซและขึ้นไปยังรถม้าด้วยการดูแลของเขา
รถม้าเคลื่อนที่ไปอย่างนุ่มนวลและระมัดระวังต่างจากตอนมาที่คฤหาสน์ ดูเหมือนการที่รถม้าเคลื่อนไปอย่างช้าๆ นั้น เป็นเพราะความตั้งใจของคนขี่ม้าที่อยากให้ทั้งสองคนซึ่งไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลานานได้พูดคุยกันอย่างเต็มที่
“อากาศดีจังเลยนะครับ”
“นั่นสินะคะ”
“ทางเราได้จัดสรรที่ดินว่างเปล่าให้กับขุนนางใหม่ๆ แล้วครับ ในบรรดาพวกเขามีคนที่เพิ่งจะได้รับที่ดินไปดูแลเป็นครั้งแรกด้วย ผมเลยคิดจะส่งคนที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ไปช่วยให้คำปรึกษาอีกครั้ง”
“อย่างนั้นเหรอคะ โล่งอกจังเลยค่ะ ที่งานเสร็จไวกว่าที่คิด”
“ใช่ไหมล่ะครับ นั่นเป็นเพราะความช่วยเหลือของเลดี้บวกกับที่ผมเองก็มีคนที่คิดเอาไว้แล้วด้วยนั่นแหละครับ รู้สึกโล่งอกมากๆ เลยครับที่มันเสร็จสิ้นก่อนฤดูใบไม้ร่วงจะมาถึง”
“นั่นสินะคะ”
“ครับ”
ทว่าบรรยากาศภายในรถม้ากลับดูอึดอัดเป็นอย่างมากต่างไปจากความตั้งใจของคนขับรถม้า นั่นเป็นเพราะอาซกำลังคอยให้อาเรียเล่าเรื่องที่เธอปิดบังเขาออกมา ส่วนอาเรียก็กำลังครุ่นคิดว่าจะเริ่มพูดมันออกมาอย่างไรดี
“…”
“…”
ในที่สุดบทสนทนาก็ไม่ดำเนินต่อไป รถม้าถูกปกคลุมด้วยความเงียบ อาเรียจึงกะจังหวะและค่อยๆ พูดออกมาอย่างระมัดระวัง
“ดูเหมือนฉันต้องไปที่โครอาค่ะ”
“…”
คำพูดนั้นทำเอาอาซกลืนลมหายใจกลับเข้าไป หน้าตาของเขากำลังแสดงออกมาว่าได้โปรดขออย่าให้เป็นเรื่องนั้นเลย แต่เพราะไม่สามารถพูดออกไปเช่นนั้นได้ อาซจึงปิดปากแน่นและพยักหน้าในทันที ในเมื่อเธอได้เจอพ่อที่แท้จริงแล้ว อย่างไรเธอก็ต้องได้ไปที่นั่นในวันใดวันหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
แม้จะยอมรับแต่ใจจริงของอาซนั้นเศร้าไม่น้อย สีหน้าของอาซดูเศร้าหมองเป็นอย่างมาก
“ท่านแม่จะแต่งงานใหม่น่ะค่ะ ฉันจะเข้าร่วมงานแต่งงานแล้วรีบกลับมาค่ะ เพราะฉันมีเรื่องจะต้องทำอยู่มากมาย ยังไงก็ไปอยู่ที่โครอาได้ไม่นานหรอกนี่คะ”
อาเรียพยายามเพิ่มข้อแก้ต่างเข้าไป แต่นั่นก็ถือเป็นความจริงด้วย
หากนับเวลาในอดีตช่วงก่อนจะย้อนเวลากลับมาก็ถือว่าพวกเขาเป็นญาติที่เธอไม่เคยได้เจอหน้าเป็นระยะเวลามากกว่าสามสิบปี นั่นจึงไม่มีเหตุผลอะไรให้เธอต้องอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานเลย แค่ทักทายกันพอเป็นพิธีก็คงจะเพียงพอแล้ว อาเรียคิดเช่นนั้น
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีครับ”
แต่ดูเหมือนอาซจะไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย เขาตอบกลับด้วยคำที่ดูมีความหมายลึกซึ้ง ดูเหมือนอาซกำลังจินตนาการถึงสถานการณ์ที่แม้อาเรียจะตั้งใจทำแบบนั้น แต่มันก็จะไม่เป็นไปตามที่เธอคิด
“ฉะนั้นแล้วขอคุณอาซอย่าได้กังวลใจไปเลยค่ะ ฉันแค่อยากให้คุณอาซเตรียมของขวัญสำหรับการฉลองการเป็นผู้ใหญ่ของฉันมากกว่า เพราะอีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดครบรอบสิบแปดปีของฉันแล้วน่ะค่ะ”
