อาเรียได้แต่กะพริบตาปริบๆ ราวกับไม่เชื่อว่าอาซจะมาหาด้วยตัวเองแม้เขาจะอยู่ตรงหน้า ราวกับเห็นภาพลวงตาทำให้หันไปมองทางอื่นไม่ได้อยู่พักใหญ่
เพราะดูจากระยะทางแล้วหากเริ่มออกเดินทางหลังจากจดหมายไปถึงก็หมายความว่าเขาเดินทางมาตลอดเวลาไม่ได้พักผ่อนเลยแม้แต่นิด
และเขาไม่มีทางรู้ก่อนอยู่แล้วว่าเธอจะไม่กลับ ฉะนั้นหนทางจึงเหลืออยู่แค่อย่างเดียว
ก็คือการใช้พลังตัวเองจากราชอาณาจักรมายังโครอา
หากดูจากที่ไม่มีข้ารับใช้ติดตามมาสักคน และในมือยังมีแค่ช่อดอกไม้ช่อใหญ่แต่ดูเรียบง่ายอยู่อีกช่อ ก็คงต้องคิดอย่างนั้น
หลังจากที่อาเรียเข้าใจทุกอย่างแล้วจึงได้แต่เบิกตาโตพลางเข้าไปถามไถ่อาซ
“เอ่อ คุณอาซ ตัวท่าน เป็นอะไรไหมคะ!”
ทำไมทำอะไรมุทะลุแบบนี้ล่ะ
อาซเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้สีหน้าของอาเรีย จึงยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางตอบด้วยสีหน้าราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ผมไม่เป็นอะไรอยู่แล้วครับ …. ตอนนี้น่ะครับ”
“ตายจริง…!”
ตอนนี้ อย่างนั้นเหรอ! ถ้าอย่างนั้นก็คงหมายความว่าต่อไปจะเป็นอะไรอย่างนั้นเหรอ!
อาเรียไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอย่างไร ได้แต่แสดงสีหน้าตกใจทั้งที่มือยังปิดปากอยู่
ในระหว่างนั้นอาซก็นำช่อดอกไม้ส่งให้แอนนี่ ในที่สุดมือของเขาก็เบาลงจึงยื่นมือไปหาอาเรียที่ยังตกใจจนไม่รู้จะแสดงอาการโต้ตอบอย่างไร
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แถมยังไม่ใส่ใจร่างกายตัวเองแบบนี้ฉันรู้สึกไม่ดีนะคะ วิ่งมาไกลเลยไม่ใช่เหรอคะ”
“นี่ไม่ใช่เวลาที่จะพูดอะไรแบบนั้นนะครับ…!”
“แล้วก็อย่างไรเสียก็มาถึงที่นี่แล้ว มันก็ทำอะไรไม่ได้แล้วสินะ หรือจะให้ผมกลับไปอีกครั้งดีไหมครับ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีพลังเหลือพอที่จะทำเช่นนั้นแล้วล่ะครับ ทำอย่างไรดีล่ะ”
ช่างหน้าไม่อายเสียจริง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าจะต้องเป็นห่วง แต่ยังพูดว่ากลับไปไม่ได้ด้วยสีหน้าอมยิ้มเช่นนั้นอีก ผู้หญิงที่ไหนจะบ่นต่อได้อีกนะ
“…”
อาเรียขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับหันไปมองอาซ จากนั้นจึงถอนหายใจเบาๆ พลางยื่นมือไปจับมือของเขา
ทั้งมือคู่นั้นและสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่จะคิดบัญชีความผิดของอาซภายหลัง ความรู้สึกที่เหมือนจะไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