อาเรียจับมืออาซพร้อมกับยิ้มอ่อนโยนและเปลี่ยนเรื่องคุย วันเกิดปีที่สิบแปดของเธอ เป็นวันที่เธอจะได้หลุดพ้นจากข้อบังคับและเป็นอิสระเสียที อีกทั้งยังเป็นวันที่อาซและอาเรียตั้งหน้าตั้งตารอคอยด้วย
“ฉันอยากให้เตรียมสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆ เอาไว้ค่ะ ของขวัญอันยอดเยี่ยมที่จะทำให้คุณอาซลืมทุกสถานการณ์ที่เป็นกังวลไปค่ะ”
หลังจากคลายความกังวลของอาซแล้ว อาเรียก็พูดถึงของขวัญอันเหลือพรรณนาออกมาเป็นนัย จากนั้นอาซก็ตกใจจนพูดไม่ออก เขาจ้องอาเรียเขม็งอย่างกับว่าก่อนหน้านี้ตนเองไม่ได้ทำหน้าเศร้าหมองออกมาเลย
หน้าของเขากำลังบอกว่าไม่เคยคิดเลยว่าอาเรียจะเป็นคนพูดถึงเรื่องนั้นออกมาก่อน เมื่อเห็นอาซแสดงท่าทีที่เธอหวังไว้ออกมา อาเรียก็กลั้นหัวเราะและพูดต่อไปว่า
“แม้ก่อนหน้านี้ฉันจะเคยพูดไปแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม แต่ฉันกำลังเฝ้ารอของขวัญที่หรูหราและยิ่งใหญ่อยู่นะคะ หรูหรายิ่งกว่ารถม้าคันนี้ด้วยค่ะ”
ในที่สุดก่อนที่จะพูดจบอาเรียก็จับมืออาซแน่นขึ้น ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีฟ้าคราม และปลายหูก็แดงเรื่อขึ้นมา
‘ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังกังวลราวกับโลกจะแตกอยู่เลยแท้ๆ’
อาเรียรู้สึกพอใจเมื่อได้เห็นเขาแสดงท่าทีที่หวั่นไหวเพียงเพราะคำคำเดียวออกมาตรงๆ เธอหัวเราะออกมาเล็กน้อย ในตอนนั้นเองที่อาซตั้งสติขึ้นมาได้ เขาจูบลงบนมือของอาเรียที่จับเอาไว้และตอบว่า
“…ผมจะเตรียมของขวัญที่รถม้าคันนี้ไม่มีทางเทียบได้เอาไว้เลยครับ”
“ฉันจะรอนะคะ”
เป็นแบบนั้นจริงๆ เธอพูดออกมาด้วยความจริงใจ เธอกำลังคาดหวังกับของขวัญที่อาซจะให้มากยิ่งกว่าการได้พบหน้าคนในตระกูลที่ไม่เคยเจอมาเป็นเวลาสามสิบปีเสียอีก เพราะเดิมทีที่ตัดสินใจออกเดินทางไปที่นั่นก็เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับอาซอย่างมีความสุขนั่นเอง
และตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ อาเรียไม่เคยได้สัมผัสถึงความรักของครอบครัวหรือญาติพี่น้องเลย เธอจึงเชื่อว่าตนเองจะสามารถกลับมาได้อย่างรวดเร็วหลังจากทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นไปอย่างเรียบง่าย
***
วันออกเดินทางไปอาณาจักรโครอามาถึงไวกว่าที่คิด มันเร็วเหมือนกับว่าทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้หมดแล้ว ราวกับว่าทุกอย่างถูกตัดสินใจเอาไว้หมดแล้วรวมทั้งกำหนดวันเวลาเอาไว้แต่แรกแล้วจึงบอกกับอาเรียในภายหลัง
มันเป็นเรื่องที่สามารถคาดเดาได้อยู่แล้ว อาเรียจึงไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด และคารินก็มักจะเป็นแบบนั้นมาตลอด เพียงแค่เธอต้องปลอบอาซอยู่หลายครั้งเพราะเขาเอาแต่เศร้าและโอดครวญว่านั่นไม่เร็วไปหน่อยหรือ
วันเดินทาง