“ได้จับมือฉันแบบนี้ ชอบฉันขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าอาซจะสนุกจนรอยยิ้มถูกแต่งแต้มไปอีกขั้นแล้ว ไม่มีข้อตำหนิใดๆ เกี่ยวกับอาเรียที่ไม่ยอมกลับไปยังราชอาณาจักรในวันเกิด
“ไม่นานมานี้ฉันลองเปรียบเทียบคุณอาซจากตอนที่ได้พบกันครั้งแรกแล้ว ท่านดูต่างออกไปจากเดิมมากเลยนะคะ ไม่รู้ว่าเลยว่าความจริงแล้วจะเป็นคนแบบนี้”
“ผมเป็นแบบนี้ก็แค่กับเลดี้นั่นแหละครับ ไม่ชอบเหรอ”
“…”
มีหรือจะไม่ชอบคนรักที่อ่อนโยนกับแค่ตัวเอง อาเรียไม่ตอบอะไรส่วนอาซก็ได้แต่ยิ้มทั้งที่ยังมองมาที่ตัวเอง น่าหมั่นไส้ไม่น้อย แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่น่ารักมากเช่นกัน
แม้จะไม่ต้องทำแบบนั้นก็ยังถูกตกเป็นจุดสนใจอยู่ดี อาเรียที่ทนเห็นสภาพนี้ของอาซไม่ได้จึงจูงมือเขาไปหาไวโอเล็ต
“จะแนะนำให้รู้จักนะคะ น่าจะเพิ่งพบกันครั้งแรกใช่ไหมคะ นี่ไวโอเล็ตค่ะ คุณย่าของฉันเอง”
“ยินดีที่ได้พบนะครับ มาร์เชอเนสเปียสต์”
อาซลบรอยยิ้มที่ทะเล้นของตัวเองหันไปทักทายอย่างสุภาพ แม้เขาจะมีตำแหน่งสูงกว่าแต่เพราะหล่อนเป็นคุณย่าของอาเรียจึงไม่วางคำพูด
แม้จะรู้ข่าวลือของตัวเองแต่ก็ยังไม่สนใจเรื่องพวกนั้น อาซที่แสดงความเคารพด้วยท่าทางสุภาพเพียงเพราะหล่อนเป็นครอบครัวของคนรักทำให้ไวโอเล็ตแก้มแดงก่ำพลางทักทายตอบ
“…เดินทางมาไกลเช่นนี้คงจะลำบากมากเลย พักผ่อนได้ตามสบายเลยนะคะ”
“ขอบคุณครับ มาร์เชอเนส แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพักผ่อนในคฤหาสน์ที่สวยงามเช่นนี้ได้อย่างไรนะครับ เพราะแค่เดินดูก็คงใช้เวลาหลายวันแน่เลยล่ะครับ”
และท่าทางเช่นนั้นของอาซเพียงพอที่จะเพลาความโกรธของอาเรียได้อยู่ จะไม่รู้สึกดีได้อย่างไร ในเมื่อขนาดคนในครอบครัวของเธอเองเขายังปฏิบัติตัวอย่างสุภาพขนาดนั้น
หลังจากนั้นอาซจึงทักทายและพูดคุยกับมาร์ควิสเปียสต์ คาริน และโคลอี ทำให้คนในครอบครัวอาเรียรู้สึกดีกับเขามากขึ้น
แม้จะไม่จำเป็นต้องทำคะแนนด้วยซ้ำ แต่อาซยังพยายามสร้างความสัมพันธ์กับเครือญาติทางครอบครัวอาเรียอย่างเต็มที่
ด้วยความเป็นมิตรและความอ่อนโยนทำให้บรรดาผู้คนที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงเริ่มมุ่งความสนใจไปรวมตัวกันอยู่รอบๆ อาซ เพราะไม่สามารถทิ้งโอกาสที่จะได้พบองค์รัชทายาทแห่งราชอาณาจักร
“จัดการกลุ่มกบฏที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้อยู่หมัด ช่างสุดยอดจริงๆ ครับ”
“ทุกอย่างเป็นเพราะความช่วยเหลือของเลดี้อาเรียน่ะครับ หากไม่ได้เลดี้อาเรียคอยช่วยก็ทำไม่สำเร็จหรอกครับ”
“อ้อ จะว่าไปได้ข่าวว่าเพราะอิทธิพลของเลดี้เปียสต์คนใหม่ทำให้ตำแหน่งที่ว่างในราชอาณาจักรถูกเติมเต็มแล้วนี่ครับ”
“ใช่ครับ ตั้งแต่แรกจนจบทั้งหมดเป็นเพราะเลดี้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยครับ”
“เป็นผู้มีความสามารถตามคำร่ำลือจริงๆ เลยครับ ได้บุคคลเช่นนั้นเป็นประชากรในโครอา ไม่รู้จะอธิบายความตื้นตันใจได้อย่างไรเลยล่ะ”
บรรดาชนชั้นสูงในโครอาต่างหัวเราะฮ่าๆ พลางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทำให้คนโดยรอบที่ได้ฟังต่างรู้สึกดีจนเก็บไม่อยู่ ทั้งยังพูดเสริมถึงความเจริญรุ่งเรืองจากราชอาณาจักรมาจนถึงโครอา
ทว่าดูเหมือนอาซจะไม่พอใจกับการตอบรับจากบรรดาผู้คนรอบตัวเขา จึงเปลี่ยนสีหน้าที่เคยยิ้มอย่างอ่อนหวานและสุภาพเป็นใบหน้าเฉยชาแข็งทื่อ
“ขอโทษนะครับ แต่คงจะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรอกครับ เพราะอีกไม่นานเลดี้ก็จะกลายเป็นคนของราชอาณาจักรเราแล้ว หมายถึงในเร็ววันนี้น่ะครับ”
“เอ่อ…
อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของอาซทำให้บรรดาชนชั้นสูงต่างประหม่าจนเหงื่อตก รวมไปถึงคนที่คอยฟังอยู่รอบๆ ด้วยสีหน้าแช่มชื่นอยู่ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
บรรยากาศเริ่มเย็นชืดขึ้นราวกับราดน้ำเย็นลงในชั่วพริบตา อาเรียที่คอยสังเกตอยู่ข้างๆ คิดว่าอาซมาวางมาดในที่แปลกๆ เช่นนี้จึงพยายามสูดลมหายใจเข้าอย่างอดกลั้น
“คุณอาซคะ ไม่รู้ว่าเพราะดิฉันเพิ่งได้ดื่มสุราครั้งแรกหรือเปล่าใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด แล้วก็รู้สึกไม่มีแรงด้วยค่ะ ช่วยพาดิฉันไปตรงระเบียงได้ไหมคะ”
พยายามเปลี่ยนบรรยากาศที่เจื่อนไปด้วยการพิงแขนของอาซพลางกระซิบเบาๆ ขนตาพลิ้วไหวจากการกะพริบตาเบาๆ พร้อมกับเชื้อเชิญอาซให้ย้ายบริเวณไปในที่ที่มีแค่เราสองคน
เพราะนั้นเป็นการกำจัดตัวการได้อย่างรวดเร็วและแน่นอนที่สุด
“…”
จะมีชายคนไหนสามารถปฏิเสธคำขอนี้ได้ล่ะ อาซไม่ตอบอะไรพลางรีบโอบเอวอาเรียพาเธอออกจากนอกห้องโถงที่แสนอึดอัด
ย่างก้าวของเขาดูร้อนรน เนื่องจากสายตาคนในงานยังตามติดอยู่ไม่ห่าง อาเรียจึงพยายามกลั้นยิ้ม
“เป็นอะไรไหมครับ”
จากนั้นประตูระเบียงก็ถูกปิดลง อาซที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและความรู้สึกที่หลากหลายจึงจับแก้มอาเรียพร้อมกับถาม
ดูจากสีหน้าแล้วถึงแม้จะบอกว่าเป็นก็คงไม่สนใจอะไรล่ะมั้ง ไม่สิ บางทีอาจหวังว่าจะให้เขาเป็นที่พิงในสภาพที่เมาแบบนี้ก็ได้