“ที่จริงแล้วผมสมควรจะไปด้วยนะครับ…ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ผมจะภาวนาขอให้เดินทางกลับมาอย่างปลอดภัยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ เจ้าชาย”
คารินตอบออกมาอย่างตะกุกตะกักเมื่อมกุฎราชกุมารมาส่งเธอ และในขณะเดียวกันเหล่าทหารที่อาซส่งไปติดตามอาเรียและคารินก็โค้งศีรษะแสดงความเคารพออกมาด้วย และข้ารับใช้ที่เขาส่งไปติดตามก็ทำเช่นเดียวกัน
ทั้งที่ทหารและข้ารับใช้ที่ถูกส่งมาจากตระกูลเปียสต์นั้นมีจำนวนมากพออยู่แล้ว หากรวมกับคนที่อาซส่งมาด้วยความเป็นห่วงแล้วละก็ ถือเป็นขบวนเดินทางที่ยิ่งใหญ่จนเรียกได้ว่าเป็นขบวนของคณะทูตจากประเทศหนึ่งก็ยังได้
“แล้วฉันจะรีบกลับมานะคะ อย่าเป็นกังวลไปเลยค่ะ”
ก่อนจะขึ้นรถม้า อาเรียเดินเข้าไปใกล้อาซที่ทำหน้าเศร้าหมองและจับมือของเขาไว้ แต่เพราะความกังวลของเขายังไม่หายไป เธอจึงเขย่งเท้าและหอมแก้มอาซอย่างแผ่วเบา
“…! “
เพราะอาเรียมักจะไม่ทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าทุกคน อาซจึงตกใจและกุมแก้มตัวเองไว้พร้อมกับจ้องอาเรีย
“ขอคุณอาซอย่าได้เป็นกังวล และฉันหวังว่าท่านจะเตรียมสิ่งที่ฉันขอร้องเอาไว้ให้นะคะ”
ในเมื่ออาเรียทำถึงขนาดนี้แล้ว จะให้เขาทำหน้าเศร้าหมองต่อไปได้อย่างไรเล่า แต่กระนั้นอาซก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่ เขาถอนหายใจออกมาสั้นๆ และกอดอาเรียเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างเต็มแรงและสัญญาว่าจะทำเช่นนั้น
***
“ทำไมถึงโรแมนติกได้ขนาดนั้นกันคะ…! หากบารอนเวอร์บูมดูและเรียนรู้เอาไว้บ้างก็คงจะดีสิคะ”
ภายในรถม้าที่เริ่มวิ่งออกไปอย่างเต็มแรงนั้น แอนนี่นึกถึงภาพตอนที่อาซกอดอาเรียไว้ในอ้อมอกและแสดงความประทับใจออกมาไม่รู้กี่ครั้ง
เพราะต้องเดินทางไกลอาเรียจึงแยกกับคารินและนั่งรถม้าคนละคัน แต่กลายเป็นว่าสาวใช้ที่ควรจะดูแลให้ความสะดวกสบายแก่เจ้านายกลับทำให้เจ้านายรำคาญใจเสียได้ อาเรียปิดหนังสือที่อ่านลงไปและตอบกลับไปอย่างรำคาญ
“ยังไงฉันก็มีเจสซี่อยู่แล้ว เธอไม่จำเป็นต้องมาด้วยก็ได้นะแอนนี่”
“เลดี้ออกเดินทางตั้งไกล จะให้ฉันรออยู่ได้อย่างไรล่ะคะ!”
“แต่ในระหว่างนั้นเธอจะไม่ได้เจอบารอนเวอร์บูมเลยนี่นา”
ถึงจะเป็นการไปกลับในเวลาเพียงไม่นาน แต่เพราะต้องข้ามเขตชายแดนไป แน่นอนว่านั่นต้องกินเวลาไปไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือนแน่ๆ เมื่อได้ยินดังนั้นแอนนี่ก็ลู่หางคิ้วลงต่ำราวกับเสียใจเอามากๆ และพูดเสียงสูงขึ้นมาว่า
“เลดี้…! ทำไมถึงพูดแบบนั้นออกมาเล่าคะ! ฉันชอบเลดี้มากกว่าบารอนเวอร์บูมอีกนะคะ! ”
“…โอเค ฉันเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้นช่วยเดินทางไปแบบเงียบๆ ทีเถอะ”
แม้อาเรียจะตอบกลับไปอย่างรำคาญใจ แต่แอนนี่ก็ยังพูดจ้อเรื่องอาซอยู่อีกพักใหญ่ แม้ว่าอาเรียได้พูดเตือนเธออย่างเย็นชาอยู่หลายครั้ง แต่นั่นก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