ความจริงแล้วอาเรียไม่ได้คออ่อนขนาดนั้น และเนื่องจากดื่มในปริมาณน้อยมากจึงไม่รู้สึกเมาเลยสักนิด แต่เพราะเธอชอบสีหน้าของอาซที่แฝงเล่ห์เหลี่ยมนั้น จึงหลับตาลงพร้อมกับพิงแก้มบนหน้าอกของเขา
“ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ในอดีตเหมือนจะดื่มได้ดีเลยดื่มไปเยอะเลยน่ะค่ะ… ฉันน่าจะเข้าใจผิดไปล่ะมั้งคะ”
เพราะอย่างนั้น อาซเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่ทันคาดคิด ไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ได้แต่มองอาเรียอยู่อย่างนั้น
สีหน้าราวกับโดนทำการทดสอบเสียอย่างนั้น
“คุณอาซ”
“…ถ้าอย่างนั้นนั่งลงก่อนนะครับ”
ในไม่ช้าอาซที่กระทบกระทั่งกับอาเรียอยู่ก่อนหน้านี้ ถอนหายใจพลางประคองให้เธอนั่งบนเก้าอี้ ดูเหมือนว่าที่คฤหาสน์จะมีครอบครัวของอาเรียอยู่จึงไม่สามารถทำตัวหุนหันพลันแล่นได้
ทว่าอาเรียยังไม่ปล่อยมืออาซที่ประคองเธอมานั่งบนเก้าอี้ให้ไปฝั่งตรงข้าม สายตาอาซเต็มไปด้วยความตกใจพลางหันไปหาอาเรีย
“จะทิ้งฉันที่เมาแบบนี้ไปนั่งฝั่งตรงข้ามเหรอคะ ถ้าทรงตัวไม่ได้แล้วหงายออกไปนอกเก้าอี้จะทำอย่างไรล่ะคะ แล้วร่างกายดิฉันบอบบางแค่นี้เอง ยิ่งเจออะไรนิดหน่อยก็แตกสลายง่ายอยู่ด้วย”
ถึงแม้ว่าลักษณะการพูดของคนที่เมาไม่น่าจะพูดได้อย่างคล่องแคล่วขนาดนั้น แต่อาซก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องสงสัยเธอ
ไม่สิ ถึงจะมองออกแล้วก็ตาม ยังตั้งใจจะตกหลุมยั่วยวนของอาเรียอย่างไรล่ะ
มีหรือจะอดใจไม่หลงกล ปล่อยให้หญิงที่งดงามเช่นนี้ยั่วยวนไปเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้อาเรียก็เป็นผู้ใหญ่เต็มวัยแล้ว จะมีอะไรให้ลังเลอีกเล่า
“คุณอาซคะ ทำไมไม่ตอบล่ะคะ …หรือว่าจะปล่อยให้ฉันเจ็บตัวอย่างนั้นเหรอคะ”
สิ่งที่มีคำตอบถูกกำหนดไว้อยู่แล้ว
อาเรียจึงกระตุ้นอาซที่ได้แต่นิ่งชะงักพร้อมกับลากมือที่จับอยู่ไปอย่างเบาๆ
เป็นแรงที่สามารถผละออกได้อย่างง่ายดาย ทว่าอาซกลับยอมถูกลากไปอย่างง่ายดาย
เพียงชั่วพริบตาท่าทางทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป
ราวกับเวทมนตร์เขาไปนั่งแทนที่ที่อาเรียนั่งอยู่ก่อนหน้าอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติ อาเรียแสดงสีหน้าราวกับสนุกสนานที่ได้นั่งบนตักอาซพร้อมกับยิ้มออกมา
“…ไม่ได้จะคิดนั่งบนตักของคุณอาซนะ ฉันนี่ช่างหน้าไม่อายจริงๆ เลย”
ใครกันที่ยั่วยวน ใครกันที่ทำตัวไร้ยางอาย อาเรียที่ยิ้มราวกับเป็นเรื่องสนุก แต่อาซกลับไม่ยิ้มออกมาแม้แต่นิด
“ไม่ชอบที่เห็นฉันเป็นแบบนี้เหรอคะ”