นอกจากเรื่องอาซแล้วเธอยังเปลี่ยนมาพูดยกย่องอาเรียที่จะได้กลายเป็นเลดี้ในตระกูลของมาร์ควิสและเป็นพระชายาในอีกไม่ช้า และนั่นทำให้อาเรียทนรำคาญไม่ไหวถึงขนาดต้องย้ายไปนั่งรถม้าคันเดียวกับคารินในที่สุด
ต่างไปจากตอนเดินทางสองคนกับอาซ เพราะไม่สามารถใช้พลังได้ อีกทั้งจำนวนคนที่มีอยู่มากมาย จึงใช้เวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์กว่าจะเดินทางถึงอาณาจักรโครอา
ต่อมาหลังจากมาถึงคฤหาสน์ของตระกูลเปียสต์ โคลอีก็ออกมาต้อนรับคารินที่ลงมาจากรถม้า
“คาริน! เดินทางมาตั้งไกลเหนื่อยแย่เลยนะครับ ผมขอโทษจริงๆ ที่ไม่ได้พาคุณมาด้วยตัวเอง”
“อะไรกันคะ ก็คุณต้องยุ่งอยู่กับการเตรียมการมากมาย จะให้คุณเดินทางไปกลับไกลๆ แบบนั้นได้อย่างไรล่ะคะ”
คารินตอบโคลอีออกไปด้วยใบหน้าผุดผ่อง เธอมองไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ปรากฏอยู่เบื้องหลังเขา และแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยพร้อมกับกลืนน้ำลาย
และอาเรียที่ลงมาจากรถม้าต่อจากคารินก็เช่นกัน ทั้งที่เป็นเพียงมาร์ควิสของอาณาจักรเล็กๆ เท่านั้น แต่ทำไมถึงได้มีคฤหาสน์ที่ยิ่งใหญ่ได้ถึงเพียงนี้กันนะ สภาพของมันเทียบได้กับคฤหาสน์ของดยุคเฟรดเดอริกในอดีตเลยทีเดียว
“เชิญครับ ผมกำลังคอยอยู่เลย”
ในขณะที่อาเรียและคารินกำลังประทับใจกับสภาพคฤหาสน์และเงียบอยู่นั้น มาร์ควิสเปียสต์และไวโอเล็ตภรรยาของเขาที่อยู่ข้างหลังโคลอีก็เดินออกมาช้าๆ
“เด็กคนนี้…คืออาเรียสินะคะ ลูกของโคลอี…”
ไวโอเล็ตทำหน้าประทับใจราวกับจะร้องไห้ออกมาเมื่อได้เห็นอาเรียเป็นครั้งแรก ต่างจากมาร์ควิสเปียสต์ที่เคยเจออาเรียมาแล้วครั้งหนึ่ง สีหน้านั้นดูไม่เข้ากับสุภาพสตรีผู้สง่างามที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมาชิกของราชวงศ์เลย
เพราะอย่างนั้น อาเรียจึงพูดไม่ออกได้แต่จ้องมองไวโอเล็ตกลับไป ไม่มีเวลาให้เธอได้ตกใจที่ได้รู้ว่าผู้ชายที่เธอเคยเจอในฐานะคนรู้จักของวิการ์คือมาร์ควิสเปียสต์ด้วยซ้ำ
ทำไมถึงได้มองมาที่ตนพร้อมกับสีหน้าประทับใจและเศร้าสร้อยได้ขนาดนั้นกันนะ นั่นเป็นสีหน้าที่อาเรียไม่คุ้นเคยมาก่อนเลย
“ถ้าไม่ว่าอะไร…ฉันขอ…ขอจับมือหน่อยจะได้ไหม…”
ไวโอเล็ตเดินเข้ามาใกล้อาเรียและถามออกมาอย่างระมัดระวัง แค่ขอจับมือเท่านั้น ทำไมถึงต้องรวบรวมความกล้าแล้วถามออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตด้วยนะ
“ได้สิคะ”
อาเรียพยักหน้านิ่งๆ จากนั้นไวโอเล็ตก็ยื่นมือที่สั่นเล็กน้อยมาจับมืออาเรียไว้
“มือนุ่มอะไรอย่างนี้…มีหลานสาวที่สวยขนาดนี้อยู่แท้ๆ แต่ที่ผ่านมาฉันกลับใช้ชีวิตอย่างไม่รู้อะไรเลย…ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้นะ…! ”
จากนั้นไวโอเล็ตก็ร้องไห้ เธอยกมือของอาเรียที่จับไว้มาแตะที่แก้มตัวเอง สีหน้าแบบนั้นของไวโอเล็ตทำให้อาเรียรู้สึกแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เป็นความรู้สึกที่แปลกเอามากๆ จนอาเรียย่นคิ้วออกมาเล็กน้อยและพูดอะไรไม่ออก
……………………………………….