อาซปัดผมอาเรียที่ลงมาปรกหน้าเธอ การเคลื่อนไหวของมือนั้นแตกต่างจากตอนปกติ กลับมีอะไรแฝงอยู่ตามที่อาเรียพูด ความเป็นอยู่ของเราตอนนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
รอยยิ้มของอาเรียค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความหมายอื่น ท่าทางที่ขี้เล่นของเธอกลับหายไปสักพักใหญ่ เข้ากับวันนี้ที่เธอได้กลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวสีหน้าจึงเปลี่ยนตามไปด้วย
“…ไม่รู้สิคะ ฉันไม่รู้เลยว่าจะทำเรื่องไร้ยางอายแบบนี้ได้ถึงขั้นไหน”
ทั้งน้ำเสียงก็ยังเป็นแบบนั้น เป็นพฤติกรรมระหว่างคู่รักที่แนบเนียนและละเอียดอ่อนอย่างพอเหมาะ
หลังจากที่อาเรียพูดตอบเสร็จอาซที่ก่อนหน้าลูบผมอาเรียอยู่กลับเลื่อนมือลงมาที่แก้มของเธอ
แก้มอ่อนนุ่มของเธอนั้นเย็นเฉียบเนื่องจากปะทะลมหนาว ราวกับสงสารจึงลูบแก้มเธออยู่สองสามครั้งจนแก้มเริ่มมีสีแดงระเรื่อขึ้น
“แก้มร้อนไปหมดแล้วครับ”
“…สงสัยอาจจะเป็นเพราะเมาแน่เลยค่ะ”
ใครเห็นก็รู้ว่าที่ใบหน้าไม่ใช่เพราะเมา แต่เพราะอาเรียตอบเช่นนั้นอาซจึงไม่ขัดอะไร เพราะเรื่องที่อาเรียจะเมาหรือไม่นั้นไม่ได้สำคัญสักเท่าไหร่
“เห็นเขาว่ากันว่าความเจ็บปวดมันแบ่งปันกันได้… ความเมาก็เป็นแบบนั้นด้วยไหมนะ”
อาเรียดึงมือของอาซที่ลูบแก้มเธอมากุมไว้พร้อมกับถาม ช่างเป็นคำถามที่โง่เขลาเสียจริง สำหรับอาซนั่นเป็นคำถามที่สำคัญและยั่วยวนยิ่งกว่าคำถามไหนๆ
“ไม่รู้สิ… ลองทดสอบดูไหมล่ะครับ”
อย่างไรล่ะ ไม่จำเป็นต้องถามเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว เพราะนิ้วมือของอาซที่สัมผัสแก้มเธอก่อนหน้า กลับลดระดับลงมาสัมผัสริมฝีปากเธอ
ด้วยสัมผัสจากมือที่นุ่มนวลทำให้อาเรียไม่ได้ตอบอะไรพร้อมกับหลับตาลงอย่างช้าๆ อาซจึงไม่อดทนอีกต่อไปพลางก้มหน้าลง เนื่องจากทั้งคู่ไม่ทันคิดว่าจะมีใครเห็นการกระทำของพวกเขาจากสวนใต้ระเบียง
แม้จะไม่ได้เห็นเป็นเวลานานก็ตาม ด้วยเหตุผลข้อเดียวที่พวกเขาแยกห่างกันไกล ริมฝีปากทั้งสองต่างขยับหากันด้วยความโหยหา เต็มไปด้วยความรู้สึกเรียกร้องความรักและความปรารถนา ไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายแยกจากไปไหนอีก
อาซที่ดึงเธอเข้ามาจูบอย่างหนักแน่นราวกับจะไม่ปล่อยไปไหน ส่วนอาเรียก็ยกสองมือขึ้นโอบคอของเขาราวกับตอบรับว่าจะทำเช่นนั้น
แม้การจุมพิตของทั้งสองคนจะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังไม่หายสงสัย จนกระทั่งทั้งคู่วิ่งออกไปยังลานสวนหน้าคฤหาสน์
……………………